คนล้มไม่เป็นท่า ประจำปี 2567

กระทู้สนทนา
สวัสดีคะ เราอยากมาเล่าเรื่องหายนะในชีวิต ปี 2567 จริงๆกะแย่ๆมาก่อนหน้านี้ 3-4 ปี แต่ก็พอจะประคับประคองให้รอดมาแต่พอถึงปีนี้ ล้มไม่เป็นท่าเลยคะ อยากมาเล่าให้เป็นประสบการณ์ สำหรับคนที่กำลังเผชิญปัญหา หรือ กำลังจะหาทางแก้ปัญหาแบบที่เราทำมาแล้วคะ ถือว่าอ่านเพื่อความบันเทิงก็ได้คะ  มาเริ่มกันเลยนะ  เราอายุ 39 ปี มีอาชีพรับราชการ เราเริ่มรับราชการอายุ 24 ปีซึ่งได้บรรจุครั้งแรกเงินเดือน 7,100 บาท ได้ไปอยู่จังหวัดห่างจากบ้านเกือบ 1000 กิโลเมตร ทำให้วันหยุดแทบจะไม่เคยได้กลับบ้านเลย ไปอยู่ที่นั่นคนเดียว เช่าบ้านอยู่คนเดียวเพราะไม่รู้จักกับใคร ค่าเช่าบ้านก็เดือนละ 3000 ที่ต้องเช่าราคานี้เพราะพื้นที่ตรงที่ไปบรรจุ มีบ้านเช่าให้เลือก 2 แบบ แบบแรกค่าเช่า 3000 อยู่ในตลาด คนเยอะ มีร้านค้า บ้านคนหนาแน่น กับอีกแบบคือค่าเช่า 1000 ซึ่งอยู่กลางป่า ไม่มีบ้านคน มีแต่ป่ายาง เราเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็เลยเลือก 3000 เพราะต้องอยู่อีกนาน ต่อมาก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ ตอนไปมีแค่กระเป๋ากับของที่พาติดตัวไปไม่มาก มอเตอร์ไซต์ ก็ส่งไปรษณีย์ไป ที่บ้านเช่าแทบไม่มีอะไรเลย ด้วยความที่เราต้องอยู่ที่นี่ เราก็ทยอยซื้อของที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้ไม่ลำบากมาก ก็เริ่มทำบัตรเครดิตเพื่อผ่อนของใช้ เช่น เครื่องซักผ้า ทีวี เราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาสักระยะ มันเริ่มไม่พอกินพอใช้ ก็เริ่มกู้ธนาคาร การกู้เงินก้อนแรกในชีวิตก็เริ่มขึ้น กู้เงินก้อนแรก 300000 บาท ยอมรับตามตรงเลยคะ เราใช้เงินก้อนนี้หมดไปกับการใช้ชีวิตอยุ่เป็นเวลา 4 ปี หมดแบบไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนะ เพราะค่ากินที่นั่น 1 มื้อ แบบข้าวราดแกง 2 อย่าง 60 บาท เงินเดือนขึ้นปีนึงรวมๆแล้วไม่ถึง 500 บาท ยอมรับเลยว่าเงินกู้ก้อนแรกใช้ไปกับการกิน การอยู่ เพื่อรอวันที่จะได้ย้ายกลับบ้าน สุดท้ายก็ได้ย้ายกลับบ้าน ลืมเล่าไปคะ เราเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวซะส่วนมาก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ต่างฝ่ายก็ต่างไปมีครอบครัวใหม่ เราเลยจะอยู่บ้านคนเดียวใช้ชีวิตคนเดียวซะส่วนมาก โดยมีป้าพี่สาวพ่อ คอยดูแลอยู่ห่างๆเพราะบ้านติดกัน พอได้ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ช่วงประมาณอายุ 27-28 ปี ก็กลายว่ามาอยู่คนเดียว จริงๆเรามีแฟนนะคะคบกันตั้งแต่ก่อนบรรจุ บ้านเขาอยู่ห่างจากบ้านเรา 50 กิโลได้ พอเราย้ายมาอยู่บ้าน เราก็ออกรถยนต์ 1 คนคะ มือ 2 เพราะบางทีฝนตก กลับดึก ไม่มีคนไปรับไปส่ง พอมีรถอย่างว่านะคะ มีธุระเยอะ มีเรื่องต้องไป 555 ทีนี้เงินกะไม่พอใช้อีกแล้วๆๆ แล้วอีกอย่างพอไปกลับบ้านคนเดียวมันเหงา กะเลยไม่ค่อยกลับบ้าน ไปบ้านแฟน ที่ไปเพราะชอบอยู่ที่บ้านเขาแล้วรู้สึกอบอุ่น เขามีพ่อแม่ พอตกเย็นทุกคนก็จะกลับจากทำงานมาช่วยกันทำกับข้าวโน่นนี่ กินข้าวพร้อมกัน พอเราไปเรากะเหมือนคนในครอบครัว กินข้าวพูดคุย โน่นนี่เล่าเรื่องที่ตนเองพบเจอ มันมีความสุขมากเลยคะ จึงทำให้ไม่ค่อยได้กลับบ้าน จนป้าที่อยู่ข้างๆบ้านเรียกมาคุยว่า เขารู้ว่าเราไปบ้านแฟนเขาไม่ได้ว่าแต่เขาอยากให้เราแต่งงานเพราะตอนนี้คนแถวบ้านนินทาว่าเราไม่ค่อยอยู่บ้านไปไหนบลาๆๆซึ่งเขาเป็นคนที่อยู่บ้านเขาจะได้รับผลกระทบมาก แล้วก็เหตุผลอีกมากมายเรื่องพ่อแม่เราด้วย รวมๆแล้วก็คือต้องจัดงานแต่งงาน เรากะแฟนถามว่ามีเงินไหมตอบเลยว่าไม่คะ แต่ก็ด้วยความที่คิดน้อยตัดรำคาญ ก็เลยได้ทำการกู้เงินอีกคะ ทีนี้กู้มา 1000000 บาทเลยคะ ฉ่ำเลยแต่ต้องบอกก่อนนะคะ หนี้จำนวนนี้ตอนได้เงินไม่ได้เต็มนะคะ ไหนจะประกันโน่นนี่ หักไปเยอะอยู่คะ พอได้มาก็จัดงานแต่งคะ เรากะบอกป้าว่าเราจะแต่งแบบมินิมอลนะ (ตอนนั้นคำนี้กำลังฮิตเลยคะ) แต่เอาจริงๆคำว่ามินิมอลไม่มีจริงคะ ป้าบอกคนมาช่วยงาน บ้านเราบ้านนอกคะ ทำของกันเอง ขนมต่างๆที่ใช้ในงานทำเองทุกอย่างคะ งานวันเสาร์ แต่เริ่มทำของตั้งแต่วันจันทร์ อังคาร ทำไปทำมาจัดไปจัดมา ลงทุนค่าจัดงาน โน่นนี่ รวมสินสอดด้วย เกือบ 5 แสนคะ 5555 ดีนะสินสอดแต่งตัวเองยังได้คืน สรุปขาดทุนไป 2 แสนได้คะ แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป แต่ยังคะยังไม่จบ พอแต่งแล้ว เราตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบเดิม คือ เราไปๆมาบ้านตัวเองบ้านแฟน ประมาณว่าแล้วแต่อารมณ์คะ แต่แล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้นคะ คุณป้าคนดีคนเดิม แกกะเรียกเรากะแฟนคุยว่า อยากให้ย้ายมาอยู่บ้านนี้ถาวร เพราะบ้านนี้เหมือนบ้านร้าง เสียดายบ้านใหญ่โต แล้วก็เหตุผลอีกมากมาย ด้วยความที่ในชีวิตเราป้าคือที่ดูแลเราตลอด รักคะ ไม่อยากขัดใจ ก็ทำตามใจ แต่บ้านเราบ้านนอก แฟนเลยกลายเป็นคนตกงานเพราะแถวบ้านไม่มีบริษัท หรืองานที่เหมาะกับแฟนเลย และแล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเข้าทางของเรื่องคะ ช่วงนั้นน้องชาย ก็ตกงานกลับมาจากกรุงเทพไม่มีงานทำ แฟนก็ไม่มีงานทำ พ่อเราเลยยื่นมือเข้ามาช่วยโดยการแนะนำให้เปิด หจก.รับเหมารับงานกับ บ.ทีโอที คะ ซึ่งตอนนั้นต้องใช้รถยนต์และอุปกรณ์ในการเริ่มต้นรวมถึงต้องจ้างคนงานสัก 4-5 คนคะ ทีนัละคะ เราเป็นคนเดียวที่สามารถกู้ยืมเงินสถาบันการเงินหรือจากคนที่เขาปล่อยเงินเพราะเรามีอาชีพที่มั่นคง ก็ลุยเลยคะ เรียกว่าอะไรดีละ รวบรวมทุนทรัพย์กู้จากทุกที่ กดจากทุกบัตร เพื่อมาลงทุน จนเป็นหนีทั้งในระบบ นอกระบบ ( แต่นอกระบบไม่ใช่พวกรายวันนะคะ เป็นจากคนที่ปล่อยเงินไว้กินดอกรายเดือน) ทำนองนั้น นับจากวันนั้นทำมาเรื่อยๆ ก็เหมือนจะดีนะคะ มีเงินใช้หนี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นก้อนใหญ่เพราะต้องมีเงินทุนไว้จ่ายค่าแรงลูกน้องทุกวันด้วย แต่แล้วความยิ้มของชีวิตก็เริ่มคะ โควิดมา งานน้อยลง บางงานยกเลิก บางงานลงทุนซื้อของแล้วแต่เจ๊งกลางทาง