ใครตื่นธรรม ต้องเจอพระแท้คนจริง พูดน้อยต่อยหนักๆ

ท่านพระมหาอุเทน เสียงโมโน แห่งวัดชนะสงคราม ได้กล่าวไว้ว่า
Dangerous อันตราย เบียร์ คนตื่นธรรมกำลังสร้างค่านิยมใหม่ ให้คนในสังคมไทยใช้คำหยาบ “ด่า” ไม่ผิดศีล ๕
ข้าพเจ้าพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ ก็กลับมาอยู่ในมุมสงบ ทบทวนธรรมทำกรรมฐานอยู่ชั้นบนของกุฏินวธรรมในที่เฉพาะตน
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดแล้ว แต่สุดท้ายก็ออกมายุ่งจนได้ 

ขอเขียนถึงรายการ “โหนกระแส” ประเด็นนี้ก่อน หนุ่มกรรชัย ทำให้พระคือพระมหาอุเทน “ลำบาก” รู้หรือเปล่า พระมหาอุเทนจะออกไปไหนมาไหนยากเสียแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องมาข้าพเจ้าก็เพิ่งจะได้ลงไปทำวัตรเย็นเมื่อวันก่อนนี้เอง พระเห็นหน้าข้าพเจ้าก็ยิ้ม รู้ได้ทันทีว่าคืออะไร จึงต้องสงบนิ่งทำหน้าตาเฉยอย่างเดียว หนุ่มกรรชัย เอารูปของข้าพเจ้าไปแท็กทีมกับพระอีก ๓ รูป บอกว่า “Avengers” ปรากฏหลาเต็มขึ้นหน้าจอทีวีอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะเหลืออะไร ปรารถนาจะไปสักการะพระเขี้ยวแก้ว ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงก็ไปไม่ได้ คนทั้งหลายเห็นพระมหาอุเทน ก็จะชี้นิ้วบอกกัน “นั่นๆ พระมหาอุเทนๆ”
อาจจะกรูกันเข้ามาขอถ่ายรูป ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายจะเข้าถึงตัวพระมหาอุเทน หากเกิดกรณีเหมือนพระปีนเสาถูกเขากระโดดถีบทำร้ายร่างกาย ใครจะรับผิดชอบ 
การที่ข้าพเจ้าพระมหาอุเทน ปฏิเสธไม่ไปรายการโหนกระแส มิใช่เพิ่งจะมาคิดปฏิเสธในตอนเย็นของวันก่อนที่ผู้หญิงคนหนึ่งส่งข้อความมานิมนต์ อยู่ในความคิดของข้าพเจ้ามานานแล้ว ว่า “เราจะไม่ไปออกรายการทีวีใดๆ ทั้งสิ้น” แม้แต่รายการของพิธีกรไตรภพ ลิมปพัทธ์ ซึ่งเป็นรายการดี สมัยนั้นหลวงตามหาบัว ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นต้น ก็ยังไปออกรายการไตรภพ ลิมปพัทธ์ให้เขาได้สัมภาษณ์ และคุณไตรภพก็ชอบขยายภาพถ่ายของผู้ที่ไปออกรายการออกมาขนาดใหญ่กว้างยาวสูงเท่ากับตัวคน มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ไปออกรายการของตน 

แต่มีท่านผู้หนึ่งไม่ได้ไปออกรายการ คือใครรู้ไหม คือ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ประยุทธ์ ปยุตฺโต) สมัยเจ้าประคุณสมเด็จเป็นพระธรรมปิฎกมีชื่อเสียงมาก คนรู้จักทั่วประเทศ คุณต้อย ไตรภพ ก็มากราบอาราธนาพระเดชพระคุณให้ไปออกรายการทีวีของตน แต่ในตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จประยุทธ์ไม่ไป  หลังจากออกจากสวนโมกขพลาราม วัดธารน้ำไหล ของหลวงพ่อพุทธทาสแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปอยู่ขอพักอาศัยศึกษา ปฏิบัติธรรม ในวัดญาณเวศกวันนั่นอย่างไร อยู่เป็นเดือนเลยทีเดียว ในฐานะพระอาคันตุกะ และข้าพเจ้าก็ถูกใช้งาน ช่วยงานวัด อนุโมทนา แสดงธรรม สอนกรรมฐานให้แก่พระนวกะ  ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ในอายุวัย ๓๐ ปี ชื่อเสียงก็พอมี เขียนหนังสือตีพิมพ์เป็นรูปเล่มได้หลายเรื่องแล้ว ก็ยึดเอาหลวงพ่อสมเด็จฯ ตอนนั้นก็คือพระเดชพระคุณพระธรรมปิฎกเป็นแบบอย่าง อยู่ในความคิดว่า 
"เมื่อมีใครในรายการทีวีใด มานิมนต์ให้เราไปออกรายการทีวีของเขาสัมภาษณ์ เราก็จะไม่ไปรายการทีวีนั้น" 
      
