พิธา สงสัย ภาพ ทักษิณ-อนุทิน ร่วมก๊วนกอล์ฟ อยากสื่ออะไร ปัดตัดเกรดรบ. เชื่อ ปชช.ให้คะแนนได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4967870
‘พิธา’ งง ภาพ “ภาพทักษิณ-อนุทิน-ซีอีโอกัลฟ์-ซีอีโอตปท.“ ร่วมก๊วนกอล์ฟขึ้นหน้าหนึ่ง มอง ต้องการสื่อสารอะไรทางการเมือง เชื่อ ประชาชนตื่นรู้ ถามโรดแมป ‘นายกฯอิ๊งค์’ ม.ค.-เม.ย. นี้ แก้ฝุ่นเชียงใหม่ยังไง
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่จังหวัดเชียงใหม่ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลหลังมีกระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง ว่าคงเป็นธรรมดาของพรรคร่วมรัฐบาล อยู่คนละพรรคคงมีอะไรเห็นต่างกัน ตนยังสงสัยอยู่เพราะเห็นเมื่อวานนี้ ( 22 ธ.ค.) มีภาพไปตีกอล์ฟกัน ได้ภาพมาจากไหนกัน เพราะดูแล้วเหมือนขอถ่ายกันส่วนตัว ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ แสดงว่าเขาพยายามจะสื่อสารอะไรให้เราฟังหรือไม่ เพราะไม่ใช่เป็นภาพที่ถ่ายจากการแถลงข่าวหรือมืออาชีพ ใช้กล้องมือถือถ่ายกันเอง สงสัยว่าเขาต้องการสื่ออะไร เพราะเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า มีนาย
คงกระพัน อินทรแจ้ง ซีอีโอ ปตท. และนาย
สารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้บริหารกัลฟ์ด้วย คงต้องการสื่อสารอะไรทางการเมือง ซึ่งประชาชนต้องตั้งคำถาม
ถามว่า มองอย่างไรว่าการจิกกัดที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็กินข้าวร้องเพลงตีกอล์ฟกัน นาย
พิธากล่าวว่า ก็เขาต้องการอะไรซักอย่างในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนเชื่อว่าประชาชนตื่นรู้ เพราะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แสดงให้เห็นว่ามีความตั้งใจอะไรซักอย่างหนึ่ง เพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว รูปออกมาถึงสื่อทุกคน เป็นเรื่องที่ตนสงสัยเหมือนกัน
เมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วพรรคร่วมรัฐบาลจะไปรอดหรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า มีหลายเรื่องในปฏิทินการเมืองปีหน้า ฝ่ายค้านก็จะมีการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 และมาตรา 152 แต่ละเดือนคงมีจุดสำคัญที่รัฐบาลต้องผ่าน ในใจตนก็มีอยู่เหมือนกัน แต่เดี๋ยวรอให้คนที่อยู่ในการเมืองอย่างเป็นทางการ เพราะตนเป็นคนธรรมดา ซึ่งในแต่ละเดือนมีกำแพงที่รัฐบาลต้องผ่านไปให้ได้ ขออย่าสนใจเรื่องการเมืองมาก ถ้าแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้จริง เพราะการเมืองที่เป็นระบบรัฐสภาแบบนี้ 1-2 ปีแรก ยังไม่มีอะไร แต่ปีที่ 3-4 และใกล้จะยุบสภา จะเป็นช่วงที่ตอนแรกศัตรูก็กลายเป็นเพื่อน และเพื่อนก็กลับกลายเป็นศัตรูอีกครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองทุกประเทศ ฉะนั้น ช่วงนี้เป็นช่วงโหมโรงอยู่ ต้องดูว่ามีอะไรจะปะทุอีกหรือไม่ ซึ่งปัญหาจะเป็นกับดักระเบิดเวลารอให้รัฐบาลมาแก้ไข
ส่วนการบริหารงานของ น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรนั้น นาย
