JJNY : 5in1 พิธาแนะปรับภาษี│พิธาคึกปราศรัย│ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรไม่เกิน10%│ศก.ไทยปี’68 น่าห่วง│สส.รบ.เกาหลีใต้คว่ำบาตร

พิธา ไม่มองรบ.ถังแตก แนะปรับภาษี ต้องพูดทั้งระบบ ยันไม่เคยหาเสียง ขึ้นพรวดแวต 15%
https://www.matichon.co.th/politics/news_4942424
 
 
 
“พิธา” ย้อนความจำให้รัฐบาล สมัยหาเสียงไม่มีนะ ขึ้นภาษีแวต 15% มีแต่ขึ้นทีละนิด ไม่เกิน 9% ไม่ให้ประชาชนลำบาก ชี้ภาษีมีมากมาย ต้องปฏิรูปทั้งระบบ บอก “พิชัย” ยึดค่าเฉลี่ยโลก แต่ไม่ดูบริบทประเทศ ยังบอกไม่ได้ รัฐบาล “ถังแตก” จี้แจงให้ชัดตัวเลขมาจากไหน
 
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงดราม่าประเด็นการขึ้นภาษีแวต 15% ว่า ภาษีในประเทศ มีทั้งภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม ทั้งนิติบุคคล บริษัท ส่วนตัว รวมไปถึงภาษีที่ดิน สรรพสามิต ศุลกากร และอีกมากมาย ทำไมต้องมาเจาะจงที่แวต ตนสนับสนุนให้มีการปฏิรูปภาษีทั้งระบบ ซึ่งต้องอธิบายให้ชัดเจนว่า บริหารจัดการให้เพียงพอต่อทั้งประเทศและต้องเป็นธรรมอย่างไร แต่พอรัฐบาลบอกว่า 15 : 15 : 15
 
คนที่ไม่เคยเสียภาษีในระดับ 15% ต้องมาเสีย 15% บริษัทนิติบุคคลที่เคยเสียภาษี 30% ก็ได้ลดสิ ใช่หรือไม่ เวลาหาเสียงขึ้นเวทีที่ไหนผมไม่เคยได้ยินว่าให้เสียแวตเกิน 9% นะ เท่าที่ผมจำได้ มีแต่ขึ้นทีละนิด เพื่อไม่ให้ลำบากประชาชนมากขึ้น พอไม่พูดทั้งระบบ แล้วมาเจาะจงที่แวต มันทำให้ผิดบริบทไป เพราะฉะนั้น ผมเห็นด้วยกับการปฏิรูปภาษีทั้งระบบทุกตัว ถ้าพูดทั้งระบบ แล้วมาอธิบายทีละอัน ผมคิดว่าก็จะไม่ได้รับการต่อต้าน” นายพิธากล่าว
 
นายพิธากล่าวต่อว่า อยู่ดีๆ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็โพล่งมาที่แวต 15% แล้ววันต่อมาก็เป็น 15 : 15 : 15 ก็เลยทำให้ไม่ได้รับการตอบรับ จึงอยากฝากไปถึงนายพิชัย และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า การปฏิรูปภาษีทั้งหมดต้องมองทั้งระบบ อย่าเจาะจงที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ประชาชนสับสนและไม่ได้รับการยอมรับ
 
เมื่อถามว่าตัวเลข 15% เป็นการโยนหินถามทางหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เท่าที่ฟัง นายพิชัยบอกว่า ทั่วโลกเขาเก็บกัน 15-25% ตนคิดว่า นายพิชัยน่าจะดูค่าเฉลี่ยโลก โดยที่ไม่ได้ดูบริบทประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งตนขอให้โอกาสนายพิชัยได้อธิบายว่าทำไมต้อง 15%
 
ตอนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯกัน เคยพูดเรื่องปฏิรูปภาษี เรื่องแวต หรือแม้กระทั่งการอภิปรายในสภาที่มีงบประมาณ เคยมีการพูดกันถึง 9% แต่ว่า 15%  ตัวเลขมาจากไหนผมก็ไม่เข้าใจ ต้องฝากถามด้วยว่าตัวเลข 15% มาจากไหน” นายพิธากล่าว
 
นายพิธากล่าวว่า ต้องอธิบายให้มากขึ้นว่า การขึ้นภาษีแวต 15% ลดความเหลื่อมล้ำอย่างไร รวมถึงแรงจูงใจในการลดหย่อนภาษีจะเอาอย่างไร ถ้าอธิบายเป็นระบบ แถลงแล้วจบก็ไม่สับสนเท่านี้
 
