วันนี้มาแชร์การเตรียมตัวเข้ารับการส่องกล้องกระเพาะอาหาร และลำไส้ใหญ่ส่วนปลายครับ
ข้อมูลเบื้องต้น
ผมอายุ 54 ปี สุขภาพสมบูรณ์ ออกกำลังสม่ำเสมอ วิ่งเดือนละ 100 กิโล สูง 175 หนัก 75 ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่
ไปรับบริการที่โรงพยาบาลพญาไท 2
อาการผิดปกติที่พบ
ต้นเดือนตุลาคม 2567 ผมกินอาหารแล้วเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน ได้กินยาแก้ท้องเสีย กินผงถ่านคาร์บอนและเกลือแร่ ORS หลังจากนั้นอาการดีขึ้น ภายใน 48 ชั่วโมง ก็หยุดถ่ายและอีกวันหนึ่งท้องไส้กลับมาเป็นปกติ แต่ในอีกสัปดาห์ถัดมาพบว่ามีอาการท้องเสีย ถ่ายวันหนึ่ง 3-4 ครั้ง สลับกับท้องผูก 2-3 วัน เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องมาตลอด 2 เดือน จึงถึงต้นเดือนธันวาคมเลยตัดสินใจไปพบคุณหมอ
การวิเคราะห์จากคุณหมอ
คุณหมอได้สอบถามและตรวจสอบแล้วพบว่า ตอนกดท้องจะปวดบริเวณลิ้นปี่ด้วย สงสัยว่าจะเป็นลำไส้แปรปรวนและ/หรือโรคกระเพาะ มีวิธีรักษาเบื้องต้นคือ กินยาปรับลำไส้บวกกับยาลดกรด แล้วรอดูผลว่าเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือไม่ ส่วนอีกวิธีคือ การส่องกล้องโดยจะส่องดูลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย คือส่องกล้องเข้าทางทวารหนัก และส่องกล้องดูที่กระเพาะอาหาร (แต่ใช้คนละกล้องกันนะจ๊ะ) ซึ่งวิธีนี้ได้ปรึกษาแล้วคุณหมอแนะนำเพราะว่าอายุเกิน 50 แล้ว มีความเสี่ยงพวกเนื้อร้ายในลำไส้ และการส่องกล้องนั้นทำครั้งเดียว อีกสิบปีค่อยมาส่องใหม่ ประกอบกับผมเบิกประกันได้เลยตัดสินใจส่องกล้อง ทั้งที่คิดว่าการส่องกล้องนั้นไม่เคยจำเป็นเลย
การตัดสินใจ
เอาวะส่องกล้องก็ได้ ใจนึงก็กล้าๆ กลัวๆ คือเคยมีญาติที่ส่องกล้องทางทวารหนักแล้วไม่ได้วางยาสลบเป็นแค่ยาที่ทำให้มึนงง แล้วหมอเรียกเข้าไปดูผลด้วยกันแบบสดๆ คือส่องกล้องไป ภาพออกทางจอมอนิเตอร์ ยอมรับว่าภาพนั้นเกินจินตนาการ เห็นกระทั่งส่วนไหนกำลังมีเลือดซึมออกมา ส่วนไหนเป็นติ่งเนื้อแล้วหมอใช้เครื่องมือตัดติ่งเนื้อปุ๊ป ดึงออก อ้าว มีเลือดซึม โอ้ย พอนึกถึงตัวเองก็เลยคิดล่วงหน้าไปไกลว่าตอนเราตรวจจะเป็นไงว้า จะเจ็บมั้ย ฯลฯ เรียกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้
การเตรียมตัว