พิธากล่าวว่า คิดว่าต้องมีเรื่องที่บริหารจัดการอีกเยอะ ตนขอถามไปยัง น.ส.แพทองธารสั้นๆ ว่า เดี๋ยวจะ ม.ค.ไปจนถึง เม.ย. ที่เชียงใหม่ ฝุ่นประมาณ 50 กว่าวัน ย้อนอดีตไปเป็น 10 ปีก็เป็นเช่นนี้ คำถามคือมีมาตรการอย่างไร หรือโรดแมปในการแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อบรรเทา ฤดูฝนผ่านไปแล้วเรื่องน้ำท่วมก็ยังไม่ได้รับจัดการ ต่อไปจากฝนเป็นฤดูฝุ่น บริหารจัดการอย่างไร เรื่องการบริหารจัดการไฟป่าอย่างไร คิดว่าประชาชนคนเชียงใหม่รออยู่ ถ้า ส.ว.ก๊องไม่พูดก็รอฟังนาย
พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ในนามพรรคประชาชน เพราะตอนนี้เรามีเวลาเตรียมตัว ไม่มีข้ออ้างแล้ว
ส่วนเต็ม 10 ให้คะแนนรัฐบาลแพทองธารเท่าไหร่ นาย
พิธาระบุว่า “
คงไม่ประเมินหรอกครับ คิดว่าประชาชนแต่ละคนคงให้คะแนนได้ แต่ตอนนี้ประชาชนยังลำบากอยู่ มีความจำเป็นที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วน”
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายปีหน้า นาย
พิธาระบุว่า คิดว่าเหมือนกลับมาเริ่มหาเสียงใหม่ว่าอนาคตจะทำอย่างไร แต่นี่ต้องคำนึงว่าเป็นรัฐบาลเพื่อไทยมาปีกว่า ตั้งแต่นาย
เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ จนมาถึง น.ส.
แพทองธาร ต้องบอกว่าทำอะไรไปแล้ว ไม่ใช่จะทำอะไร แต่เมื่อเปรียบเทียบกับที่หาเสียงไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรง แก้รัฐธรรมนูญ หรือปฏิรูปกองทัพ
พิธา ไม่เห็นด้วย ฉายา แพทองโพย แนะ อิ๊งค์ ใช้เวทีสภา ลบข้อครหา รัฐบาลพ่อเลี้ยง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4967692
‘พิธา’ มอง ฉายา ‘แพทองโพย’ ด้อยค่านายกฯ แนะ ‘อิ๊งค์’ ใช้เวทีสภา แสดงภาวะผู้นำ เชื่อจะลบข้อครหา ‘รัฐบาลพ่อเลี้ยง’ ได้ ลั่นต้องทำให้เห็นว่า ไม่ได้พึ่งบารพ่อ เหน็บ “รอพี่ทวีคนเดิมอยู่” หลังได้ ฉายา ‘ทวีไอพี’ เชื่อยุติธรรมได้มากกว่านี้
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่ จ.เชียงใหม่ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการตั้งฉายานายกรัฐมนตรีของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลว่า แพทองโพย
นาย
พิธากล่าวว่า คุณ
อุ๊งอิ๊ง ชื่อ
แพทองธาร การเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ที่เนื้อหาอยู่ที่วิสัยทัศน์ การสื่อสารต้องมีข้อมูลมีโพยบ้าง อย่าไปถือสาหรือไปติดใจอะไรแบบนี้เลย ให้ดูการทำงานดีกว่าว่ามีกลยุทธ์หรือมีการบริหารจัดการคณะรัฐมนตรี บริหารอย่างไรให้องคาพยพสามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน อย่าติดที่ฟอร์มเล็กน้อย ดูที่เนื้อหาดีกว่า
“
ผมรู้จักกับคุณอุ๊งอิ๊งมานาน แกชื่อแพทองธาร ไม่ใช่ แพทองโพย และฉายาอะไรที่คิดว่าไปด้อยค่าหรือเป็นเรื่องส่วนตัว ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เขาก็คงพยายามตั้งใจทำงานเต็มที่ ถือโอกาสปีใหม่ ก็เป็นกำลังใจให้กับคุณแพทองธารด้วย และก็ให้คุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ด้วยเช่นเดียวกัน” นาย
พิธากล่าว
ส่วนฉายา ‘
รัฐบาลพ่อเลี้ยง’ นาย
พิธาระบุ ถ้าในเชิงการเมือง ในอาเซียน มักจะมีผู้นำตัวแทนหรือเรียกว่า Proxy Leadership ทุกประเทศในอาเซียนตอนนี้ ก็จะเหมือนว่ามีพ่ออยู่แล้ว ก็จะมีลูก เป็นผู้นำประเทศ อันนี้เป็นคำถามระดับนานาชาติ ที่คิดว่า น.ส.
