JJNY : สอบแล้วมีมูล! หนีหมายจับ│“นรินท์พงศ์”แนะ3ทางออก เรื่องMOU44│ใต้ยังตกหนัก คลื่มลมแรง│เกาหลีใต้โวย “จีน-รัสเซีย”

สอบแล้วมีมูล! ปลัดท่าอุเทน ลาราชการ หนีหมายจับคดีตากใบ จ่อเสนอมหาดไทย เอาผิดวินัย.
https://www.matichon.co.th/region/news_4927197
 
 
สอบแล้วมีมูล! ปลัดท่าอุเทน ลาราชการ หนีหมายจับคดีตากใบ จ่อเสนอมหาดไทย เอาผิดวินัย

นครพนม สอบแล้วมีมูล ปลัดอำเภอ ท่าอุเทน 1 ใน 14 ผู้ต้องหาคดีหมายจับ ขาดราชการ หนีคดีตากใบ ก่อนหมายจับหมดอายุความ ไม่ถึง 10 วัน ด้านปกครองจังหวัดสอบข้อเท็จจริง พบมูลความผิด เสนอมหาดไทย เอาผิดทางวินัย ตามขั้นตอน หลัง มท.1 สั่งสอบข้อเท็จจริง พบข้อพิรุธเชื่อว่า มีวงในช่วยเหลือพ้นคดี เจ้าตัวยังปิดปากเงียบปัดให้ข้อมูล
 
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ความคืบหน้ากรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี นายวิษณุ เลิศสงคราม อายุ 45 ปี ปลัดชำนาญการฝ่ายความมั่นคงอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม หนึ่งใน 14 ผู้ต้องหา ตามหมายจับคดีตากใบ ที่สิ้นสุดอายุความเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ขาดราชการไม่ทราบสาเหตุ ในช่วงมีข่าว ว่าตกเป็นผู้ต้องหาในคดีตากใบ
จนกระทั่งคดีหมดอายุความ จึงกลับมารายงานตัวทำงานตามปกติ ทั้งที่มีการตรวจสอบข้อมูลว่า มีการออกหมายจับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2567 โดยปลัดอำเภอตกเป็นผู้ต้องหายังมาทำงาน แต่พอมีกระแสข่าวดัง จึงขอลาราชการตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา แต่ทางผู้บังคับบัญชาทราบว่ามีหมายจับ จึงไม่อนุมัติการลา ทำให้ขาดราชการนับ 10 วัน จนกระทั่งหมายจับคดีสิ้นสุด ทำให้มารายงานตัวทำงานตามปกติ

แต่ทางเจ้าตัวไม่ยินยอมให้ข้อมูล ปิดปากเงียบและไม่พบว่ามาทำงาน ณ ที่ว่าการอำเภอท่าอุเทน หลังตกเป็นข่าว สอบถามทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องผู้บังคับบัญชา ระบุว่า ทำงานด้านความมั่นคง ส่วนใหญ่จะลงพื้นที่ ชุมชนหมู่บ้าน ดูแลงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด ในพื้นที่อำเภอชายแดน สำหรับที่มาของคดีพบว่าเคยไปรับราชการทหาร ในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส จนกระทั่งมีการสอบย้ายตำแหน่งมารับราชการเป็นปลัดอำเภอ และมารับราชการในพื้นที่ จ.นครพนม เมื่อ 4-5 ปี ที่ผ่านมา
 
ล่าสุดมีรายงานว่า หลังจาก กระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งให้ทางจังหวัดนครพนม สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า มีมูลความผิดเกี่ยวกับปัญหาขาดราชการ พร้อมเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาความผิดทางวินัย ตามขั้นตอนระเบียบทางราชการต่อไป
 
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลเชื่อว่า น่าจะมีคนในรู้เห็นมีการช่วยเหลือ หลังพบว่ามีหมายจับเพื่อให้ขาดราชการ รอจนกว่าหมายจับจะหมดอายุความ ก่อนที่จะกลับเข้ามาทำงานตามปกติ ส่วนการพิจารณาความผิดจะต้องรอคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยต่อไป


 
“นรินท์พงศ์”แนะ3ทางออก แก้ปัญหาชายแดนเรื่องMOU44
https://www.dailynews.co.th/news/4134613/
 
นายกสมาคมทนายฯ" แนะ 3 แนวทางออก การแก้ปัญหาเรื่องชายแดน "MOU 44"
 
