JJNY : “ปกรณ์วุฒิ” ชี้หากรบ.เห็น MOU44 สำคัญ│ไร่ละพัน 10 ไร่ไม่พอ│ค่าเช่าบ้านวัยเกษียณพุ่งปรี๊ด│ทหารเกาหลีใต้ ขอโทษปชช.

“ปกรณ์วุฒิ” ชี้หากรบ.เห็น MOU44 สำคัญ เสนอ “ญัตติด่วน” ได้
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_811900/
 
 
“ปกรณ์วุฒิ” บอกประเด็น MOU44ไม่จำเป็นใช้ม.152 เปิดอภิปราย ชี้หากรัฐบาลเห็นสำคัญ เสนอ”ญัตติด่วน”ได้ จ่อยื่นซักฟอกชวนคนส่งเรื่องมาพรรคประชาชน 
 
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ให้ความเห็นต่อกรณีที่ นพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เพื่อหารือกรณีข้อพิพาทเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา
 
และกรณีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2544 หรือ “MOU44” ว่า เดิมทีพรรคร่วมฝ่ายค้านได้มีการเตรียมการเสนอญัตติตามมาตรา 152 ในสมัยประชุมที่จะถึงนี้อยู่แล้ว ซึ่งญัตติที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอนั้นจะมีเนื้อหาสาระที่กว้างขวาง ครอบคลุมหลายประเด็นที่เป็นที่สนใจของสังคมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตามบทบาทของฝ่ายค้านที่ต้องตรวจสอบ ตั้งคำถาม และให้ข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี
 
สำหรับประเด็น MOU44 ซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องใช้ญัตติตามมาตรา 152 แต่อย่างใด เพราะหากพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้ว ญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 และญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 คือ การให้อำนาจในการตรวจสอบถ่วงดุลกับเสียงข้างน้อยหรือพรรคร่วมฝ่ายค้าน ให้สามารถเข้าชื่อเสนอญัตติได้
 
โดยที่ฝ่ายเสียงข้างมากไม่มีสิทธิคัดค้าน และยังจำกัดไว้ไม่ให้ถูกใช้จนเกินพอดีคือเพียงปีละหนึ่งครั้งต่อญัตติเท่านั้น เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากสามารถคว่ำทุกวาระที่ฝ่ายค้านเสนอได้อยู่แล้ว และในทางกลับกัน หากฝ่ายรัฐบาลต้องการพิจารณาญัตติใดก็สามารถใช้เสียงข้างมากในสภาฯ เสนอได้ทุกครั้งเช่นกัน
 
ดังนั้น หากทางฝ่ายรัฐบาลเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญและเร่งด่วน รัฐบาลก็สามารถเสนอเรื่องนี้เข้ามาเป็น “ญัตติด่วน” ได้ หรือหากมีความกังวลว่าญัตติทั่วไปที่พิจารณาในสภาเป็นการคุยกันเฉพาะ สส. ไม่มีรัฐมนตรีมาตอบ ตนก็ต้องยืนยันว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ เพราะตามข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 30 ระบุว่า “ถ้านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีขอแถลงหรือชี้แจงเรื่องใดต่อที่ประชุม ให้ประธานพิจารณาอนุญาต”
 
นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า ตนจึงเสนอว่า รัฐบาลควรเสนอเรื่องนี้เข้ามาเป็นญัตติด่วน หารือกันระหว่างวิป 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และคณะรัฐมนตรี ตกลงกันถึงวันที่เหมาะสมที่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาชี้แจงต่อสภาฯ ได้
 
โดยใช้เวลาหนึ่งวันเต็มหรือมากกว่านั้นในการพิจารณาเรื่องนี้อย่างเดียว วิธีนี้จะช่วยให้สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว และไม่ผิดเจตนารมณ์ของมาตรา 152 ที่มุ่งหมายให้เป็นช่องทางการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลโดยฝ่ายค้านในระบบรัฐสภา
 
ทั้งนี้ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคประชาชนกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญในสมัยประชุมที่กำลังจะมาถึง จึงขอถือโอกาสนี้เชิญชวนพี่น้องประชาชน ข้าราชการ ผู้ประกอบการ และผู้ที่มีข้อมูลการทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ สามารถส่งเรื่องมายังช่องทางติดต่อของพรรคประชาชนได้



ชาวนาวอนรัฐช่วยค่าเกี่ยวข้าว ไร่ละพัน 20 ไร่เหมือนเดิม ชี้ 10 ไร่ไม่พอ เหตุต้นทุนแพง-ราคาต่ำ
https://www.matichon.co.th/region/news_4938758

ชาวนาโคราช วอนรัฐจ่ายค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 1,000 บาท รายละ 20 ไร่เหมือนที่ผ่านมาเพราะ 10 ไร่ น้อยแต่ต้นทุนทำนาแพงและราคาข้าวเปลือกก็ต่ำ

นครราชสีมา – เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบจ่ายไร่ช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จำนวน 4.61 ล้านครัวเรือน คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 38,578.19 ล้านบาท ซึ่ง นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ด้วยการจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ หรือครัวเรือนไม่เกิน 10,000 บาท จำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน วงเงิน 38,578.18 ล้านบาทว่า
 
ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะส่งรายชื่อให้ ธ.ก.ส. เพื่อโอนเงินไร่ละ 1,000 บาท โดยกำหนดแบ่งการโอนเป็นรอบๆ และจะจ่ายได้ไม่เกิน 10 วันทำการ นับจากวันนี้ ส่วนเกษตรกรที่จะได้รับเงินไร่ละ 1,000 บาท จะต้องมีเงื่อนไขคือ ต้องเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรนั้น

โดย นายชุมแพร ด่วงจอดนอก อายุ 75 ปี ชาวนาบ้านหนองหญ้าขาว ตำบลสำพะเนียง อำเภอโนนแดง จังหวัดนครราชสีมา บอกว่า การที่ทางรัฐบาทจะช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท นั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะเป็นการช่วยลดทุนทุนในการทำนาปลูกข้าวได้ แต่ก็ยังไม่คุ้มทุนสำหรับคนที่ทำนาเกิน 10 ไร่ อย่างตนเองก็ทำนา 30 ไร่ นับว่าลงทุนเยอะมาก จึงอยากให้ทางภาครัฐช่วยเหลือเพิ่มไม่เกิน 20 ไร่ หากเป็นไปได้



ค่าเช่าบ้านวัยเกษียณพุ่งปรี๊ด ของหลวง 10,000-20,000 เอกชนทะยาน 50,000
https://www.dailynews.co.th/news/4151056/

เปิดค่าเช่าบ้านวัยเกษียณ จ๊ากห้องเช่าเอกชนสูง 3-5 หมื่นต่อเดือน ของภาครัฐ-มูลนิธิ 1-2 หมื่นบาท ชี้ที่อยู่ยังขาดแคลน จี้รัฐหาทางดูแลเพิ่ม
 
รายงานข่าวจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า  ผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ทั่วประเทศ ปี 67 พบว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้สูงอายุในปัจจุบันยังคงเติบโตช้า และไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้สูงอายุในปัจจุบัน ซึ่งในปี 67 ไทยมีโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยที่เปิดบริการรวม 916 โครงการ แบ่งเป็น เนอร์ซิง โฮม  832 โครงการ และ เรซิเดนซ์ 84 โครงการ โดยส่วนใหญ่โครงการดังกล่าวกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีจำนวนรวมกันถึง 516 โครงการ

สวนทางกับความต้องการ ที่ขณะนี้โครงสร้างประชากรในประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า จำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับจากปี 37 ที่มีผู้สูงอายุในไทยเพียง 6.8%  ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้น 20%  ในปี 2567 โดยเพิ่มขึ้นด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.89% ต่อปี ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์”  
 
สำหรับราคาค่าเช่าที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย จากการสำรวจพบว่า ราคาค่าเช่าที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยในกลุ่มเนอร์ซิง โฮม  ช่วงราคาเช่าของภาครัฐ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ช่วงราคา 15,001-20,000 บาท  ช่วงราคาเช่าของมูลนิธิที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ช่วงราคา 15,001-20,000 บาท  และช่วงราคาเช่าของเอกชน ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ช่วงราคา 15,001-20,000 บาท  ขณะที่โครงการในกลุ่ม เรซิเดนซ์ ช่วงราคาเช่าของภาครัฐ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือเท่ากับหรือต่ำกว่า 10,000 บาท ส่วนช่วงราคาเช่าของเอกชน ที่มีจำนวนมากที่สุด คือช่วงราคา 30,001-50,000 บาท  

ทั้งนี้ จากผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย  สะท้อนภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านความแตกต่างของระดับรายได้ และการพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด ทำให้การออกแบบกลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาบ้านพักผู้สูงอายุจำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทและศักยภาพที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ รวมถึง การพัฒนากลไกทางการเงินที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จะช่วยสนับสนุนให้การพัฒนาบ้านพักผู้สูงอายุในประเทศไทยสามารถตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
 
ดังนั้นควรคำนึงถึงความสามารถในการเข้าถึงบริการของผู้สูงอายุ และความยั่งยืนทางการเงินของโครงการ เพื่อรองรับรูปแบบการอยู่อาศัยที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาสินเชื่อสำหรับที่พักอาศัยแบบเช่าระยะยาว หรือ การซื้อสิทธิการอยู่อาศัย ซึ่งอาจเหมาะสมกับผู้สูงอายุที่ต้องการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ช่วยสนับสนุนผู้สูงอายุให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อและมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุให้ดีขึ้น

ขณะที่อัตราการเข้าพักในเนอร์ซิง โฮม เฉลี่ย 70.91% โดยที่พักจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีจำนวนหน่วยสูงที่สุด และมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 69.21% ขณะที่จังหวัดชลบุรี มีอัตราการเข้าพักสูงถึง 76.95% จังหวัดนครราชสีมาเข้าพัก 73.71% และเชียงใหม่อัตราการเข้าพัก 73.07% ซึ่งทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่มีความนิยมในหมู่ผู้สูงอายุชาวไทยและชาวต่างชาติ สำหรับอัตราการเข้าพัก Residence จากการสำรวจพบว่าจังหวัดสมุทรปราการ มีจำนวนหน่วยสูงที่สุด มีอัตราการเข้าพักสูงถึงร้อยละ 70.91 ขณะที่พื้นที่กรุงเทพฯ มีอัตราการเข้าพักร้อยละ 75.64 ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยในพื้นที่เขตเมืองและศูนย์กลางเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่