แพทองธารต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นตัวของตัวเอง สามารถคิดได้ด้วยตัวเอง ตั้งยุทธศาสตร์ได้ด้วยตัวเอง บริหารคนได้ด้วยตัวเอง และก็ตอบโจทย์ความท้าทาย ศักยภาพของประเทศได้ด้วยตัวเอง ก็จะทำให้คำสบประมาทอันนี้ ก็จะหายไป
“
อันนี้มันสำคัญที่จะต้องโชว์ให้เห็นว่า เขาไม่ได้ต้องพึ่งบารมี ความคิดของคุณพ่อเขา หรือคุณทักษิณ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่เขาชื่อแพทองธาร”
เมื่อถามว่า คุณ
ทักษิณมีอิทธิพลเหนือนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่า ทุกวันนี้ ขึ้นอยู่กับคุณ
แพทองธารว่า จะพิสูจน์อย่างไรว่าสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอนายทักษิณ เพราะหลายๆ เรื่องที่พูดคุยกันมา ก็ไม่ได้ออกมาจากปาก น.ส.
แพทองธาร ตนในฐานะที่รู้จักกันมานานขอแนะนำ ใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ แสดงภาวะผู้นำให้เป็นประโยชน์ เพราะนาย
ทักษิณลงพื้นที่ปราศรัยหลายพื้นที่ ทั้งอีสาน แล้วก็มีการโชว์วิสัยทัศน์ แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่ที่เป็นพื้นที่ น.ส.
แพทองธารเข้าได้ และนายทักษิณเข้าไม่ได้คือ รัฐสภา ควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เข้าสภาบ่อยๆ จะได้โชว์ภาวะผู้นำ โชว์วิสัยทัศน์ ความเป็นตัวของตัวเองให้คนไทยได้ทราบ เชื่อว่าครบปีหน้าคำว่า “
รัฐบาลพ่อเลี้ยง” ก็จะหมดข้อครหาไปในตัว
เมื่อถามว่า มีความเห็นอย่างไรที่นายทวี รัฐมนตรียุติธรรมได้ฉายา ‘
ทวีไอพี’ นาย
พิธากล่าวว่า คิดถึงนาย
ทวี ช่วงที่เคยเป็นฝ่ายค้านด้วยกันมา อย่างเรื่องเกี่ยวกับเขากระโดง เขาก็เริ่มต้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจำได้ว่านาย
ทวีมีบทบาทเยอะกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ตอนนี้ทุกเรื่องกลับมาเป็นเรื่องใหญ่ แต่ยังไม่เคยได้ยินคุณ
ทวีพูดถึงเลยรวมถึงเรื่อง ‘
โกทร’ ที่ปราจีนบุรีด้วย
“
ผมจึงอยากเห็นพี่ทวีคนเดินกลับมา ว่าตอนที่เป็นฝ่ายค้านได้พูดเรื่องนี้ฉะฉาน มีข้อมูลเยอะ พอมันมีคำถามพวกนี้ขึ้นมา ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรียุติธรรมก็ต้องยุติธรรม ผมก็รอพี่ทวีในปีหน้าอยู่”
เมื่อถามว่า แสดงว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่ นาย
พิธาระบุว่า “
มันก็ยุติธรรมได้มากกว่านี้”
พริษฐ์ เผย กก.ประธานรัฐสภา มีมติให้ ปธ.สภาฯ บรรจุร่างแก้รธน. เปิดทางมี สสร. -ทำประชามติ 2 ครั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4968426
พริษฐ์ เผย กก.ประธานรัฐสภา มีมติให้ ปธ.สภาฯ บรรจุร่างแก้รธน. เปิดทางมี สสร. -ทำประชามติ 2 ครั้ง
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ทวีตข้อความผ่าน x โดยระบุว่า
ข่าวดี คณะกรรมการของประธานรัฐสภา มีมติให้ประธานบรรจุร่างแก้ไข รธน. เรื่อง สสร. เปิดทางการทำประชามติ 2 ครั้ง
หลังจากที่ตนได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการของประธานรัฐสภาเมื่อเช้าวันนี้เกี่ยวกับขั้นตอนและจำนวนประชามติในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากทางสภาฯ ว่าทางคณะกรรมการฯมีมติเสียงข้างมากให้ประธานรัฐสภา “บรรจุ” ร่างแก้ไข รธน. เรื่อง สสร. ที่ตนและพรรคประชาชนเสนอ เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
มตินี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยกระบวนการที่มีการทำประชามติเพียง 2 ครั้ง ซึ่งจะประหยัดทั้งงบประมาณ เวลา และทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันก่อนการเลือกตั้งมีความเป็นไปได้ (หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีการตีความว่าจะต้องทำประชามติทั้งหมด 3 ครั้ง)
ขั้นตอนถัดไปจะเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา (สส. และ สว.) ในการพิจารณาว่าจะเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. และแนวทางดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาในวาระที่ 1 คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในการประชุมรัฐสภาวันที่ 14-15 ม.ค. 2568 นี้
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมดังกล่าว นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายก ที่ไม่ได้เข้าร่วมฐานะผู้ชี้แจง แต่ได้โทรศัพท์แสดงความเห็นผ่านทางกรรมการฯ ว่าสามารถบรรจุได้
ขณะที่การชี้แจงของฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำมีประเด็นข้อโต้เถียงในรายละเอียดของกฎหมาย รวมถึงประเด็นค่าใช้จ่ายที่เห็นว่าการทำประชามติ 2 ครั้งนั้นประหยัดค่าใช้จ่ายได้กว่าการทำประชามติ 3 ครั้ง
นอกจากนั้นยังได้นำคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณา โดยฝ่ายการเมืองที่ชี้แจงมองว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุถึงจำนวนครั้ง และขั้นตอนว่าจะต้องทำประชามติเมื่อใด ดังนั้นจึงไม่ควรนำมาเป็นเหตุให้ประธานรัฐสภาสั่งไม่บรรจุร่างแก้ไข พร้อมกับมีคำขู่ด้วยว่าหากประธานรัฐสภาไม่ยอมบรรจุร่างแก้ไขมาตรา 256 จะยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
และภายหลังการชี้แจง คณะกรรมการฯ ได้หารือเป็นการภายในอีกครั้ง ก่อนจะมีการลงมติ 8 เสียง ต่อ 4 เสียง เห็นว่า ประธานรัฐสภาควรบรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การตั้ง สสร. ได้ ทั้งนี้มีกรรมการงดออกเสียง 4 เสียง โดยหลังจากนี้จะทำรายงานเสนอประธานรัฐสภาอีกครั้ง ก่อนให้พิจารณาว่าจะบรรจุวาระแก้รัฐธรรมนูญต่อรัฐสภาหรือไม่
https://x.com/paritw92/status/1871080125888106516
นันทนา โวย สว.สีน้ำเงิน บล็อกโหวต นั่งกมธ.พัฒนาการเมือง ซัด ศรีธนญชัย เกรียงไกร ยันใช้มติได้หากเกินจำนวน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4967900
นันทนา โวย สว.สีน้ำเงิน บล็อกโหวต นั่งกมธ.พัฒนาการเมือง ซัด ศรีธนญชัย เกรียงไกร ยันใช้มติได้หากเกินจำนวน
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนาย
มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาเรื่องอื่นๆ เพื่อตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) ในคณะกรรมาธิการ แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งมี 4 คณะ ที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา ได้แก่ กมธ.การกฎหมายและการยุติธรรม กมธ.การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง กมธ.การต่างประเทศ และ กมธ.การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค
JJNY : 5in1 “พิธา”สงสัยภาพ ทักษิณ-อนุทิน│พิธาแนะอิ๊งค์│พริษฐ์เผยบรรจุร่างแก้รธน.│นันทนาโวยสว.สีน้ำเงิน│คาดศก.ปี 68 โต 3%
https://www.matichon.co.th/politics/news_4967870
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลหลังมีกระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง ว่าคงเป็นธรรมดาของพรรคร่วมรัฐบาล อยู่คนละพรรคคงมีอะไรเห็นต่างกัน ตนยังสงสัยอยู่เพราะเห็นเมื่อวานนี้ ( 22 ธ.ค.) มีภาพไปตีกอล์ฟกัน ได้ภาพมาจากไหนกัน เพราะดูแล้วเหมือนขอถ่ายกันส่วนตัว ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ แสดงว่าเขาพยายามจะสื่อสารอะไรให้เราฟังหรือไม่ เพราะไม่ใช่เป็นภาพที่ถ่ายจากการแถลงข่าวหรือมืออาชีพ ใช้กล้องมือถือถ่ายกันเอง สงสัยว่าเขาต้องการสื่ออะไร เพราะเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า มีนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ซีอีโอ ปตท. และนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้บริหารกัลฟ์ด้วย คงต้องการสื่อสารอะไรทางการเมือง ซึ่งประชาชนต้องตั้งคำถาม
ถามว่า มองอย่างไรว่าการจิกกัดที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็กินข้าวร้องเพลงตีกอล์ฟกัน นายพิธากล่าวว่า ก็เขาต้องการอะไรซักอย่างในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนเชื่อว่าประชาชนตื่นรู้ เพราะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แสดงให้เห็นว่ามีความตั้งใจอะไรซักอย่างหนึ่ง เพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว รูปออกมาถึงสื่อทุกคน เป็นเรื่องที่ตนสงสัยเหมือนกัน
เมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วพรรคร่วมรัฐบาลจะไปรอดหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า มีหลายเรื่องในปฏิทินการเมืองปีหน้า ฝ่ายค้านก็จะมีการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 และมาตรา 152 แต่ละเดือนคงมีจุดสำคัญที่รัฐบาลต้องผ่าน ในใจตนก็มีอยู่เหมือนกัน แต่เดี๋ยวรอให้คนที่อยู่ในการเมืองอย่างเป็นทางการ เพราะตนเป็นคนธรรมดา ซึ่งในแต่ละเดือนมีกำแพงที่รัฐบาลต้องผ่านไปให้ได้ ขออย่าสนใจเรื่องการเมืองมาก ถ้าแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้จริง เพราะการเมืองที่เป็นระบบรัฐสภาแบบนี้ 1-2 ปีแรก ยังไม่มีอะไร แต่ปีที่ 3-4 และใกล้จะยุบสภา จะเป็นช่วงที่ตอนแรกศัตรูก็กลายเป็นเพื่อน และเพื่อนก็กลับกลายเป็นศัตรูอีกครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองทุกประเทศ ฉะนั้น ช่วงนี้เป็นช่วงโหมโรงอยู่ ต้องดูว่ามีอะไรจะปะทุอีกหรือไม่ ซึ่งปัญหาจะเป็นกับดักระเบิดเวลารอให้รัฐบาลมาแก้ไข