เมื่อวันที่ 29 พ.ย.นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
 
บันทึกจากนายกสมาคมทนายความฯ

ปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนี้ คือปัญหาเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา หรือ MOU 44 ที่หลายฝ่ายแสดงความเห็นว่าอาจนำประเทศไทยไปสู่การเสียดินแดน หรือเสียอธิปไตยทางทะเล อันจะนำไปสู่การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองของประชาชนกลุ่มต่างๆ นั้น
 
ผมเห็นว่าปัญหาดังกล่าวสามารถหาข้อยุติได้อย่างสันติด้วยวิถีทางประชาธิปไตย  ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น 

(1) รัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ (public deliberation) เพื่อเป็นเวทีพูดคุยแสดงความคิดเห็นและแสวงหาข้อยุติอย่างสันติวิธี โดยเปิดโอกาสให้ตัวแทนกลุ่มการเมืองที่เห็นต่าง ซึ่งคับข้องใจได้มีเวทีแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบความโปร่งใสของกระบวนการ ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและมีส่วนรับผิดชอบได้ตอบคำถามอย่างครบถ้วน ผมแนะนำให้เชิญอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ลงนาม mou ได้มาชี้แจงข้อสงสัยของกลุ่มการเมืองที่เห็นต่างด้วย

(2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 123 เข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ จากนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนวทางแก้ปัญหาเกี่ยวกับ MOU 44 ต่อคณะรัฐมนตรี กรณีเช่นนี้สมาชิกและคณะรัฐมนตรีอาจร้องขอต่อประธานสภาเพื่อขอให้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนของฝ่ายที่เห็นต่างได้เข้ามาชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นต่อสมาชิกในที่ประชุมสภาได้
 
(3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 129 ขอให้สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการ MOU 44 โดยต้องเชิญตัวแทนฝ่ายที่เห็นต่างมาเป็นกรรมาธิการ เพื่อร่วมพิจารณาและมีความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบและโปร่งใส

ทางออกที่ผมเสนอข้างต้น  เป็นวิธีการตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะทำให้ทุกฝ่ายมีเวทีในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นสิทธิพื้นฐานของปวงชนชาวไทย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ทุกฝ่ายต้องยอมรับและเคารพความเห็นต่างที่ประกอบไปด้วยเหตุและผล โดยไม่ใช้อารมณ์หรือวัตถุประสงค์ทางการเมืองของตัวเองเป็นเครื่องมือและไม่จำเป็นต้องปลุกระดมก่อม็อบลงถนนแต่อย่างใด ซึ่งประชาชนที่ติดตามการแสดงความคิดเห็นจากเวทีที่กล่าวข้างต้นจะเป็นผู้ตรวจสอบ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน แต่ในขณะที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ รัฐบาลควรต้องไม่เร่งดำเนินการใดๆ จนกว่าจะได้ข้อยุติ แต่หากจัดเวทีร่วมกันดังกล่าวแล้วยังหาข้อยุติไม่ได้ ทางออกสุดท้ายคือการถามประชาชนโดยวิธี “ประชามติ” เพราะอำนาจเป็นของประชาชนทุกฝ่ายจึงต้องฟังเสียงของประชาชน

https://www.facebook.com/lawyerassn/posts/pfbid02ibowAybp9PJeQJbTG3pYxA4HRYLEk3nYGuDvoCChgTTMvFuWMCqp8Q727Zmd8Be6l


 
ประกาศกรมอุตุฯ ฉบับ 10 ใต้ยังตกหนัก คลื่มลมแรง ไทยตอนบนหนาว ส่งผลกระทบถึงวันนี้
https://www.matichon.co.th/local/news_4928416

ประกาศกรมอุตุฯ ฉบับ 10 ใต้ยังตกหนัก คลื่มลมแรง ไทยตอนบนหนาว ส่งผลกระทบถึงวันนี้
 
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักบริเวณภาคใต้ คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง และอากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน ฉบับที่ 10 (317/2567)มีผลกระทบจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
 
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนปกคลุมถึงภาคใต้ตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณช่องแคบมะละกาและปลายแหลมมลายู ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมาก บางแห่ง บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม
 
รวมทั้งประชาชนในภาคใต้ฝั่งตะวันออกควรระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2–3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันดังกล่าวไว้ด้วย
 
สำหรับบริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็น โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง
จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
 
ประกาศ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 05.00 น.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่