นัดส่องกล้องวันที่ 5 ธันวาคม เราจะเตรียมตัวล่วงหน้าสองวัน โดยที่ต้องกินยาล้างลำไส้ให้โล่ง เพื่อเวลาส่องกล้องจะได้เห็นภาพผนังลำไส้ที่ชัดเจน หมอให้ยาเป็นเกล็ดมา 3 ซองใช้กินที่บ้าน 2 ซอง ยาแอร์เอ็ก 2 เม็ด และวันส่องกล้องให้เอามาโรงพยาบาลด้วย 1 ซอง
วันที่ 3 ธันวา ให้งดอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ ให้กินเฉพาะเนื้อสัตว์ ขนมปัง ข้าว ซุป
วันที่ 4 ธันวาคม ก็เช่นกัน โดยเฉพาะอาหารเย็นให้กินอาหารอ่อน เช่น ซุปใส โจ๊ก และเริ่มกินยาที่ให้มาตอนสองทุ่ม (ที่จริงพยาบาลให้เริ่มกินตั้งแต่ห้าโมงเย็น แต่ผมติดงาน) พอมาถึงบ้านเคลียร์เรียบร้อยก็ผสมยากินในอัตราส่วน ยา 1 ซอง น้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง และอีกซองผสมอีกลิตรก็กินอีกชั่วโมงถัดไป

สองทุ่มเริ่มกินยาที่ผสมน้ำแล้ว รสชาตินั้นบอกเลยว่าเค็มปะแล่มๆ ไม่ได้น่าอภิรมย์แต่อย่างใด ตอนแรกคิดว่ากินปุ๊ปออกปั๊ป กินปุ๊ปปุ๊ปออกปั๊ปปั๊ป เปลี่ยนกางเกงรอเลยทีเดียว มาแน่ๆ อ๊ะ รอไปทำไมไม่มา

เอ้ากินต่อไปจนสามทุ่มหมดขวดแรก ท้องเริ่มป่อง ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น คิดว่าถ้าถ่ายแล้วค่อยอาบน้ำทีเดียวก่อนนอน สามทุ่มผสมยากินขวดที่สอง เอ้าทำเป็นเฉย กินไปบ่นไปเพราะรสชาติแย่มาก แต่พอถึงประมาณสี่ทุ่มกำลังคิดว่าจะอาบน้ำเลยดีมั้ย สงสัยต้องไปบอกหมอว่ายาไม่ได้ผลครับ ร่างกายผมอดทนมากเกินไป ก็รู้สึกปวดตุ่ยๆ เอ้ามาแล้วเว้ย รอมาตั้งนาน พอไปนั่งโถเท่านั้นแหละ..
(ขออนุญาตใช้คลิปจาก YouTube เพื่อแทนภาพเหตุการณ์จริง)

เรียกได้ว่า น้ำสองลิตรที่เข้าไปรวมตัวกันนั้น ได้พยายามชะล้างทุกอย่างออกมาอย่างขมีขมัน ไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายต้องการการทำความสะอาดมากเท่านี้ นั่งโถไปตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงเกือบเที่ยงคืนรวม 5 รอบ น้ำแห้งหมดตัวต้องดื่มน้ำตามไปอีกลิตรนึง ในขั้นตอนนี้ไม่ต้องดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่หรืออย่างอื่นชดเชย เพราะในตัวยานั้นมีเกลือแร่ผสมเผื่อไว้ให้แล้ว หลังจากสภาวะน้ำป่าไหลหลากผ่านไป กินยาแอร์เอ็ก 2 เม็ด และเข้านอนไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่ก่อนนอนก็ล้างห้องน้ำเคลียร์พื้นที่โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ดีว่าที่บ้านมีห้องน้ำหลายห้อง ผมจึงยึดห้องนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติการส่วนตัว