ส่วนการบริหารงานของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรนั้น นายพิธากล่าวว่า คิดว่าต้องมีเรื่องที่บริหารจัดการอีกเยอะ ตนขอถามไปยัง น.ส.แพทองธารสั้นๆ ว่า เดี๋ยวจะ ม.ค.ไปจนถึง เม.ย. ที่เชียงใหม่ ฝุ่นประมาณ 50 กว่าวัน ย้อนอดีตไปเป็น 10 ปีก็เป็นเช่นนี้ คำถามคือมีมาตรการอย่างไร หรือโรดแมปในการแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อบรรเทา ฤดูฝนผ่านไปแล้วเรื่องน้ำท่วมก็ยังไม่ได้รับจัดการ ต่อไปจากฝนเป็นฤดูฝุ่น บริหารจัดการอย่างไร เรื่องการบริหารจัดการไฟป่าอย่างไร คิดว่าประชาชนคนเชียงใหม่รออยู่ ถ้า ส.ว.ก๊องไม่พูดก็รอฟังนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ในนามพรรคประชาชน เพราะตอนนี้เรามีเวลาเตรียมตัว ไม่มีข้ออ้างแล้ว
ส่วนเต็ม 10 ให้คะแนนรัฐบาลแพทองธารเท่าไหร่ นายพิธาระบุว่า “คงไม่ประเมินหรอกครับ คิดว่าประชาชนแต่ละคนคงให้คะแนนได้ แต่ตอนนี้ประชาชนยังลำบากอยู่ มีความจำเป็นที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วน”
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายปีหน้า นายพิธาระบุว่า คิดว่าเหมือนกลับมาเริ่มหาเสียงใหม่ว่าอนาคตจะทำอย่างไร แต่นี่ต้องคำนึงว่าเป็นรัฐบาลเพื่อไทยมาปีกว่า ตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ จนมาถึง น.ส.แพทองธาร ต้องบอกว่าทำอะไรไปแล้ว ไม่ใช่จะทำอะไร แต่เมื่อเปรียบเทียบกับที่หาเสียงไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรง แก้รัฐธรรมนูญ หรือปฏิรูปกองทัพ
พิธา ไม่เห็นด้วย ฉายา แพทองโพย แนะ อิ๊งค์ ใช้เวทีสภา ลบข้อครหา รัฐบาลพ่อเลี้ยง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4967692
‘พิธา’ มอง ฉายา ‘แพทองโพย’ ด้อยค่านายกฯ แนะ ‘อิ๊งค์’ ใช้เวทีสภา แสดงภาวะผู้นำ เชื่อจะลบข้อครหา ‘รัฐบาลพ่อเลี้ยง’ ได้ ลั่นต้องทำให้เห็นว่า ไม่ได้พึ่งบารพ่อ เหน็บ “รอพี่ทวีคนเดิมอยู่” หลังได้ ฉายา ‘ทวีไอพี’ เชื่อยุติธรรมได้มากกว่านี้
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่ จ.เชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการตั้งฉายานายกรัฐมนตรีของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลว่า แพทองโพย
นายพิธากล่าวว่า คุณอุ๊งอิ๊ง ชื่อ แพทองธาร การเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ที่เนื้อหาอยู่ที่วิสัยทัศน์ การสื่อสารต้องมีข้อมูลมีโพยบ้าง อย่าไปถือสาหรือไปติดใจอะไรแบบนี้เลย ให้ดูการทำงานดีกว่าว่ามีกลยุทธ์หรือมีการบริหารจัดการคณะรัฐมนตรี บริหารอย่างไรให้องคาพยพสามารถแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน อย่าติดที่ฟอร์มเล็กน้อย ดูที่เนื้อหาดีกว่า
“ผมรู้จักกับคุณอุ๊งอิ๊งมานาน แกชื่อแพทองธาร ไม่ใช่ แพทองโพย และฉายาอะไรที่คิดว่าไปด้อยค่าหรือเป็นเรื่องส่วนตัว ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เขาก็คงพยายามตั้งใจทำงานเต็มที่ ถือโอกาสปีใหม่ ก็เป็นกำลังใจให้กับคุณแพทองธารด้วย และก็ให้คุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ด้วยเช่นเดียวกัน” นายพิธากล่าว
ส่วนฉายา ‘รัฐบาลพ่อเลี้ยง’ นายพิธาระบุ ถ้าในเชิงการเมือง ในอาเซียน มักจะมีผู้นำตัวแทนหรือเรียกว่า Proxy Leadership ทุกประเทศในอาเซียนตอนนี้ ก็จะเหมือนว่ามีพ่ออยู่แล้ว ก็จะมีลูก เป็นผู้นำประเทศ อันนี้เป็นคำถามระดับนานาชาติ ที่คิดว่า น.ส.แพทองธารต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นตัวของตัวเอง สามารถคิดได้ด้วยตัวเอง ตั้งยุทธศาสตร์ได้ด้วยตัวเอง บริหารคนได้ด้วยตัวเอง และก็ตอบโจทย์ความท้าทาย ศักยภาพของประเทศได้ด้วยตัวเอง ก็จะทำให้คำสบประมาทอันนี้ ก็จะหายไป
