ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 12
การศึกษาประวัติศาสตร์อาณาจักรยุคจารีตในประเทศไทยอย่าง อยุทธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์จนถึงช่วงรัชกาลที่ 5 คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ศึกษาเอกสารประเภทพงศาวดารที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์หลักในยุคสมัยดังกล่าวครับ
แต่ทั้งนี้ หลักฐานประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นพงศาวดาร จารึก จดหมายเหตุ บันทึกประจำวัน เอกสารของชาวต่างประเทศ ฯลฯ ล้วนถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยมนุษย์ ซึ่งมีภูมิหลัง ความรับรู้ ทัศนคติ จุดประสงค์แตกต่างกัน จึงอาจมีอคติในการบันทึกเจือปนอยู่ได้ทั้งสิ้นแม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามครับ
การศึกษาประวัติศาสตร์จึงไม่ควรยึดถือหลักฐานชิ้นใดชิ้นหนึ่งว่าเป็นข้อเท็จจริงตายตัว แต่ต้องมีการสังสัย ตั้งคำถาม วิพากษ์และพิจารณาสอบทานร่วมกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นประกอบด้วยเสมอถ้าสามารถหาได้ครับ
การศึกษาประวัติศาสตร์ จึงมีสิ่งที่เรียกว่า "วิธีการทางประวัติศาสตร์" ที่อาศัยหลักฐานและความเป็นเหตุเป็นผลเพื่อค้นหาสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ครับ
1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา
เริ่มตั้งคำถามก่อนว่าต้องการศึกษาเรื่องอะไร ยุคใด สมัยใด และวางกรอบสิ่งที่ต้องการจะศึกษา
2. การรวบรวมหลักฐาน
หลักฐานมีทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งเป็นสองประเภทคือ
หลักฐานชั้นต้น หรือ หลักฐานปฐมภูมิ (Primary sources) คือ หลักฐานที่ถูกจัดทำขึ้นร่วมสมัย ถูกบันทึกไว้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง เช่น กฎหมาย จดหมายเหตุ สนธิสัญญา พระราชสาส์น คำให้การ บันทึกการเดินทาง
หลักฐานชั้นรอง หรือ หลักฐานทุติยภูมิ (Secondary sources) คือ ข้อมูลหลักฐานที่ถูกจัดทำขึ้นภายหลัง อาจจะเป็นบันทึกของผู้ที่ได้รับทราบเหตุการณ์จากคำบอกเล่าของบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง หนังสือประวัติศาสตร์ที่มีผู้เขียนขึ้นภายหลัง หรือการค้นคว้าวิจัยที่ศึกษาจากหลักฐานชั้นต้น เช่น พงศาวดาร ตำนาน
บางแห่งมี หลักฐานตติยภูมิ (Tertiary sources) คือ หลักฐานที่เขียนหรือรวบรวมขึ้น จากหลักฐานปฐมภูมิและทุติยภูมิ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาอ้างอิง เช่น สารานุกรม หนังสือแบบเรียน และบทความทางประวัติศาสตร์ต่างๆ
โดยทั่วไปหลักฐานชั้นต้นมักมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานชั้นรองที่ถูกสร้างขึ้นทีหลัง แต่หลักฐานชั้นต้นก็สามารถให้ข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดได้ บางครั้งหลักฐานชั้นรองที่มีการตรวจสอบค้นคว้าที่ดีอาจให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมากกว่าได้เช่นกัน
3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
ใช้ "วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์" ประกอบด้วย
การวิพากษ์ภายนอก (external criticism) คือการตรวจสอบความแท้ (authencity) ของหลักฐาน โดยพิจารณาถึง อายุของหลักฐาน สภาพแวดล้อมที่หลักฐานถูกสร้างขึ้น ผู้สร้างหรือผู้เขียนหลักฐาน วัตถุประสงค์ของการสร้างหลักฐาน และรูปแบบเดิมของหลักฐาน
การวิพากษ์ภายใน (internal criticism) คือการตีความเนื้อหาที่ปรากฏภายในหลักฐาน และการประเมินคุณค่าข้อสนเทศว่าหลักฐานนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่
4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์
เอาข้อมูลจากหลักฐานที่ผ่านการประเมินคุณค่าและวิพากษ์แล้วมาศึกษาตีความวิเคราะห์ พิจารณาหาจุดประสงค์ของผู้บันทึก ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงที่อาจซ้อนเร้นอยู่ในข้อมูล จัดแยกประเภทข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ แล้วนำมาสังเคราะห์สร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อจำลองภาพประวัติศาสตร์ในอดีตขึ้นมาใหม่ ผู้ศึกษาจึงต้องมีความละเอียดรอบคอบ เป็นกลาง และอาจจะต้องอาศัยความรู้ด้านอื่นๆ มาประกอบการศึกษาด้วย
5. การเรียบเรียงหรือการนำเสนอ
นำข้อมูลมาเรียบเรียงและนำเสนอให้สอดคล้องกับหัวเรื่องที่กำหนดไว้ โดยสร้างคำอธิบายที่เป็นระบบ เป็นเหตุเป็นผล มีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน มีการโต้แย้งหรือสนับสนุนผลการศึกษาในอดีตโดยให้ข้อมูลสนับสนุนที่มีน้ำหนัก มีความเป็นกลาง ระบุแห่งที่มาของข้อมูล เพื่อให้ผู้อื่นสามารถตรวสอบได้
คนที่มีความเข้าใจในเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ไม่มีทางเชื่อหลักฐานเพียงชิ้นเดียว โดยไม่ได้ตั้งคำถามและทำการวิพากษ์ตรวจสอบครับ