เป็นโครงการของรัฐบาลด้วยนะ โน่นนี่เรากะยังสู้นะคะ เพราะคิดว่าคงเป็นแบบนี้พักเดียว อีกอย่างถ้าเลิกตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าแฟนกับน้อง จะไปทำอะไร ตอนนั้นก็พยายามตัดสินใจในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด แต่แล้วโควิด 2 ปีกว่า เราไม่มีเงินเหลือเลย คนงานเห็นสถานะการไม่ดีเขาก็ไปกันเอง แต่เรานี่ซิคะ หนี้สินล้นพ้นตัว เครดิตเสียหายหมด พยายามกอบกุ้สถานการณ์ตนเองแต่มันหนักมากจริงๆเราต้องกลับมาอยู่บ้านสามีเพื่อให้สามีกลับมาทำงานบริษัท ตอนนี้ก็รวมๆ 2 ปีกว่าแล้วคะ มันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ประหยัดทุกอย่าง จากคนที่เคยมีเพื่อนฝูงมากมาย ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้วคะ ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครสนใจ ตัวใครตัวมัน ทุกอย่างเลวร้ายไปหมด ยิ่งปีนี้ตั้งแต่ต้นปีเลยคะ มาทำงานบางวันไม่มีเงินมาเลย ต้องออกไปนั่งตามวัดตอนกลางวันเพื่อให้ผ่านช่วงเที่ยงไป รู้สึกอายคะเวลามีคนถามว่ากินข้าวยังเอาไรมากินไปกินด้วยกันไหม ไม่อยากให้ใครมารู้เรื่องส่วนตัวมากไปคะ สังคมที่ทำงานแบ่งชนชั้นวรรณะกัน มีหลายเรื่องในชีวิตนะคะ ที่เกิดมาเพิ่งเคยทำ เคยเจอ เช่น ยาสระผมหมด ไม่มีเงินซื้อ ก็เลยเอาสบู่มาสระผม รถยางรั่วไม่มีตังปะ กะเข็นจนถึงบ้านเลย อีกเรืองปีนี้ไม่เหลืออะไรเลยคะ รถยนต์ไปรีไฟแนนซ์เอาเงินมาหมุนจนไม่มีปัญญาส่งก็ถูกยึด รถมอเตอร์ไซต์กะเหมือนกัน ของที่เคยมีส่วนตัว เช่น โทรศัพท์ที่มีราคา นาฬิกา อะไรก็ได้ที่สามรถแลกเป็นเงินได้ จัดการหมดแล้วคะ ไม่เหลืออะไรเลย ตอนนี้เหลือแค่ลมหายใจกับชีวิตทรงๆแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าจะดีขึ้นตอนไหน แต่ก็หวังว่าเรากำลังรับผิดชอบผลกรรมที่เราทำ สักวันมันคงจะค่อยๆดีขึ้น ตอนแรกเหมือนทำใจไม่ได้นะคะเครียด ร้องไห้ ไม่กล้ามาทำงาน ไม่อยากเจอใคร รับตัวเองไม่ได้ แต่พอเวลาผ่านไป ตอนนี้รับสภาพตัวเองได้แล้วคะ ไม่คาดหวังอะไรแล้ว เจ้าหนี้บางคนก็ใจดี บางคนกะรอที่จะฟ้อง โทรด่า โพสแช่งในเฟสจนตอนนี้ต้องปิดเลยคะ ยิ่งอ่านยิ่งดิ่ง ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าใจจะเข้มแข็งพอที่จะผ่านเรื่องแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน  ตอนนี้คิดว่ามีหน้าที่อะไรก็ทำให้ดีที่สุด เวลาเงินเดือนออกมาก็ทยอยใช้หนี้แต่กะนะคะ เงินเดือนโดนธนาคารหักก็เหลือแค่ไม่มีพันบาท ก็ได้ใช้เขาแค่หลักร้อยบ้าง พันบ้าง บางคนกะดีนะคะ ให้ทยอยมากน้อยกะทยอย บางคนด่าว่าสารพัดขอโอกาศก็ไม่ให้ไม่ยอม อดทนคะ อดทนมากๆๆๆๆ ความหวังเดียวตอนนี้คือจะอดทนทยอยใช้หนี้เขาให้ครบทุกบาททุกสตางค์ ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ หรือหากใครเจอสถานการณ์นี้อยู่คุณมีเราเป็นเพื่อนนะ (ตายอะง่ายคะ แปปเดียวก็ตายได้ แต่ตอนนี้อยากลองแก้ปัญหาก่อนถ้าไม่ไหวค่อยตายก็ยังไม่สายไป)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่