“อันนี้มันสำคัญที่จะต้องโชว์ให้เห็นว่า เขาไม่ได้ต้องพึ่งบารมี ความคิดของคุณพ่อเขา หรือคุณทักษิณ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่เขาชื่อแพทองธาร”
เมื่อถามว่า คุณทักษิณมีอิทธิพลเหนือนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ทุกวันนี้ ขึ้นอยู่กับคุณแพทองธารว่า จะพิสูจน์อย่างไรว่าสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอนายทักษิณ เพราะหลายๆ เรื่องที่พูดคุยกันมา ก็ไม่ได้ออกมาจากปาก น.ส.แพทองธาร ตนในฐานะที่รู้จักกันมานานขอแนะนำ ใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ แสดงภาวะผู้นำให้เป็นประโยชน์ เพราะนายทักษิณลงพื้นที่ปราศรัยหลายพื้นที่ ทั้งอีสาน แล้วก็มีการโชว์วิสัยทัศน์ แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่ที่เป็นพื้นที่ น.ส.แพทองธารเข้าได้ และนายทักษิณเข้าไม่ได้คือ รัฐสภา ควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เข้าสภาบ่อยๆ จะได้โชว์ภาวะผู้นำ โชว์วิสัยทัศน์ ความเป็นตัวของตัวเองให้คนไทยได้ทราบ เชื่อว่าครบปีหน้าคำว่า “รัฐบาลพ่อเลี้ยง” ก็จะหมดข้อครหาไปในตัว
เมื่อถามว่า มีความเห็นอย่างไรที่นายทวี รัฐมนตรียุติธรรมได้ฉายา ‘ทวีไอพี’ นายพิธากล่าวว่า คิดถึงนายทวี ช่วงที่เคยเป็นฝ่ายค้านด้วยกันมา อย่างเรื่องเกี่ยวกับเขากระโดง เขาก็เริ่มต้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจำได้ว่านายทวีมีบทบาทเยอะกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ตอนนี้ทุกเรื่องกลับมาเป็นเรื่องใหญ่ แต่ยังไม่เคยได้ยินคุณทวีพูดถึงเลยรวมถึงเรื่อง ‘โกทร’ ที่ปราจีนบุรีด้วย
“ผมจึงอยากเห็นพี่ทวีคนเดินกลับมา ว่าตอนที่เป็นฝ่ายค้านได้พูดเรื่องนี้ฉะฉาน มีข้อมูลเยอะ พอมันมีคำถามพวกนี้ขึ้นมา ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรียุติธรรมก็ต้องยุติธรรม ผมก็รอพี่ทวีในปีหน้าอยู่”
เมื่อถามว่า แสดงว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่ นายพิธาระบุว่า “มันก็ยุติธรรมได้มากกว่านี้”
พริษฐ์ เผย กก.ประธานรัฐสภา มีมติให้ ปธ.สภาฯ บรรจุร่างแก้รธน. เปิดทางมี สสร. -ทำประชามติ 2 ครั้ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4968426
พริษฐ์ เผย กก.ประธานรัฐสภา มีมติให้ ปธ.สภาฯ บรรจุร่างแก้รธน. เปิดทางมี สสร. -ทำประชามติ 2 ครั้ง
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ทวีตข้อความผ่าน x โดยระบุว่า
ข่าวดี คณะกรรมการของประธานรัฐสภา มีมติให้ประธานบรรจุร่างแก้ไข รธน. เรื่อง สสร. เปิดทางการทำประชามติ 2 ครั้ง
หลังจากที่ตนได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการของประธานรัฐสภาเมื่อเช้าวันนี้เกี่ยวกับขั้นตอนและจำนวนประชามติในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากทางสภาฯ ว่าทางคณะกรรมการฯมีมติเสียงข้างมากให้ประธานรัฐสภา “บรรจุ” ร่างแก้ไข รธน. เรื่อง สสร. ที่ตนและพรรคประชาชนเสนอ เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