แต่ทั้งนี้ หลักฐานประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นพงศาวดาร จารึก จดหมายเหตุ บันทึกประจำวัน เอกสารของชาวต่างประเทศ ฯลฯ ล้วนถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยมนุษย์ ซึ่งมีภูมิหลัง ความรับรู้ ทัศนคติ จุดประสงค์แตกต่างกัน จึงอาจมีอคติในการบันทึกเจือปนอยู่ได้ทั้งสิ้นแม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามครับ
การศึกษาประวัติศาสตร์จึงไม่ควรยึดถือหลักฐานชิ้นใดชิ้นหนึ่งว่าเป็นข้อเท็จจริงตายตัว แต่ต้องมีการสังสัย ตั้งคำถาม วิพากษ์และพิจารณาสอบทานร่วมกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นประกอบด้วยเสมอถ้าสามารถหาได้ครับ
การศึกษาประวัติศาสตร์ จึงมีสิ่งที่เรียกว่า "วิธีการทางประวัติศาสตร์" ที่อาศัยหลักฐานและความเป็นเหตุเป็นผลเพื่อค้นหาสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ครับ
1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา
เริ่มตั้งคำถามก่อนว่าต้องการศึกษาเรื่องอะไร ยุคใด สมัยใด และวางกรอบสิ่งที่ต้องการจะศึกษา
2. การรวบรวมหลักฐาน
หลักฐานมีทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งเป็นสองประเภทคือ
หลักฐานชั้นต้น หรือ หลักฐานปฐมภูมิ (Primary sources) คือ หลักฐานที่ถูกจัดทำขึ้นร่วมสมัย ถูกบันทึกไว้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง เช่น กฎหมาย จดหมายเหตุ สนธิสัญญา พระราชสาส์น คำให้การ บันทึกการเดินทาง
หลักฐานชั้นรอง หรือ หลักฐานทุติยภูมิ (Secondary sources) คือ ข้อมูลหลักฐานที่ถูกจัดทำขึ้นภายหลัง อาจจะเป็นบันทึกของผู้ที่ได้รับทราบเหตุการณ์จากคำบอกเล่าของบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง หนังสือประวัติศาสตร์ที่มีผู้เขียนขึ้นภายหลัง หรือการค้นคว้าวิจัยที่ศึกษาจากหลักฐานชั้นต้น เช่น พงศาวดาร ตำนาน
บางแห่งมี หลักฐานตติยภูมิ (Tertiary sources) คือ หลักฐานที่เขียนหรือรวบรวมขึ้น จากหลักฐานปฐมภูมิและทุติยภูมิ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาอ้างอิง เช่น สารานุกรม หนังสือแบบเรียน และบทความทางประวัติศาสตร์ต่างๆ
โดยทั่วไปหลักฐานชั้นต้นมักมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานชั้นรองที่ถูกสร้างขึ้นทีหลัง แต่หลักฐานชั้นต้นก็สามารถให้ข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดได้ บางครั้งหลักฐานชั้นรองที่มีการตรวจสอบค้นคว้าที่ดีอาจให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมากกว่าได้เช่นกัน
3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
ใช้ "วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์" ประกอบด้วย
การวิพากษ์ภายนอก (external criticism) คือการตรวจสอบความแท้ (authencity) ของหลักฐาน โดยพิจารณาถึง อายุของหลักฐาน สภาพแวดล้อมที่หลักฐานถูกสร้างขึ้น ผู้สร้างหรือผู้เขียนหลักฐาน วัตถุประสงค์ของการสร้างหลักฐาน และรูปแบบเดิมของหลักฐาน
การวิพากษ์ภายใน (internal criticism) คือการตีความเนื้อหาที่ปรากฏภายในหลักฐาน และการประเมินคุณค่าข้อสนเทศว่าหลักฐานนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่
4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์
เอาข้อมูลจากหลักฐานที่ผ่านการประเมินคุณค่าและวิพากษ์แล้วมาศึกษาตีความวิเคราะห์ พิจารณาหาจุดประสงค์ของผู้บันทึก ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงที่อาจซ้อนเร้นอยู่ในข้อมูล จัดแยกประเภทข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ แล้วนำมาสังเคราะห์สร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อจำลองภาพประวัติศาสตร์ในอดีตขึ้นมาใหม่ ผู้ศึกษาจึงต้องมีความละเอียดรอบคอบ เป็นกลาง และอาจจะต้องอาศัยความรู้ด้านอื่นๆ มาประกอบการศึกษาด้วย
5. การเรียบเรียงหรือการนำเสนอ
นำข้อมูลมาเรียบเรียงและนำเสนอให้สอดคล้องกับหัวเรื่องที่กำหนดไว้ โดยสร้างคำอธิบายที่เป็นระบบ เป็นเหตุเป็นผล มีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน มีการโต้แย้งหรือสนับสนุนผลการศึกษาในอดีตโดยให้ข้อมูลสนับสนุนที่มีน้ำหนัก มีความเป็นกลาง ระบุแห่งที่มาของข้อมูล เพื่อให้ผู้อื่นสามารถตรวสอบได้
คนที่มีความเข้าใจในเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ไม่มีทางเชื่อหลักฐานเพียงชิ้นเดียว โดยไม่ได้ตั้งคำถามและทำการวิพากษ์ตรวจสอบครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมเราถึงต้องเชื่อพงศาวดาร? เมื่อผู้เขียนคือผู้ชนะ เขาอาจมีอคติส่วนตัวในการเขียนก็ได้เราจะหาความจริงได้จากอะไร
แล้วเราจะทำยังไงถึงจะแยกแยะความจริงจากนิยายในพงศาวดารได้? เราควรจะเชื่อทุกอย่างที่เขียนไว้ หรือควรจะตั้งคำถามอยู่เสมอ? มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ"