สุนทรภู่ไม่ได้แต่งนิราศเมืองเพชร
เนื้อเรื่องยืนยันว่าแต่งในรัชกาลที่สาม เพราะตอนผ่านวัดราชโอรส กวีบอกว่า
"ในพระโกษฐ์โปรดปรานประทานนาม โอรสราชอารามงามเจริญ"
ต่อมา มีคำว่า "ปีระกา นิราร้าง" คาบเกี่ยวกับศึกลาว จึงตรงกับปีระกา พ.ศ.๒๓๖๘ เท่านั้น จะเป็นปีอื่นไม่ได้
เมื่อทราบศักราชแน่ชัด กวีเมืองเพชรท่านนี้จึงเป็นสุมทรภู่มิได้
เพราะปีวอก ๒๓๖๗ ท่าน "ออกขาดราชกิจ" คือลาบวชจากตำแหน่งอาลักษณ์
ส่วนกวีเมืองเพชร ก่อนปีระกาที่จะ "นิราร้าง" มาบางกอก ดูเหมือนจะมิได้รับราชการ พฤติกรรมเป็นคนโลดโผนสักหน่อย
ไม่มีทีท่าจะอ้างตนเป็น "สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ" ได้แม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ในปี ๒๓๗๒ สุนทรภู่ก็ยังบวชอยู่
จนเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี นำเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋วมาเป็นศิษย์ "ถึงในกุฎี"
ส่วนกวีเพชรบุรี เป็นฆราวาสที่นิสัยออกจะกรุ้มกริ่มพอสมควร ดังสำนวนว่า
ทั้งศิษย์หาผ้ามีต่างคลี่ห่ม คลุมประธมพิศถานการกุศล
ขอเนื้อหอมพร้อมกันเหมือนจันทน์ปน ได้เยาะคนขอจูบรักรูปเรา
เห็นจะมิใช่บรรพชิตเป็นแน่
ท่านจึงมิใช่สุนทรภู่
สุนทรภู่ไม่ได้แต่งนิราศเมืองเพชร
เนื้อเรื่องยืนยันว่าแต่งในรัชกาลที่สาม เพราะตอนผ่านวัดราชโอรส กวีบอกว่า
"ในพระโกษฐ์โปรดปรานประทานนาม โอรสราชอารามงามเจริญ"
ต่อมา มีคำว่า "ปีระกา นิราร้าง" คาบเกี่ยวกับศึกลาว จึงตรงกับปีระกา พ.ศ.๒๓๖๘ เท่านั้น จะเป็นปีอื่นไม่ได้
เมื่อทราบศักราชแน่ชัด กวีเมืองเพชรท่านนี้จึงเป็นสุมทรภู่มิได้
เพราะปีวอก ๒๓๖๗ ท่าน "ออกขาดราชกิจ" คือลาบวชจากตำแหน่งอาลักษณ์
ส่วนกวีเมืองเพชร ก่อนปีระกาที่จะ "นิราร้าง" มาบางกอก ดูเหมือนจะมิได้รับราชการ พฤติกรรมเป็นคนโลดโผนสักหน่อย
ไม่มีทีท่าจะอ้างตนเป็น "สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ" ได้แม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ในปี ๒๓๗๒ สุนทรภู่ก็ยังบวชอยู่
จนเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี นำเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋วมาเป็นศิษย์ "ถึงในกุฎี"
ส่วนกวีเพชรบุรี เป็นฆราวาสที่นิสัยออกจะกรุ้มกริ่มพอสมควร ดังสำนวนว่า
ทั้งศิษย์หาผ้ามีต่างคลี่ห่ม คลุมประธมพิศถานการกุศล
ขอเนื้อหอมพร้อมกันเหมือนจันทน์ปน ได้เยาะคนขอจูบรักรูปเรา
เห็นจะมิใช่บรรพชิตเป็นแน่
ท่านจึงมิใช่สุนทรภู่