มตินี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยกระบวนการที่มีการทำประชามติเพียง 2 ครั้ง ซึ่งจะประหยัดทั้งงบประมาณ เวลา และทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันก่อนการเลือกตั้งมีความเป็นไปได้ (หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีการตีความว่าจะต้องทำประชามติทั้งหมด 3 ครั้ง)
ขั้นตอนถัดไปจะเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา (สส. และ สว.) ในการพิจารณาว่าจะเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. และแนวทางดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาในวาระที่ 1 คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในการประชุมรัฐสภาวันที่ 14-15 ม.ค. 2568 นี้
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมดังกล่าว นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายก ที่ไม่ได้เข้าร่วมฐานะผู้ชี้แจง แต่ได้โทรศัพท์แสดงความเห็นผ่านทางกรรมการฯ ว่าสามารถบรรจุได้
ขณะที่การชี้แจงของฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำมีประเด็นข้อโต้เถียงในรายละเอียดของกฎหมาย รวมถึงประเด็นค่าใช้จ่ายที่เห็นว่าการทำประชามติ 2 ครั้งนั้นประหยัดค่าใช้จ่ายได้กว่าการทำประชามติ 3 ครั้ง
นอกจากนั้นยังได้นำคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณา โดยฝ่ายการเมืองที่ชี้แจงมองว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุถึงจำนวนครั้ง และขั้นตอนว่าจะต้องทำประชามติเมื่อใด ดังนั้นจึงไม่ควรนำมาเป็นเหตุให้ประธานรัฐสภาสั่งไม่บรรจุร่างแก้ไข พร้อมกับมีคำขู่ด้วยว่าหากประธานรัฐสภาไม่ยอมบรรจุร่างแก้ไขมาตรา 256 จะยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
และภายหลังการชี้แจง คณะกรรมการฯ ได้หารือเป็นการภายในอีกครั้ง ก่อนจะมีการลงมติ 8 เสียง ต่อ 4 เสียง เห็นว่า ประธานรัฐสภาควรบรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การตั้ง สสร. ได้ ทั้งนี้มีกรรมการงดออกเสียง 4 เสียง โดยหลังจากนี้จะทำรายงานเสนอประธานรัฐสภาอีกครั้ง ก่อนให้พิจารณาว่าจะบรรจุวาระแก้รัฐธรรมนูญต่อรัฐสภาหรือไม่
https://x.com/paritw92/status/1871080125888106516
นันทนา โวย สว.สีน้ำเงิน บล็อกโหวต นั่งกมธ.พัฒนาการเมือง ซัด ศรีธนญชัย เกรียงไกร ยันใช้มติได้หากเกินจำนวน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4967900
นันทนา โวย สว.สีน้ำเงิน บล็อกโหวต นั่งกมธ.พัฒนาการเมือง ซัด ศรีธนญชัย เกรียงไกร ยันใช้มติได้หากเกินจำนวน
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาเรื่องอื่นๆ เพื่อตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) ในคณะกรรมาธิการ แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งมี 4 คณะ ที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา ได้แก่ กมธ.การกฎหมายและการยุติธรรม กมธ.การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง กมธ.การต่างประเทศ และ กมธ.การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค