โลกต่างมิติ

กระทู้สนทนา
โลกต่างมิติ
 
ทฤษฎีเอ็มซึ่งคือทฤษฎีที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงมาจากทฤษฎีสตริงกล่าวไว้ว่า การรวมกันของแรงและมวลสาร ต้องอาศัยอวกาศสิบมิติบวกกับเวลาอีกหนึ่งมิติ ซึ่งนับรวมเป็นกาลอวกาศสิบเอ็ดมิติ
 
คุ้น ๆ ว่าเคยได้รับรู้ประโยคลักษณะแบบนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง หรือได้อ่านมาจากหนังสืออะไรสักเล่ม คลับคล้ายคลับคลาว่าขณะอ่านก็พยายามจินตนาการถึงกาลอวกาศสิบเอ็ดมิติ ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร พิลึกพิลั่นขนาดไหน
 
ในความคิดไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นในหัวสมอง ในเมื่อไม่มีอะไรยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็แสดงว่ามันอาจเป็นไปได้...ก็เท่านั้นเอง
 
ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนถือกำเนิด ล้วนมีรากฐานมาจากสิ่งเริ่มแรกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้แขนงไหน วิชาการศาสตร์ใด ถึงจะดูแตกต่างกันสุดขั้วขนาดไหนก็ตาม
 
ทว่าหากได้ลองเจาะให้ลึกลงไปเรื่อย ๆ จนถึงแก่น เราก็จะพบว่าพวกมันคือสิ่งเดียวกัน ทั้งหมดล้วนมาจากแก่นความรู้เดียวกันทั้งสิ้น
 
เปรียบดั่งยามเมื่อเราล่องเรืออยู่กลางมหาสมุทร เรามองเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่และระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่า ที่สาดซัดพัดมาและผ่านเลยพ้นเราไป แต่เมื่อเราลองกระโดดและดำดิ่งลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ ทั้งหมดที่เราเห็นนั้นก็คือคลื่นจากมวลน้ำเดียวกัน
 
จำได้ราง ๆ ว่าเคยได้ยินใครสักคนพูดประโยคทำนองนี้ผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์
 
แม้จะรู้สึกประทับใจกับคำพูดนี้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่านั้น ในเมื่อไม่มีอะไรยืนยันว่าไม่ใช่ ก็หมายความว่ามันอาจจะใช่ก็ได้
 
คืนหนึ่ง...ขณะที่กำลังนั่งสังสรรค์กับเหล่าบรรดามิตรสหาย ก็บังเอิญว่าสองประโยคข้างต้น จู่ ๆ ก็กลับผุดขึ้นมาอีกครั้งในห้วงความคิดพร้อม ๆ กันโดยมิได้นัดหมาย ขณะที่กำลังกรึ่ม ๆ ไปกับฤทธิ์สุรา สมองก็เริ่มเชื่อมโยงและประมวลผลข้อความทั้งสองประโยคเสียใหม่
 
ในเมื่อทุกสิ่งล้วนมาจากสิ่งเดียวกัน ทุกความรู้ก็แตกแขนงมาจากแก่นเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นไปได้ใช่ไหม ที่จะเอาความรู้อย่างหนึ่งมาอธิบายอะไรอีกอย่าง ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันได้สินะ
 
เอาละ...มาลองคิดอะไรเล่น ๆ สนุก ๆ ดูดีกว่า
 
ว่าแล้วภาพโครงสร้างอะตอมที่ประกอบไปด้วย นิวตรอน โปรตอน และอิเล็กตรอน เมื่อสมัยครั้งยังเป็นนักเรียนก็ผุดลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้าในอากาศ นิวตรอนและโปรตอนอยู่กึ่งกลางของอะตอม ส่วนอิเล็กตรอนนั้นวิ่งหมุนวนอยู่ที่ด้านนอก ในแต่ละระดับชั้นพลังงานที่แตกต่างกัน
 
ระดับพลังงานที่ใกล้กับนิวเคลียสมากที่สุด คือระดับชั้นพลังงานที่หนึ่ง ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ภาษาอังกฤษตัว ‘เค’ ถัดมาเป็นระดับชั้นพลังงานที่สอง สาม สี่ และต่อ ๆ ไป ซึ่งก็แทนด้วยสัญลักษณ์ ‘แอล’ ‘เอ็ม’ ‘เอ็น’ ตามลำดับเช่นกัน
 
ทีนี้มาลองสมมติว่า ถ้าแต่ละระดับชั้นพลังงานคือแต่ละมิติล่ะ ก็หมายความว่าแต่ละมิติมีอยู่จริง เพียงแต่ว่ามันอยู่กันที่คนละระดับชั้นพลังงานนั่นเอง
 
และถ้าหากสมมติต่อไปว่าอิเล็กตรอนคือสิ่งมีชีวิต ก็แปลว่าในแต่ละมิติก็ล้วนมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ใช่ไหม
 