วันที่ 5 ธันวา นัดโรงพยาบาล 7 โมงเช้า พกญาติขึ้นแท็กซี่ไปด้วย ไม่ควรขับรถไปเพราะจะมีการวางยาสลบ เดี๋ยวขากลับขับเองจะอันตราย ยกเว้นญาติขับให้ก็โอเค เช้านี้งดอาหารเช้างดน้ำดื่มทุกอย่าง มาถึงแล้วคุณพยาบาลเอายาอีก 1 ซองผสมน้ำให้กินให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง ตรงที่นั่งรอนั้นมีห้องน้ำเตรียมการไว้ให้อีกหลายห้อง แต่พอดีผมมีคิวเช้านั้นคนเดียวเลยไม่ต้องแย่งกับใคร

กินยาหมดแล้ว 1 ชั่วโมงก็เริ่มถ่ายอีก เรียกได้ว่าทรมานหน่อยๆ น้ำหนักตัวหายไปประมาณ 2 กิโล พยาบาลบอกว่าต้องถ่ายจนเป็นน้ำใสๆ นั่นคือพร้อมแล้ว และให้เราถ่ายรูปให้ดูด้วย (ถ่ายรูปจากโถนั่นแหละ) หลังจากผ่านไป 3 ยก ถ่ายรูปให้ดูคุณพยาบาลบอกว่าต้องอีกนิดนึงเพราะยังไม่ใสเต็มที่ จนยกที่ 4 ถ่ายรูปอีกครั้ง รอบนี้เหลือเป็นแค่น้ำสีเหลืองเหมือนฉี่ (ใสจ๋อง) เอาล่ะไปส่องกล้องได้
การส่องกล้อง
คุณพยาบาลให้เราเปลี่ยนชุดเป็นชุดคนไข้ที่เปิดด้านหลังได้ และของมีค่าฝากญาติ หรือใส่ล็อกเกอร์ไว้ ใช้เวลาส่องกล้องรวมวางยาประมาณ 45 นาที เปลี่ยนชุดแล้วก็นอนบนเตียงเข็นมา (คุณพยาบาลเข็นให้ ผมไม่ได้เข็นเอง..ไม่สะดวก) หนาวนิดหน่อย พอมาถึงห้องส่องกล้องมีคุณหมอรออยู่แล้วกับทีมงานอีก 4-5 คน หัวหน้าพยาบาลขอแทงเข็มเข้าที่หลังมือเพื่อใส่สายน้ำเกลือและใช้วางยาสลบ หลังจากนั้นในขณะที่คุณพยาบาลอีกคนนึงให้เราหันหน้าทางซ้ายอ้าปากเพื่อหยดยาชาในปาก เพื่อที่เวลาสอดกล้องแล้วเราจะไม่เจ็บ ตอนนี้ทางขวามือผมแอบเห็นพยาบาลอีกคนกำลังฉีดยานอนหลับให้ ผมเคยผ่าตัดมาแล้วเลยจำความรู้สึกได้ มันจะอุ่นๆ ตามแขนแล้วพอมาถึงหัวไหล่ทุกอย่างก็มืดลง ไม่ทันจะได้ลีลาร้องถามหรืออะไร ดังนั้นผู้ที่กลัวการวางสลบนั้น สบายใจได้ คุณยังจะไม่ทันได้เสียวซ่านอะไร คุณก็จะมาตื่นที่ห้องพักฟื้นซะแล้ว
ในขณะที่ทำหัตถการนั้น ผมรู้สึกว่ามีคนมาทำอะไรที่ก้นผมแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ส่วนที่เหลือไม่มีความทรงจำใดๆ ในการส่องกล้องลำไส้ใหญ่บางจังหวะจะมีการพ่นลมเข้าไปด้วยเพื่อขยายให้ภาพชัดเจน
การพักฟื้น