เมื่อถามว่า การเสนอลักษณะนี้ บ่งบอกได้หรือไม่ว่ารัฐบาลถังแตก นายพิธากล่าวว่า “ผมว่าบ่งบอกอะไรไม่ได้เลย เพราะมันไม่รู้บริบท อยู่ดีๆ ก็โพล่งมา ถามผมไม่ได้ ต้องถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถามนายกรัฐมนตรี ถามรัฐบาลว่าทำไมอยู่ดีๆ ต้องขึ้น ทำไมต้องขึ้น 15% แล้วภาษีตัวอื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมจะทำอย่างไรต่อ



พิธา คึกปราศรัย ปลุกเลือกขั้วใหม่ ชิงนายกอบจ.อุบล รับเป็นรอง ไร้ส.ส.เขต แต่มีโอกาสเป็นตาอยู่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4942433

“พิธา” ปราศรัยช่วยผู้สมัคร นายก อบจ.อุบลฯ ครั้งแรก ป้าๆ อดใจไม่ไหว โดดขึ้นเวทีหอมฟอดใหญ่ ผูกผ้าขาวม้ารับขวัญ เจ้าตัวลั่นสำโรงไม่สำรอง โวคะแนนตั้งแต่อนาคตใหม่ – ก้าวไกล ขยับขึ้นเท่าตัว แม้ไม่ได้สส.เขต มองมีโอกาสเป็นตาอยู่ ในศึกตาอินกับตานา ขอประชาชนตัดสินใจจะเลือกขั้วใหญ่หรือขั้วใหม่
 
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ลงพื้นที่ช่วย นายสิทธิพล เลาหะวนิช ผู้สมัครนายก อบจ.อุบลราชธานี พรรคประชาชน เดินสายปราศรัยหาเสียง โดยในจุดแรก ที่หอประชุม อำเภอสำโรง ซึ่งทันที่ที่นายพิธาขึ้นเวทีปราศรัย ปรากฏว่า มีประชาชนจำนวนหนึ่ง เป็นป้าๆ ที่ชื่นชอบนายพิธา แห่กันเดินนำผ้าขาวม้าไปผูกที่เอว พร้อมทั้งสวมกอด และหอมแก้มกันยกใหญ่
จากนั้น นายพิธาจะพูดเป็นภาษาอีสานว่า “สบายดีบ่ คิดฮอดหลายๆ ฮักนะสำโรง” พร้อมบอกต่อว่า “สำโรง ไม่ใช่สำรอง” และหากไม่ติดว่า ห้ามรื่นเริง ห้ามร้องเพลง ก็จะร้องเพลง “ไม่เป็นรอง” แล้ว

นายพิธากล่าวว่า นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ยังมีคนบอกว่า 22 ธันวาคม นายสิทธิพล ยังเป็นมวยรอง ตนยอมรับว่าอาจจะใช่ แต่ที่แต่ที่สำโรง ไม่สำรองแน่นอน เพราะคะแนนที่นี่ได้มาเป็นที่หนึ่งตั้งพรรคอนาคตใหม่ การเลือก อบจ.อุบลราชธานี ปี 2563 จนกระทั่งมาพรรคก้าวไกล และเลือกตั้งวันที่ 22 ธันวาคม คะแนนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยวันนี้ที่มายังอำเภอสำโรง เพราะถือเป็นฐานที่มั่นของพรรคประชาชน เห็นบรรยากาศแบบนี้ ก็นึกถึงอดีตอันแสนอบอุ่น ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล จนมาถึงพรรคประชาชน และแม้จะมีการยุบพรรคได้ ตัดสิทธิได้ แต่ตัดใจตนจากประชาชนไม่ได้
โดยพรรคมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ ประชาชนให้ความไว้วางใจ 111,000 คะแนน ถัดมาการเลือก อบจ.ปี 2563 ได้คะแนนประมาณ 100,000 กว่าคะแนน ต่อมาตอนพรรคก้าวไกล ส.ส.เขตกลายเป็นได้คะแนน 180,0000 คะแนน แม้จะไม่มี ส.ส.เขต แต่คะแนนแบบบัญชีรายชื่อนั้นได้กว่า 320,000 คะแนน ถือว่าไม่ทำธรรมดา เชื่อว่าภายใน 5 ปี จาก 100,000 คะแนน เป็น 180,000 คะแนน จนถึง 320,000 คะแนน
 
