สืบเนื่อง มาจาก
แม่ จขกท. เป็นผู้ป่วยติดเตียงจาก 3 โรค คือ
1. อัมพฤกษ์
2. พาร์คินสัน
3. อัลไซเมอร์ สมองเสื่อม
เคยมีอาการปอดติดเชื้อ เนื่องจากก่อนหน้ามีปัญหาการกลืน ทำให้กินอาหารลำบาก จึงต้องนำอาหารมาต้มให้สุกและปั่นป้อนใส่ปาก ผู้ป่วยถอนฟันผุออกเกือบหมดปาก จึงไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร
ต่อมาได้เปลี่ยนวิธีการให้อาหารจากการให้อาหารปั่นด้วยการป้อน ใส่ช้อน หยอดใส่ไซลิ้ง มาเป็นการให้อาหารทางสายยางแทน
ซึ่งพบว่าผู้ป่วยจะเจ็บจมูกทุกครั้งที่มาเปลี่ยนสายแยงจมูกที่ รพ.ทุก ๆ 1 เดือน
ต่อมาแพทย์ได้แนะนำให้ผ่าตัดช่องท้องให้อาหารทางหน้าท้องจะดีกว่า ด้วยเหตุผลว่า ผู้ป่วยจะไม่มีแผลกดทับที่โพรงจมูก และไม่ต้องมาเปลี่ยนสายยางบ่อย ๆ เปลี่ยนเพียงปีละ 1 ครั้ง โดยต้องมาตรวจแผลทุก ๆ 6 เดือน
จขกท. มีความไม่มั่นใจ ว่าการให้อาหารแบบไหนจะดีกับผู้ป่วยมากกว่ากัน จึงอยากถามคนที่เคยผ่านการทำมาก่อนว่า แบบไหนมีข้อดี ข้อเสีย ต่างกันอย่างไร เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินให้แม่ของ จขกท.ต่อไปค่ะ
ระหว่าง ให้อาหารทางช่องท้อง กับให้อาหารทางจมูก แบบไหนดีกว่ากัน
แม่ จขกท. เป็นผู้ป่วยติดเตียงจาก 3 โรค คือ
1. อัมพฤกษ์
2. พาร์คินสัน
3. อัลไซเมอร์ สมองเสื่อม
เคยมีอาการปอดติดเชื้อ เนื่องจากก่อนหน้ามีปัญหาการกลืน ทำให้กินอาหารลำบาก จึงต้องนำอาหารมาต้มให้สุกและปั่นป้อนใส่ปาก ผู้ป่วยถอนฟันผุออกเกือบหมดปาก จึงไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร
ต่อมาได้เปลี่ยนวิธีการให้อาหารจากการให้อาหารปั่นด้วยการป้อน ใส่ช้อน หยอดใส่ไซลิ้ง มาเป็นการให้อาหารทางสายยางแทน
ซึ่งพบว่าผู้ป่วยจะเจ็บจมูกทุกครั้งที่มาเปลี่ยนสายแยงจมูกที่ รพ.ทุก ๆ 1 เดือน
ต่อมาแพทย์ได้แนะนำให้ผ่าตัดช่องท้องให้อาหารทางหน้าท้องจะดีกว่า ด้วยเหตุผลว่า ผู้ป่วยจะไม่มีแผลกดทับที่โพรงจมูก และไม่ต้องมาเปลี่ยนสายยางบ่อย ๆ เปลี่ยนเพียงปีละ 1 ครั้ง โดยต้องมาตรวจแผลทุก ๆ 6 เดือน
จขกท. มีความไม่มั่นใจ ว่าการให้อาหารแบบไหนจะดีกับผู้ป่วยมากกว่ากัน จึงอยากถามคนที่เคยผ่านการทำมาก่อนว่า แบบไหนมีข้อดี ข้อเสีย ต่างกันอย่างไร เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินให้แม่ของ จขกท.ต่อไปค่ะ