ผ่านไปพักเดียวเราก็จะตื่นในห้องพักฟื้น คือการวางยาสลบนะครับ คุณหมอจะคำนวณเป็นอย่างดี การผ่าตัดแบบไหน บวกกับตัวเราเพศไหน น้ำหนักตัว อายุ ฯลฯ แล้วก็จะให้ยาที่พอเหมาะ คือกระบวนการหัตถการเสร็จสักพักเดียวก็ตื่นแล้ว ไม่ใช่นอนข้ามวันข้ามคืน (ผมเคยผ่าไส้ติ่งกับผ่าทอลซิล) พอตื่นแล้วนอนพักต่ออีกชั่วโมงเพื่อดูอาการ ระหว่างนั้นคุณพยาบาลบอกว่าถ้าอยากผายลมให้ปล่อยเลยเพราะมีลมในลำไส้ เราก็นอนตดไปเพลินๆ แล้วคุณพยาบาลเข็นเตียงกลับมาให้เราเปลี่ยนชุด กลับบ้านได้
รายงานผล
เปลี่ยนชุดออกมาคุณหมอก็มาพบเลยครับ คืออย่างที่บอกว่าเทคโนโลยีทันสมัยมาก ส่องปุ๊ปถ่ายรูปมาให้ดู ปริ้นสีด้วย เห็นอวัยวะของตัวเองทั้งในลำไส้ใหญ่ และในกระเพาะอาหารอย่างชัดเจน เหมือนเราเดินเข้าไปในถ้ำแล้วเปิดไฟสว่างสุดๆ เรียกว่าแจ่มแจ้งจนหมดคำบรรยาย

ผลการตรวจคือทุกอย่างเป็นปกติดี สบายใจได้ แล้วคุณหมอให้ยาปรับการทำงานของลำไส้และยาลดกรดกลับมากินอีกประมาณ 1 สัปดาห์
ภายหลังการตรวจ
กินอาหารได้ตามปกติ ส่วนผมแนะนำให้งดอาหารเผ็ดร้อนและงดออกกำลังกายไปก่อน ผ่านไปประมาณ 48 ชั่วโมง เริ่มกลับมาถ่ายตามปกติ จนผ่านไปสัปดาห์นึงที่กินยาด้วยก็ปกติดี ตอนนี้ผ่านมาอีกครึ่งเดือนจะคอยสังเกตอาการตัวเองอย่างต่อเนื่อง
สรุป
ถ้ามีความเสี่ยง ถ้ากำลังทรัพย์ไหว หรือถ้ามีประกันสุขภาพ ฯลฯ การส่องกล้องลำไส้หรือการส่องกล้องกระเพาะอาหารไม่น่ากลัวเลย การทำหัตถการทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เรายังไม่ทันจะได้กลัวอะไรก็จบแล้ว ตอนนอนคิดไปเองล่วงหน้าอันนั้นน่ากลัวกว่า
ขอบคุณคุณหมอและทีมงานทุกท่านที่ดูแลเป็นอย่างดี รักษาสุขภาพนะครับ
(เขียนเป็นชิ้นแรก ผิดพลาดประการใดแนะนำได้นะครับ)
แชร์การเตรียมตัวเข้ารับการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
ข้อมูลเบื้องต้น
ผมอายุ 54 ปี สุขภาพสมบูรณ์ ออกกำลังสม่ำเสมอ วิ่งเดือนละ 100 กิโล สูง 175 หนัก 75 ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่
ไปรับบริการที่โรงพยาบาลพญาไท 2
อาการผิดปกติที่พบ
ต้นเดือนตุลาคม 2567 ผมกินอาหารแล้วเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน ได้กินยาแก้ท้องเสีย กินผงถ่านคาร์บอนและเกลือแร่ ORS หลังจากนั้นอาการดีขึ้น ภายใน 48 ชั่วโมง ก็หยุดถ่ายและอีกวันหนึ่งท้องไส้กลับมาเป็นปกติ แต่ในอีกสัปดาห์ถัดมาพบว่ามีอาการท้องเสีย ถ่ายวันหนึ่ง 3-4 ครั้ง สลับกับท้องผูก 2-3 วัน เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องมาตลอด 2 เดือน จึงถึงต้นเดือนธันวาคมเลยตัดสินใจไปพบคุณหมอ
การวิเคราะห์จากคุณหมอ
คุณหมอได้สอบถามและตรวจสอบแล้วพบว่า ตอนกดท้องจะปวดบริเวณลิ้นปี่ด้วย สงสัยว่าจะเป็นลำไส้แปรปรวนและ/หรือโรคกระเพาะ มีวิธีรักษาเบื้องต้นคือ กินยาปรับลำไส้บวกกับยาลดกรด แล้วรอดูผลว่าเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือไม่ ส่วนอีกวิธีคือ การส่องกล้องโดยจะส่องดูลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย คือส่องกล้องเข้าทางทวารหนัก และส่องกล้องดูที่กระเพาะอาหาร (แต่ใช้คนละกล้องกันนะจ๊ะ) ซึ่งวิธีนี้ได้ปรึกษาแล้วคุณหมอแนะนำเพราะว่าอายุเกิน 50 แล้ว มีความเสี่ยงพวกเนื้อร้ายในลำไส้ และการส่องกล้องนั้นทำครั้งเดียว อีกสิบปีค่อยมาส่องใหม่ ประกอบกับผมเบิกประกันได้เลยตัดสินใจส่องกล้อง ทั้งที่คิดว่าการส่องกล้องนั้นไม่เคยจำเป็นเลย
การตัดสินใจ
เอาวะส่องกล้องก็ได้ ใจนึงก็กล้าๆ กลัวๆ คือเคยมีญาติที่ส่องกล้องทางทวารหนักแล้วไม่ได้วางยาสลบเป็นแค่ยาที่ทำให้มึนงง แล้วหมอเรียกเข้าไปดูผลด้วยกันแบบสดๆ คือส่องกล้องไป ภาพออกทางจอมอนิเตอร์ ยอมรับว่าภาพนั้นเกินจินตนาการ เห็นกระทั่งส่วนไหนกำลังมีเลือดซึมออกมา ส่วนไหนเป็นติ่งเนื้อแล้วหมอใช้เครื่องมือตัดติ่งเนื้อปุ๊ป ดึงออก อ้าว มีเลือดซึม โอ้ย พอนึกถึงตัวเองก็เลยคิดล่วงหน้าไปไกลว่าตอนเราตรวจจะเป็นไงว้า จะเจ็บมั้ย ฯลฯ เรียกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้
การเตรียมตัว
นัดส่องกล้องวันที่ 5 ธันวาคม เราจะเตรียมตัวล่วงหน้าสองวัน โดยที่ต้องกินยาล้างลำไส้ให้โล่ง เพื่อเวลาส่องกล้องจะได้เห็นภาพผนังลำไส้ที่ชัดเจน หมอให้ยาเป็นเกล็ดมา 3 ซองใช้กินที่บ้าน 2 ซอง ยาแอร์เอ็ก 2 เม็ด และวันส่องกล้องให้เอามาโรงพยาบาลด้วย 1 ซอง
วันที่ 3 ธันวา ให้งดอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ ให้กินเฉพาะเนื้อสัตว์ ขนมปัง ข้าว ซุป
วันที่ 4 ธันวาคม ก็เช่นกัน โดยเฉพาะอาหารเย็นให้กินอาหารอ่อน เช่น ซุปใส โจ๊ก และเริ่มกินยาที่ให้มาตอนสองทุ่ม (ที่จริงพยาบาลให้เริ่มกินตั้งแต่ห้าโมงเย็น แต่ผมติดงาน) พอมาถึงบ้านเคลียร์เรียบร้อยก็ผสมยากินในอัตราส่วน ยา 1 ซอง น้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง และอีกซองผสมอีกลิตรก็กินอีกชั่วโมงถัดไป
สองทุ่มเริ่มกินยาที่ผสมน้ำแล้ว รสชาตินั้นบอกเลยว่าเค็มปะแล่มๆ ไม่ได้น่าอภิรมย์แต่อย่างใด ตอนแรกคิดว่ากินปุ๊ปออกปั๊ป กินปุ๊ปปุ๊ปออกปั๊ปปั๊ป เปลี่ยนกางเกงรอเลยทีเดียว มาแน่ๆ อ๊ะ รอไปทำไมไม่มา