นายพิธายังเล่าย้อนไปถึงการมาอุบลราชธานีครั้งแรกเมื่อน้ำท่วมใหญ่ ที่อำเภอวารินชำราบ เมื่อปี 2562 และปี 2565 ก็มีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง ตนลงพื้นที่อุบลราชธานีเป็นครั้งที่ 2 ทำให้เข้าใจความทุกข์ยาก ของชาวอุบลราชธานี เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจ และทำให้สนใจปัญหาของชาวอุบลฯมากขึ้น และมาถึงเดือนนี้ วันที่ 22 ธันวาคม จะมีการเลือกตั้ง อบจ.อุบลราชธานี ตนยิ่งต้องลงมาใหญ่ ทั้งนี้นายสิทธิพลว่า เป็นคนอุบลราชธานีแท้ๆ เป็นนักธุรกิจ เป็นเกษตรกร และเป็นรองนายก อบจ.มาก่อน มีนโยบายสำคัญในการดูเรื่องสวัสดิการของประชาชนโดยเฉพาะ และเมื่อได้รับสะสมประสบการณ์ มีนโยบายที่ต้องการรับใช้ประชาชน
 
นายพิธากล่าวต่อว่า วันนี้นอกจากมาขอบคุณประชาชนที่เคยให้ความไว้วางใจให้กับพรรคก้าวไกล ที่มอบคะแนนแบบบัญชีรายชื่อ 320,000 คะแนน ซึ่งยังไม่เคยมีโอกาสได้ลงมาขอบคุณด้วยตัวเอง แต่วันนี้มีโอกาสนั้นแล้ว และแม้การเลือกตั้ง อบจ.อุบลราชธานี เป็นมวยรอง แต่ตนก็มองเป็นยุทธศาสตร์แบบตาอิน ตานา แล้วนายสิทธิพลจะเป็นตาอยู่หรือไม่ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกมองข้าม แต่มีวิสัยทัศน์ มีความอดทน หาจังหวะ กลยุทธ์ที่เหมาะสม และมีความขยัน ก็มีโอกาสแซงเบอร์อื่นได้เหมือนกัน
 
นายพิธายังย้ำความสำคัญของการเลือกนายก อบจ.นั้นสำคัญยิ่ง ที่ทั่วประเทศมีงบประมาณ 66,000 ล้านบาท และจะเลือกพร้อมกันในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ แต่เป็นเพราะอดีตนายก อบจ. คนตอนชิงลาออกไปก่อน ก็เลยต้องรบกวบประชาชน 2 ครั้ง ขณะเดียวกันคนเป็นนายก อบจ.มีงบประมาณมหาศาล เฉพาะอุบลราชธานีที่เดียวมี 1,600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหยาดเหงื่อน้ำตา หน้าที่ทำงานกลายเป็นภาษี เป็นรายได้ ภายในจังหวัด หรือรัฐบาลกลางส่งมาให้ หากหวงแหนการงานเงินทองภาษีของท่านต้องไปใช้สิทธิกันเยอะๆ และขอให้คนอุบลราชธานีแก้ไขปัญหาของคนอุบลราชธานีด้วยกัน
 
บางช่วงนายพิธาหยิบแผ่นพับหาเสียงของนายสิทธิพลขึ้นมา พร้อมพูดนโยบาย 5 ดี 25 อำเภอ 219 ตำบล สำหรับตนชอบนโยบาย 1,000 กิโลเมตร ถนนปลอดภัย เพราะจากกรุงเทพมหานครมองว่า ใน 76 จังหวัด จังหวัดที่ถนนในหมู่บ้านมีปัญหาใช้การไม่ได้เกิน 50% อยู่ที่อุบลราชธานี และอีกนโยบายคือ อุบลเพลินทั้งปี มีมุมเที่ยวใหม่ เน้นการท่องเที่ยว ชอบที่สุดเรื่องการจัดมหกรรมซอยจุ๊โลก หากจัดเมื่อไหร่อย่าลืมเชิญด้วย จะขอมาจุ๊ด้วย นโยบายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เป็นผู้สมัครที่เกาถูกที่คัน
 
นายพิธาทิ้งท้ายว่า วันที่ 22 ธันวาคม ประชาชนต้องตัดสินใจ ในขณะที่ 2 ขั้วใหญ่ชนกันเอง ซึ่งประชาชนต้องตัดสินใจว่า “จะเอาขั้วใหญ่ หรือจะเอาขั้วใหม่



