วิธีทำวิปัสนากรรมฐานที่ถูกต้อง จะต้องใช้คำภาวนา ยังไงบ้างครับ มรรคถึงจะเกิด

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
-- ถ้า ที่คุณถามหมายถึงการได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ... ก็เป็นเรื่องยากมากๆ ยากๆๆ สุดๆๆ  ต้องฝึกจนได้วิปัสสนาญาณ ถึงสังขารุเปกขาญาณ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณลำดับที่ 11 อย่างสมบูรณ์ 100 % ...ต่อจากนั้น โลกุตตรอริยมรรค ก็จะเกิดเองตามลำดับอย่างรวดเร็ว โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปขวนขวายทำอะไรอีก จนครบสมบูรณ์ทั้ง 16 ญาณ
-- แต่การจะฝึกจนเกิดวิปัสสนาญาณขึ้น ก็ต้องค่อยๆผ่านขั้นตอนไปตามลำดับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย  ..คุณต้องมีความเพียรพยายามและความอดทนมากเกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดาเลยขึ้นไปหลายๆๆขั้น จึงจะพอจะทำได้ ไม่กลัวความทุกข์ยากเจ็บปวดทุกๆอย่าง แม้กระทั่งความตายก็ไม่กลัว ในขณะที่กำลังทำความเพียรพยายามอยู่นั้น...พอจะไหวไหมละ ??
-- ขั้นแรก คุณก็ต้องปูพื้นให้มากๆ แน่นๆ บ่อยๆ ในเรื่องการทำกุศล ทำบุญในรูปแบบต่างๆ เช่น ให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ ฟังธรรม เข้าวัดบ่อยๆๆ... ไม่ผูกพยาบาทเบียดเบียนใคร แม้เขาจะทำร้ายทรยศหักหลังเรา จะฆ่าเรา ก็ตาม.. ไม่อิสสาริษยาใครเมื่อเห็นคนที่เท่ากับเราหรือต่ำกว่าเรา เขาได้ดิบได้ดียิ่งกว่าเรา  ไม่คิดแข่งดีกับใครๆ ไม่คิดดูหมิ่นใครที่ต่ำกว่าเรา  ไม่คิดจะโอ้อวด  ไม่คิดจะเป็นคนเจ้าเล่ห์  ไม่คิดจะยกตนเท่าเทียมคนที่เหนือกว่า ..ฯ เหล่านี้ เป็นต้น  และที่สำคัญที่สุด ก็คือต้องหาทางระงับ กำจัด ความรู้สึกต้องการทางเซ๊กซ์ทางเพศหรือทางกามราคะ ให้สงบเงียบ เป็นเหมือนคนกามตายด้าน เห็นเพศตรงข้าม(หรือเพศเดียวกับคุณ) ซึ่งคุณมีความรู้สึกทางเซ๊กซ์ด้วย ให้ดูเสมือนเป็นซากศพเน่าในโลง ดูแล้วเบื่อหน่ายเรื่องเพศ เรื่องเซ๊กซ์ มากๆ..
-- ต่อจากนั้น ก็เริ่มฝึกสติ ตามหลักสติปัฏฐาน 4 ซึ่งมีหลายๆวิธี  เลือกเอาตามแบบที่ชอบ ( แนะนำว่า ควรฝึกที่ กายานุสสติปัฏฐานก่อน ปูพื้นอันนี้ให้มากๆก่อน
-- ต่อจากนั้น ก็ฝึกสมาธิหรือ ฝึกสมถะ หาทางให้จิตรวมลงเป็นสมาธิแน่วแน่ ที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ ให้ได้สักครั้ง (อัปปนาสมาธิ ก็คือ ฌานทั้งหลาย นั่นเอง)  ถ้าคุณทำจิตรวมลงถึงอัปปนาสมาธิได้สักครั้ง  คุณก็จะเห็นได้ชัดเลยว่า ความสุขอันนี้ สุขมากกว่าความสุขทางเซ๊กซ์ (หรือความสุขสุดยอด ตอนที่คุณถึงจุดออกัสซั่ม) หลายๆล้านเท่า จึงไม่ต้องสงสัยที่ในสมัยพุทธกาล หรือ ในสมัยต่อๆมา มีคนชั้นสูง ในสกุลกษัตริย์ หรือ มหาเศรษฐี ทิ้งวัง ทิ้งนางสนมกำนัลเป็นหมื่นๆ เข้าป่าออกบวชเพื่อแสวงความสุขจากความสงบของจิต ซึ่งสุขมากยิ่งกว่าความสุขทางกาม หรือทางเซ๊กซ์หลายๆๆล้านเท่า
-- การฝึกสติ กับ การฝึกสมาธิ จะฝึกเน้นคนละจุด ต่างกัน..แต่ขณะฝึก ทั้งสติและสมาธิก็จะสัมพันธ์ต่อกันไปเองอัตโนมัติ แยกกันไม่ได้