(ขออนุญาตใช้คลิปจาก YouTube เพื่อแทนภาพเหตุการณ์จริง)
เรียกได้ว่า น้ำสองลิตรที่เข้าไปรวมตัวกันนั้น ได้พยายามชะล้างทุกอย่างออกมาอย่างขมีขมัน ไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายต้องการการทำความสะอาดมากเท่านี้ นั่งโถไปตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงเกือบเที่ยงคืนรวม 5 รอบ น้ำแห้งหมดตัวต้องดื่มน้ำตามไปอีกลิตรนึง ในขั้นตอนนี้ไม่ต้องดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่หรืออย่างอื่นชดเชย เพราะในตัวยานั้นมีเกลือแร่ผสมเผื่อไว้ให้แล้ว หลังจากสภาวะน้ำป่าไหลหลากผ่านไป กินยาแอร์เอ็ก 2 เม็ด และเข้านอนไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่ก่อนนอนก็ล้างห้องน้ำเคลียร์พื้นที่โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ดีว่าที่บ้านมีห้องน้ำหลายห้อง ผมจึงยึดห้องนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติการส่วนตัว
วันที่ 5 ธันวา นัดโรงพยาบาล 7 โมงเช้า พกญาติขึ้นแท็กซี่ไปด้วย ไม่ควรขับรถไปเพราะจะมีการวางยาสลบ เดี๋ยวขากลับขับเองจะอันตราย ยกเว้นญาติขับให้ก็โอเค เช้านี้งดอาหารเช้างดน้ำดื่มทุกอย่าง มาถึงแล้วคุณพยาบาลเอายาอีก 1 ซองผสมน้ำให้กินให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง ตรงที่นั่งรอนั้นมีห้องน้ำเตรียมการไว้ให้อีกหลายห้อง แต่พอดีผมมีคิวเช้านั้นคนเดียวเลยไม่ต้องแย่งกับใคร
กินยาหมดแล้ว 1 ชั่วโมงก็เริ่มถ่ายอีก เรียกได้ว่าทรมานหน่อยๆ น้ำหนักตัวหายไปประมาณ 2 กิโล พยาบาลบอกว่าต้องถ่ายจนเป็นน้ำใสๆ นั่นคือพร้อมแล้ว และให้เราถ่ายรูปให้ดูด้วย (ถ่ายรูปจากโถนั่นแหละ) หลังจากผ่านไป 3 ยก ถ่ายรูปให้ดูคุณพยาบาลบอกว่าต้องอีกนิดนึงเพราะยังไม่ใสเต็มที่ จนยกที่ 4 ถ่ายรูปอีกครั้ง รอบนี้เหลือเป็นแค่น้ำสีเหลืองเหมือนฉี่ (ใสจ๋อง) เอาล่ะไปส่องกล้องได้
การส่องกล้อง
คุณพยาบาลให้เราเปลี่ยนชุดเป็นชุดคนไข้ที่เปิดด้านหลังได้ และของมีค่าฝากญาติ หรือใส่ล็อกเกอร์ไว้ ใช้เวลาส่องกล้องรวมวางยาประมาณ 45 นาที เปลี่ยนชุดแล้วก็นอนบนเตียงเข็นมา (คุณพยาบาลเข็นให้ ผมไม่ได้เข็นเอง..