ถ้านิมนต์ไปแสดงธรรมโดยเฉพาะเพียงรูปเดียว ข้อนี้ข้าพเจ้ารับนิมนต์และไปให้ได้ทันที เช่น CP ALL ซีพีออลล์ นิมนต์มาข้าพเจ้ารับไว้ไปให้อยู่ ๒ ครั้ง พิธีกรของ CP ALL นิมนต์ให้ข้าพเจ้าบันทึกคลิปสั้นๆ เพื่อไปออกรายการทีวีช่อง 3 ข้าพเจ้ารับแสดงธรรมทันที ไม่ปฏิเสธเลย 
ดังนั้น เหตุการณ์ตอนเย็นของวันก่อนนั้น ข้าพเจ้ายังไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่าเป็นรายการโหนกระแส ก็ปฏิเสธได้ทันที โดยไม่ต้องคิดพิจารณาใคร่ครวญอะไรเลย นักข่าวมาถึงกุฏิขอสัมภาษณ์ก็อย่าหวัง นักข่าวของอมรินทร์ทีวีในกรณีของ ๒ พ.ส. พ = ไพรวัลย์ ส = สมปอง ครั้งก่อน ก็เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วมิใช่หรือ ข้าพเจ้าไม่ยอมให้เข้ามาภายในกุฏิเลย

ทำไม พระมหาอุเทน เลือก One way ไม่เลือก Two way รู้สึกว่าจะมีเสียงแว่วมาจาก เบียร์ คนตระหนกตกใจตื่นภาษีกำลังเครียดหน้ามืดอยู่ในตอนนี้ (หลวงพ่อสมทบ พระมหาสมบูรณ์ รับไปรูปละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย) พาดพิงมาถึงข้าพเจ้าพระมหาอุเทน “ด่ากู วิพากษ์วิจารณ์กูแล้ว ก็ปิดคอมเม้นท์ไม่ให้โต้ตอบกลับ ไม่แน่จริงนี่หว่า”  

ความจริง ข้าพเจ้าเคยเปิดคอมเมนท์เป็นสาธารณะมาแล้ว เกิดปรากฏการณ์เหมือนปัจจุบันนี้ คือ พวกอวตาร เกรียนคีย์บอร์ด ก็เข้ามาด่าดราม่าข้าพเจ้า
สับเละ คนพวกนี้มิได้ต้องการมาฟังข้าพเจ้าแสดงธรรมเอาสาระ ไม่ได้มาอ่านบทความที่ข้าพเจ้าเขียนเอาความรู้ แต่จ้องจะมาด่าอย่างเดียว เป็น “ผรุสวาจา” อย่างแท้จริงเลย ไปด่าอยู่ใน “สกุ๊ปพิเศษ ผู้จัดการออนไลน์ ของสนธิ” ที่นักข่าวทอมคนหนึ่งมาขอบทความเขียนเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายของข้าพเจ้าเอาไปลง ตั้งชื่อหัวข้อว่า “พระมหาแฉ ธงธรรมกาย…” ข้าพเจ้าท้วงติงไปว่า “อย่าตั้งชื่ออย่างนี้  อาตมาเขียนชี้แจงแสดงความจริง มิได้มาแฉ”
แต่เขาก็ไม่เชื่อไม่ยอมพร้อมกับบอกว่า “ตั้งชื่อไม่โดน คนจะไม่อ่าน พวกเรารับผิดชอบเองค่ะ” พอข้าพเจ้าถูกด่าสับเละ พวกเขารับผิดชอบเสียที่ไหน