-- เมื่อฝึกสมาธิ จนได้จิตรวมถึงอัปปนาสมาธิ ชำนาญพอควรแล้ว  คือ สามารถกำหนด เข้า หรือ ออก ได้ตามใจต้องการ  เช่น ถ้าต้องการให้จิตนิ่งเป็นสมาธิไปหลายๆวันหลายๆคืน ก็กำหนดจิตแป๊ปเดียว ก็เข้าไปได้ทันทีเลย ...อาการของอัปปนาสมาธิ คือ นอกจากความสุขมากๆแล้ว ..ที่สังเกตชัดที่สุดอย่างหนึ่ง คือ สภาวะเวลาจะหยุดนิ่ง ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่เวลาปัจจุบัน เท่านั้น ..สมมุติคุณเข้าถึงอัปปนาสมาธิ แล้วกำหนด นั่งแน่วนิ่งเหมือนรูปปั้นไปนานหลายๆวันหลายๆคืน หรือหลายๆเดือน  แต่คุณจะรู้สึกเสมือนว่า แค่สงบไป 2-3 นาที แค่นั้น ..เมื่อถอนออกมา เวลาบนโลกมนุษย์จะผ่านไปหลายวันหลายคืนหรือหลายๆเดือน..แต่คุณจะรู้สึกว่า แค่แว๊บเดียว เหมือนฟ้าแลยแว๊บเดียว ... ต่อจากนั้น จึงเริ่มฝึกวิปัสสนา  พิจารณารูปนามละเอียดที่ปรุงแต่ง ยิบๆยับๆอยู่อย่างไวมากๆ ในจิตของคุณ จนเกิดวิปัสสนาญาณไปตามลำดับๆๆ จนครบ 16 ญาณ ของแต่ละมรรคๆ..( ถ้าคุณจนถึงวิปัสสนาญาณที่ 3  คุณจะสามารถเห็นจิตที่เกิดๆดับๆไวมากๆ เป็นดวงๆชัดเจน เหมือนภาพสะโลว์โมชั่น...หมายถึง ที่ในตำราอภิธรรมบอกว่า ในช่วงเวลาที่เรากระพริบตา 1 ครั้ง จิตของเรา จะเกิดๆดับๆไปแล้วประมาร แสนโกฏิดวง หรือ 1,000,000,000,000 ดวง..แต่ถ้าคุณถึงวิปัสสนาญาณที่ 3 คุณจะเกิดญาณที่น่าอัศจรรย์มากๆ สามารถเห็นการเกิดๆดับๆของจิตที่ไวมากๆนั้นได้ทัน ) ..แต่ แค่นั้นยังไม่ได้มรรคผล คุณต้องฝึกไปอีกเรื่อยๆๆ จนถึงวิปัสสนาญาณที่ 11 คือ สังขารุเปกขาญาณ สมบูรณ์ 100 %  รู้สึกจิตเป็นกลางวางเฉยอย่างสุดๆๆ รู้สึกมัธบัสถ์สุดๆ...ต่อจากนั้น มรรคผลนิพพาน ก็จะเริ่มปรากฏเองโดยอัตโนมัติ เริ่มจาก อนุโลจิต(ปัญญาที่เกิดร่วมกับอนุโลมจิตเรียกว่า อนุโลมญาณ) เมื่อจิตดวงนี้ดับ จิตดวงต่อมาก็จะเกิดต่อทันที คือ โคตรภูจิต(ปัญญาที่ประกอบร่วมกับโคตรภูจิต เรียกว่า โคตรภูญาณ) เมื่อจิตดวงนี้ดับ จิตดวงต่อมาคือ มรรคจิต ก็จะเกิดตามมาทันที (ปัญญาที่เกิดร่วมกับมรรคจิต เรียกว่า มรรคญาณ)...ต่อจากนั้น ผลจิตอีก 2 หรือ 3 ดวงก็จะเกิดตามมา แล้วดวงสุดท้าย คือปัจจเวกขณจิต ก็จะตามมา  ก็เป็นอันว่าได้ครบทั้ง 16 ญาณ ในเวลา ไม่ถึง 0.000000000000000000001 ของ 1 วินาที  ทำนองนั้น..
-- คุณจะเห็นนิพพาน อยู่ตรงกลางระหว่างรูปกับนามละเอียดในจิต  หรือพูดให้ละเอียดคือ นิพพานอยู่ระหว่างจิตดวงที่ 17 กับจิตดวง 1  ..หมายถึง เมื่อจิตดวงที่ 17 ดับลง ก่อนที่จิตดวงที่ 1 ในลำดับถัดมานั้น โคตรภูจิต และมรรคจิต จะเกิดแทรกขึ้นมา เห็นนิพพานก่อน ในจังหวะนั้น พอดี...ลักษณะของนิพพาน ก็แทบจะเหมือนกับจิตทุกๆอย่าง คล้ายๆเป็นฝาแฝดของจิต  เพียงแต่ต่างกันบ้าง ตรงที่ (๑) จิตเป็นธาตุรู้ แต่นิพพานไม่ใช่ธาตุรู้ (๒) จิตเปลี่ยนแปลง เกิดๆดับๆไวมากๆ เพราะตกอยู่ในอำนาจของไตรลกักษณ์ แต่ นิพพาน ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคยเกิด ไม่เคยดับ  ดำรงสภาวะคงนี่เป็นนิจนิรันดร์มาตลอดกาล และต่อไปไม่สิ้นสุด ไม่ว่าใครจะไปเห็นหรือไม่เห็น ก็ตาม เป็นอมตธาตุ แต่ไม่ใช่ธาตุรู้เหมือนจิต นิพพานจึงไม่ไปรู้อะไรๆได้เหมือนจิต (๓) ไม่มีอะไรจะผสม ปรุงแต่ง กับนิพพานได้ ไม่มีอะไรจะเข้าไป หรือ ออกมาจากนิพพานได้ (๔) นิพพานอยู่นอกเหนือกาลเวลา หรือ เรียกว่า เป็น กาลวิมุตติ (๕) นิพพาน อยู่นอกเหนือขันธ์ทั้งปวง หรือเรียกว่า เป็น ขันธวิมุตติ
          
( อธิบายแบบย่อที่สุด คร่าวๆ อย่างให้ง่ายที่ซู๊ดที่สุด ...พอจะเข้าใจบ้างไหมละ ? )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่