เปรียบกับโลกที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว ก็แสดงว่าไม่ใช่เพียงแค่โลกสามมิติเท่านั้นที่มีสิ่งมีชีวิต แต่เป็นด้วยเงื่อนไขของระดับชั้นพลังงานหรือมิติที่แตกต่างกัน ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตในมิติอื่นได้
 
และนั่นก็ทำให้เราไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตอื่นใด ที่แตกต่างจากที่เราเห็นอยู่เลยในทุกวันนี้
 
คำถามต่อมาที่ผุดขึ้นในหัวก็คือ แล้วสิ่งมีชีวิตในมิติอื่นจะมีรูปลักษณ์เป็นแบบไหนกันล่ะ
 
ลองคิดถอยย้อนกลับไปนิดหน่อย...หากเราเปรียบว่าโลกสองมิติคือโลกแบบหน้ากระดาษ
 
เมื่อเราวาดรูปคน ๆ หนึ่งลงไปบนหน้ากระดาษ คน ๆ นั้นก็จะโลดแล่นได้เพียงแค่ในแนวระนาบของหน้ากระดาษเท่านั้น
 
ซึ่งถ้าหากเราวาดวงกลมสักวงล้อมรอบคน ๆ นั้นเอาไว้ เขาซึ่งอยู่บนหน้ากระดาษก็จะไม่มีวันหาทางออกมาจากวงกลมวงนั้นได้อีกเลย
 
นี่ละ...คือโลกสองมิติ
 
ทว่าสำหรับเราที่อยู่ในโลกสามมิตินั้นแตกต่างออกไป เมื่อเราถูกล้อมกรอบด้วยกำแพง เราจะพบว่าเรายังมีทางเลือกอื่นให้หนีออกมาได้ อย่างเช่นการปีนข้ามกำแพง หรือการขุดดินเพื่อหลบหนีจากทางด้านล่างออกมา
 
และสิ่งเหล่านี้ก็คือความแตกต่างระหว่างโลกสองมิติและสามมิติ
 
มันแสดงให้เห็นว่าโลกในแบบสามมิติมีการรับรู้ ทางเลือก และมุมมองที่มากกว่า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ยังมีการรับรู้ ทางเลือก และมุมมองอื่น ๆ ในแบบโลกสามมิติ ที่คนในโลกสองมิติไม่สามารถมองเห็น ไม่สามารถสัมผัส ไม่สามารถรับรู้
 
เป็นโลกแบบที่ไม่ว่าจะพยายามทำความเข้าใจและจินตนาการอย่างไร คนในโลกสองมิติก็ไม่มีทางทำความเข้าใจและจินตนาการไปถึงได้
 
แล้วถ้าเป็นโลกที่อยู่เหนือขึ้นไปกว่าสามมิติล่ะ...
 
เป็นไปได้ไหมที่ยิ่งมิติสูงขึ้น การรับรู้ ทางเลือก และมุมมองก็จะยิ่งมากและหลากหลายขึ้นไปด้วยในแบบเดียวกันนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่คนบนโลกสามมิติไม่เคยเห็น ทำความเข้าใจไม่ได้ และจินตนาการไม่ออกเช่นเดียวกัน
 
เราซึ่งอยู่บนโลกสามมิติมองเห็นโลกสองมิติได้อย่างชัดเจนทุกซอกมุม เราอาจจินตนาการถึงโลกสี่มิติไปจนถึงสิบเอ็ดมิติได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงอย่างที่มันเป็น ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนบนโลกสองมิติซึ่งไม่อาจมองเห็นความจริงบนโลกสามมิติเลยสักนิด
 
ในโลกสี่มิติ...ที่นั่นอาจจะสามารถมองทะลุเนื้อหนังเข้าไปจนเห็นอวัยวะภายในได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เนื้อหนังที่ห่อหุ้มจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการรับรู้ในโลกสี่มิติอีกต่อไป ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่ เพียงแต่สิ่งที่เรียกว่ารูปลักษณ์กลับไม่ใช่สิ่งจำเป็น
 
มันอาจเป็นเพียงแค่ชั้นอากาศโปร่งใสในความหมายหรือความรู้สึกของคนบนโลกสี่มิติเท่านั้น
 
โลกมิติที่ห้าอาจมองทะลุผ่านเส้นเลือด เห็นการไหลเวียนของโลหิตในกาย และในมิตินี้เส้นเลือดก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ต้องมีให้เห็น
 
มิติที่เก้า...สิ่งมีชีวิตในระดับนี้อาจมองเห็นความเป็นไปของเวลา พวกเรารับรู้ได้ถึงกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง ทุกความไม่จีรังยั่งยืน ทุกความเป็นมาและเป็นไปของกาลเวลา
 
มิติที่สิบอาจเป็นมิติที่หยั่งเข้าไปได้ถึงจิตใจของผู้คนและสิ่งมีชีวิต เมื่อนั้น การคิดดีคิดร้ายสำหรับมิตินี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องมีอยู่และเกิดขึ้น
 