มีคำด่าประโยคหนึ่ง น่าจะเป็นชาวธรรมกายคนหนึ่งส่งมาให้ข้าพเจ้าอ่าน เขียนกำกับเอาไว้ว่า “ท่านมหา ดูความกล้าหาญของท่านมหาสิ” ในแผ่นแคปหน้าจอนั้นมีข้อความว่า “อุเทนเอ๊ย ไอ้ลูกชั่ เคยนั่งสมาธิถึง ๑ ชั่วโมงหรือเปล่าวะ”
ในคลิปวิดีโอชื่อ “สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เทวทัตแห่งยุคเลยกึ่งพุทธกาล”  ข้าพเจ้าก็โดนด่าเละ ยาวเหยียดหลายหน้ากระดาษ อย่างนี้เรียกว่า
“ด่าสาดเสียเทเสีย” ของจริงเลยนะ เบียร์ 
ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่า “ตนเป็นพระแบบไหน อยู่อย่างไร ทำอะไร เพื่ออะไร” ก็ไม่อยากให้พวกเขาเหล่านั้นมาด่าว่าข้าพเจ้า จะเป็นบาปกรรมแก่พวกเขาได้ ด้วยจิตเมตตานุเคราะห์ ข้าพเจ้าจึงป้องกันพวกเขาไว้ โดยปิดคอมเม้นท์สาธารณะเสีย ทั้ง YouTube Facebook ตั้งแต่บัดนั้น 
แต่ก็เหลือคลิปก่อนหน้าที่ปิดคอมเม้นท์ไม่ได้ พวกของ พ. ไพรวัลย์ ส. สมปอง ก็ตามไปตำหนิติเตียนข้าพเจ้าในคลิปแรก ชื่อ “ดอกบัวบานบนยอดเขาคิชฌกูฏ” ฉันป้องกันภัยอันตราย “บาปปาก” ไม่ให้เกิดแก่พวกคุณตั้งแต่ต้นทางแล้ว แต่พวกคุณนักข่าวก็มาโหลดเอาคลิปของฉันใน YouTube ซึ่งตกเป็นสมบัติของ YouTube แล้ว ไปขยายผลละเลงกันต่อ ฉันตามไปช่วยรับผิดชอบให้พวกคุณไม่ได้นะ พวกคุณต้องรับผิดชอบบาปกรรมกันเอาเอง
“อุเทนเอ๊ย ไอ้ลูกชั่ มึเคยนั่งสมาธิถึง ๑ ชั่วโมงหรือเปล่าวะ” นี้คือคำด่า ผรุสวาจา ๑๐๐ % เลยนะ เบียร์ คนตระหนกตกใจตื่นภาษี

 เรามาพิจารณากันให้ลึกซึ้งถึงคำว่า “ผรุสวาจา : ด่า” ว่า ผิดศีล ไม่ผิดศีล หรือไม่ ผรุสวาจา สังกัดอยู่ในข้อไหนในเบญจศีล สามัญญศีล ทั้ง ๕ ข้อนั้น 
       เราได้ยินมาบ่อยใช่ไหมว่า 
      “กายกรรม ๓ : ฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑ 
       วจีกรรม ๔ : พูดเท็จ ๑ พูดส่อเสียด ๑ พูดคำหยาบ ๑ พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ๑ 
      มโนกรรม ๓ : โลภอยากได้ของเขา ๑ พยาบาทป้องร้ายเขา ๑ เห็นผิดจากครรลองคลองธรรม ๑”
“ผรุสวาจา พูดคำหยาบ ด่าคน” อยู่ในศีลข้อที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี พูดคำหยาบ ด่าคน ต้องผิดศีลข้อที่ ๔ นี้
แต่กลายเป็นว่า เบียร์ คนตระหนกตกใจตื่นภาษี กลับบอกว่า “ไม่ผิดศีล” 
ศีลข้อที่ ๔ ขึ้นต้นด้วยพุทธวจนะพระบาลีว่า “มุสา” แปลว่า “เท็จ” หมายความว่า “ไม่มีความจริงรองรับอยู่ในคำพูดนั้น”  ยกตัวอย่างคำด่าเหล่านี้ “อุเทนเอ๊ย ไอ้ลูกชั่ มึเคยนั่งสมาธิถึง ๑ ชั่วโมงหรือเปล่าวะ” 
“อุเทนเอ๊ย” เรียกชื่อถูก ไม่ผิดไม่ถือว่าด่า แต่คำว่า “ไอ้ลูกชั่” ข้าพเจ้าพระมหาอุเทน มิได้เป็นพระทุศีล หรือ ศีลวิบัติ เคร่งครัดอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยเสมอ ดังนั้น คำว่า “ไอ้ลูกชั่” จึงเป็นคำเท็จ ไม่มีความจริงรองรับอยู่ในคำพูดนี้

“เคยนั่งสมาธิถึง ๑ ชั่วโมงหรือเปล่าวะ” ข้าพเจ้าเคยเดินจงกรม ๓ ชั่วโมง นั่งกำหนดอารมณ์กรรมฐาน ๓ ชั่วโมงอยู่นานถึง ๒ สัปดาห์ จนเกิดโรคลำไส้แปรปรวน เลือดออกมาทางทวารหนักเวลาขับถ่าย ดังนั้น คำด่าว่า “มึเคยนั่งสมาธิถึง ๑ ชั่วโมงหรือเปล่าวะ” จึงเป็นคำเท็จมุสา ไม่มีความจริงรองรับอยู่ในคำพูดนี้ ปิสุณวาจา : พูดจาส่อเสียด สัมผัปปลาปวาจา : พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีความจริงรองรับอยู่ในคำเหล่านี้ จึงมีค่าเท่ากับเป็นคำเท็จ มุสา คนที่พูดจาส่อเสียดก็ดี พูดจาหยาบคายด่าคนอื่นก็ดี พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหลก็ดี จึงผิดศีลข้อที่ ๔ โดยประการทั้งปวง
ข้าพเจ้ายังไม่พิจารณาเห็นคำว่า “ช่างไม่กระดากปาก….” “โอหังบังอาจนัก…” “เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เพิ่งตื่นธรรม” ในบทความเขียนตอนที่ ๑ ว่าเป็น
“คำด่า ผรุสวาจา” ณ ที่ตรงไหนเลย เพราะมีความจริงรองรับอยู่ในคำเหล่านี้ทุกประการนั่นเอง