ประธานหอการค้าขอนแก่น ระบุการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรขึ้นไม่เกิน 10% เพื่อลดผลกระทบกับค่าครองชีพ
https://siamrath.co.th/n/585931

ประธานหอการค้าขอนแก่น ระบุการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรขึ้นไม่เกิน 10% เพื่อลดผลกระทบกับค่าครองชีพ
 
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 7 ธ.ค. 2567  นายชาญณรงค์ บุริสตระกูล ประธานหอการค้า จ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลมีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นซึ่งพบว่ามีการพูดถึงมากที่สุดคือ การปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากอัตราเดิม 7% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในหลายประเทศทั่วโลก ที่จัดเก็บ VAT ที่15-25% ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าเป็นแค่แนวความคิดของรัฐบาล ที่ต้องการหาเงินเข้าคลัง หลังจากที่รัฐบาลต้องใช้เงินในการช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วมหรือเงินสวัสดิการ เพราะจะต้องมีอีกหลายขั้นตอนจึงจะสรุปได้ว่า จะมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
 
"ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2540 เคยมีแนวคิดในการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 10 % มาแล้ว หากเลือกได้ตนเองอยากให้ภาครัฐปรับตัว ใช้มาตรการกลไกภาษีต่างๆ ก็จะทำให้ประเทศมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น อะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่สูญเปล่าก็ช่วยกันลดพร้อมกับหาธุรกิจอุตสาหกรรม ประเภทใหม่ๆมูลค่าสูง หรือ New S-Curve ก็จะทำให้การจัดเก็บรายได้มากขึ้น ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวก็จะต้องเป็นท่องเที่ยวมูลค่าสูง ที่ดูแลใส่ใจคุณภาพสิ่งแวดล้อม ใส่ใจสุขภาพ จะทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน และจะทำใประเทศได้พัฒนาขึ้นไปได้ เพราะตอนนี้งบประมาณส่วนใหญ่ นำไปลงทุนในการก่อสร้างการคมนาคม แต่ยังไม่ได้มาส่งเสริมเรื่องอุตสาหกรรมใหม่มูลค่าสูง จึงทำให้มีแต่ตัวเลขรายจ่ายมากกว่ารายได้"
 
นายชาญณรงค์ กล่าวต่ออีกว่า ในการใช้จ่ายของภาครัฐ เมื่อเก็บภาษีไปแล้วแต่นำไปใช้ในการพัฒนาประเทศช้า ทำให้เงินค้างในคงคลัง เงินไม่สามารถที่จะกระจายลงมาหมุนเวียนเศรษฐกิจจนนำไปสู่การนำเงินไปใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น   ส่วนการที่จะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15 % นั้น  ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ค่อนข้างเปราะบาง ดูจากตัวเลขยังไม่โตขึ้นจากคุยกันตัวเลขการเติบโตจาก 9% ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 2% รายได้ของประชาชนยังไม่เพิ่มสินค้าก็ยังแพง หากจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ควรที่จะเก็บ 10% เท่านั้น  
 


บิ๊กอสังหา มองเศรษฐกิจไทยปี’68 น่าห่วง ส่งออกอ่อนแรง กำลังซื้อยังเปราะบาง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4942354

บิ๊กอสังหา มองเศรษฐกิจไทยปี’68 น่าห่วง ส่งออกอ่อนแรง กำลังซื้อยังเปราะบาง
 
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากยังมีปัจจัยไม่แน่ไม่นอนอยู่มาก โดยเฉพาะนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่จะประกาศออกมา เช่น การปรับขึ้นภาษีต่างๆ คาดว่าจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะเหนื่อยหนักมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งหลายคนมองว่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยที่จะมีนักลงทุนจากประเทศจีนย้ายฐานมายังประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ เพราะจีนคงไม่ปล่อยให้ทางสหรัฐดำเนินการอยู่ฝ่ายเดียว
 
ปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัวแน่ 2.8% แต่ปี 2568 อาจจะอยู่ระหว่างกรอบ 2.3-2.4% เพราะการส่งออกอาจจะชะลอตัว โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯและกลุ่มประเทศคู่ค้าของสหรัฐ ที่อาจจะได้ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ จึงทำให้การส่งออกไทยจากปีนี้โต 4% ปีหน้าอาจจะโตไม่ถึง 2%” นายอธิปกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่