ส่วนในมิติที่สิบเอ็ด ที่นี่อาจเป็นโลกที่รู้เท่านั้นทุกสิ่ง และเมื่อรู้แจ้งในทุกอย่าง ทุกอย่างที่ว่ามานั้นก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป เป็นโลกที่หลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน
 
รูปลักษณ์ ความเป็นมาและเป็นไป กาลเวลา กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องมี เป็นมิติที่อยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่หลงเหลืออะไรที่จะเข้ามามีอิทธิพลอีกต่อไป
 
ทั้งหมดหยุดนิ่งและว่างเปล่า ไม่เหลือแม้กระทั่งการเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นโลกแห่งการรู้แจ้งและหลุดพ้นอย่างแท้จริง
 
จบเรื่องนี้ไว้แค่ตรงนี้ดีกว่า
 
แต่...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เราลองมาคิดเล่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องชวนขนหัวลุกันบ้างสักนิด
 
เรื่องมีอยู่ว่า คุณกำลังเดินอยู่ตรงสถานที่แปลกตาที่ไหนสักแห่ง โดยไม่ทันตั้งตัว จู่ ๆ คุณก็กลับพบว่ามีใครอีกคนมายืนประจันหน้าอยู่ด้วย
 
ทว่าชั่วอึดใจในขณะที่คุณกำลังสับสน ก่อนที่สมองของคุณจะทันคิดและประมวลผลได้ทัน คนแปลกหน้าคนนั้นก็หายวับไปแล้ว ราวกับว่าไม่เคยมีใครปรากฏตัวให้คุณเห็นมาก่อนเลย
 
ว่าแล้วก็ต้องขอย้อนกลับไปที่โครงสร้างอะตอมอีกครั้งหนึ่ง
 
เรื่องของเรื่องก็คือ ระดับชั้นพลังงานของอะตอมในแต่ละระดับนั้น นอกจาก เค แอล เอ็ม เอ็น แล้ว ยังมีระดับพลังงานย่อยซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ ‘เอส’ ‘พี’ ‘ดี’ และ ‘เอฟ’ บรรจุอยู่ในแต่ละระดับชั้นพลังงานอีกด้วย
 
เนื่องจากแรงดึงดูดของนิวเคลียสทำให้ระดับพลังงานชั้นที่อยู่ห่างออกไป มีระยะระหว่างชั้นที่แคบลงเรื่อย ๆ รวมถึงความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วมันก็ส่งผลให้ตั้งแต่ระดับชั้นพลังงานที่สาม หรือ ‘เอ็ม’ เป็นต้นไป ระดับพลังงานย่อยจึงเกิดการซ้อนทับเหลื่อมล้ำกัน
 
และที่ระดับชั้นพลังงานที่มีการซ้อนกันอยู่เหล่านั้น เราจะพบว่า อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามชั้นระดับพลังงานไปมาได้ เมื่อเราใส่พลังงานที่เหมาะสมลงไปให้กับมัน
 
แล้วถ้าเกิดกาลอากาศสิบเอ็ดมิติเป็นแบบเดียวกันกับอย่างนั้นล่ะ ถ้าหากมิติใดมิติหนึ่งซึ่งอยู่สูงขึ้นไปกว่าโลกสามมิติของเรา เกิดมีพลังงานที่เหมาะสมขึ้นมาในจังหวะใดจังหวะหนึ่งล่ะ
 
บางทีคน ๆ หนึ่งจากโลกอื่นซึ่งอยู่เหนือขึ้นไป ก็อาจปรากฏขึ้นมาให้เห็นตรงหน้า ก่อนที่สมดุลแห่งธรรมชาตจะทำให้ทุกสิ่งกลับไปสู่จุดเดิมอย่างที่มันควรเป็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกว่าจะตั้งสติได้ทัน เราก็พบว่าคน ๆ นั้นที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศหายวับไปแล้ว
 
บางที...สิ่งที่เราเห็นและกลัว อาจจะเป็นคนละอย่างกับสิ่งที่เราคิดใช่ไหม
 
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่ามันอาจจะเป็นไปได้สินะ ที่เราเองก็สามารถเดินทางไปยังโลกมิติอื่น ๆ ได้ แต่แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่การเดินทางด้วยรถ เรือ เครื่องบิน หรืออะไรอื่น ๆ ในแบบที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้
 
บางทีการฝึกจิตเพื่อยกระดับพลังงานในจิตใจอาจเป็นคำตอบก็เป็นได้
 
เอาละ...ผมว่าผมใช้เวลาฟุ้งซ่านอยู่กับตัวเองและเรื่องราวในสมองมานานเกินไปแล้ว เวลากำลังดึกได้ที่ เพื่อน ๆ เองก็กำลังครื้นเครงกันสุดเหวี่ยงแล้ว ผมว่าผมขอตัวกลับไปร่วมวงเฮฮากับพวกเขาต่อดีกว่าครับ

จบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่