                                                 โอเคจ้า สาธุจ้า เจ้าเบียร์ คนตระหนกตกใจตื่นภาษี เข้าใจตรงกันนะ
ในเรื่องที่วจีกรรม ๔ ไม่มีความจริงรองรับอยู่ในนั้น ข้าพเจ้าระลึกถึงเรื่องขำได้เรื่องหนึ่ง คืออนุศาสนาจารย์ พันเอกพิเศษ อ่อน บุญพันธ์ ท่านเป็นนักบรรยายนักปาฐกถาฝีปากเอก ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันสามเณรของวัดชนะสงคราม ประธานสามเณรได้เชิญท่านมาปาฐกถา ท่านพูดในช่วงหนึ่งว่า 
“ตั้งแต่ที่ผมเกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ผมยังไม่เคยถูกใครด่าเลยนะครับ ทำไมผมจึงไม่เคยถูกคนด่า เขาด่ามาว่า ‘ไอ้อ่อน  ไอ้ควาย ไอ้เหี้ ไอัชาติม’
ผมก็ไม่ได้เป็นสัตว์  ไม่ได้เป็นควาย ไม่ได้เป็นเหี้ ไม่ได้เกิดมาจากหมาสักหน่อยหนิ”  

       ในอักโกสวัตถุ ๑๐ เรียกว่า “ชุดคำด่า” นางมาคันทิยา จ้างข้าทาสกรรมกรไปด่าพระพุทธเจ้านานอยู่ถึง ๗ วัน ๑๐ ประการนั้นคือ :-
       ๑. เจ้าเป็นโจร
       ๒. เจ้าเป็นพาล
       ๓. เจ้าเป็นบ้า (ไอ้บ้า)
       ๔. เจ้าเป็นอูฐ
       ๕. เจ้าเป็นวัว (ไอ้ควาย)
       ๖. เจ้าเป็นลา
       ๗. เจ้าเป็นสัตนรก
       ๘. เจ้าเป็นสัตเดรัจฉาน
       ๙. สุคติของเจ้าไม่มี
       ๑๐. เจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว

พระพุทธเจ้าไม่ทรงโต้ตอบอะไรเลย ทรงดุษณีภาพนิ่งโดยถ่ายเดียว จะโต้ตอบไปทำไม เสียเวลาเปล่า เพราะพระพุทธองค์ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกทาสกรรมกรด่าว่านั้นเลย คนพวกนั้นอยากด่าก็ปล่อยให้ด่า ด่าไปด่ามา เมื่อยปากเดี๋ยวก็หยุดด่าไปเอง บอกแล้ว เตือนแล้วเบียร์ คนตระหนกตกใจตื่นภาษีว่า “ทำการบ้านมาให้ดี ก่อนจะพูดแสดงบรรยายในเรื่องใดที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา พระไตรปิฎก อรรถกถา เป็นต้น ไปตรวจสอบแหล่งข้อมูลกำหนดจดจำมาให้ดี อย่าให้มีข้อผิดพลาด ขาดตกบกพร่อง มิฉะนั้น เบียร์ที่เธอพูดด้นเดาเอาเองอยู่อย่างนั้นอย่างนี้ จะเข้าข่าย (สุภาพแล้วนะ) บิดเบือนผิดพลาดคลาดเคลื่อนออกไปจากธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้าได้”

เบียร์ ฉันยังมองเธอว่าเป็น “เตกิจฉบุคคล : บุคคลที่พอจะเยียวยารักษาได้อยู่” หรือเธอจะทำตนเป็น “อเตกิจฉบุคคล : บุคคลผู้เยียวยารักษา
(ว่ากล่าวตักเตือน) ไม่ได้” ถ้าเธอทำตัวอยู่อย่างนี้เป็น “อเตกิจฉบุคคล” ผู้รักษาเยียวยาไม่ได้ ต่อมาๆ เธอก็จะเดินทางเข้าถึงคำว่า “วัฏฏขาณุ : ตอในวัฏฏะ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา ๑,๐๐๐ พระองค์ ก็โปรดไม่ขึ้น”  รู้ตัวไหม เบียร์ เธอเจริญรอยตามอาจารย์ตัวพ่อของเธอ  ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
เดินตามหลังมาติดๆ เชียวละ.






แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ขี้เกียจอ่าน สรุปล่ะกัน คุณเบียร์สอนดีกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่