ไม่สะดวก) หนาวนิดหน่อย พอมาถึงห้องส่องกล้องมีคุณหมอรออยู่แล้วกับทีมงานอีก 4-5 คน หัวหน้าพยาบาลขอแทงเข็มเข้าที่หลังมือเพื่อใส่สายน้ำเกลือและใช้วางยาสลบ หลังจากนั้นในขณะที่คุณพยาบาลอีกคนนึงให้เราหันหน้าทางซ้ายอ้าปากเพื่อหยดยาชาในปาก เพื่อที่เวลาสอดกล้องแล้วเราจะไม่เจ็บ ตอนนี้ทางขวามือผมแอบเห็นพยาบาลอีกคนกำลังฉีดยานอนหลับให้ ผมเคยผ่าตัดมาแล้วเลยจำความรู้สึกได้ มันจะอุ่นๆ ตามแขนแล้วพอมาถึงหัวไหล่ทุกอย่างก็มืดลง ไม่ทันจะได้ลีลาร้องถามหรืออะไร ดังนั้นผู้ที่กลัวการวางสลบนั้น สบายใจได้ คุณยังจะไม่ทันได้เสียวซ่านอะไร คุณก็จะมาตื่นที่ห้องพักฟื้นซะแล้ว
ในขณะที่ทำหัตถการนั้น ผมรู้สึกว่ามีคนมาทำอะไรที่ก้นผมแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ส่วนที่เหลือไม่มีความทรงจำใดๆ ในการส่องกล้องลำไส้ใหญ่บางจังหวะจะมีการพ่นลมเข้าไปด้วยเพื่อขยายให้ภาพชัดเจน
การพักฟื้น
ผ่านไปพักเดียวเราก็จะตื่นในห้องพักฟื้น คือการวางยาสลบนะครับ คุณหมอจะคำนวณเป็นอย่างดี การผ่าตัดแบบไหน บวกกับตัวเราเพศไหน น้ำหนักตัว อายุ ฯลฯ แล้วก็จะให้ยาที่พอเหมาะ คือกระบวนการหัตถการเสร็จสักพักเดียวก็ตื่นแล้ว ไม่ใช่นอนข้ามวันข้ามคืน (ผมเคยผ่าไส้ติ่งกับผ่าทอลซิล) พอตื่นแล้วนอนพักต่ออีกชั่วโมงเพื่อดูอาการ ระหว่างนั้นคุณพยาบาลบอกว่าถ้าอยากผายลมให้ปล่อยเลยเพราะมีลมในลำไส้ เราก็นอนตดไปเพลินๆ แล้วคุณพยาบาลเข็นเตียงกลับมาให้เราเปลี่ยนชุด กลับบ้านได้
รายงานผล
เปลี่ยนชุดออกมาคุณหมอก็มาพบเลยครับ คืออย่างที่บอกว่าเทคโนโลยีทันสมัยมาก ส่องปุ๊ปถ่ายรูปมาให้ดู ปริ้นสีด้วย เห็นอวัยวะของตัวเองทั้งในลำไส้ใหญ่ และในกระเพาะอาหารอย่างชัดเจน เหมือนเราเดินเข้าไปในถ้ำแล้วเปิดไฟสว่างสุดๆ เรียกว่าแจ่มแจ้งจนหมดคำบรรยาย
ภายหลังการตรวจ
กินอาหารได้ตามปกติ ส่วนผมแนะนำให้งดอาหารเผ็ดร้อนและงดออกกำลังกายไปก่อน ผ่านไปประมาณ 48 ชั่วโมง เริ่มกลับมาถ่ายตามปกติ จนผ่านไปสัปดาห์นึงที่กินยาด้วยก็ปกติดี ตอนนี้ผ่านมาอีกครึ่งเดือนจะคอยสังเกตอาการตัวเองอย่างต่อเนื่อง
สรุป
ถ้ามีความเสี่ยง ถ้ากำลังทรัพย์ไหว หรือถ้ามีประกันสุขภาพ ฯลฯ การส่องกล้องลำไส้หรือการส่องกล้องกระเพาะอาหารไม่น่ากลัวเลย การทำหัตถการทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เรายังไม่ทันจะได้กลัวอะไรก็จบแล้ว ตอนนอนคิดไปเองล่วงหน้าอันนั้นน่ากลัวกว่า
ขอบคุณคุณหมอและทีมงานทุกท่านที่ดูแลเป็นอย่างดี รักษาสุขภาพนะครับ
(เขียนเป็นชิ้นแรก ผิดพลาดประการใดแนะนำได้นะครับ)