ย้อนไปเมื่อสมัยเรียนมัธยม จขกท เป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไหร่ ตอนวันหยุดที่พ่อแม่ไปทำงานก็จะเล่นเกมทั้งวัน แล้วก่อนพ่อกับแม่กลับบ้านก็จะตั้งท่าเป็นอ่านหนังสือ
สมัครเรียนพิเศษแต่ก็ไม่ค่อยได้เข้าเรียนเท่าไหร่ แค่อยากจะเข้ากทม.เฉยๆ ให้เพื่อนๆในวัยเดียวกันไปเรียนกันหมดเลย ก็อยากจะมีอะไรไว้คุยกับเขาบ้าง
เพราะว่าพ่อแม่รับราชการครู เขาก็จะมีตัวเลือกที่อยากให้เรียนต่อในมหาลัยไม่เท่าไหร่ หมอ วิศวะ ครู จบไปก็อยากจะให้ไปรับราชการค่ะ ก็เลยไม่เคยได้คิดว่าอยากเรียนอะไรเลย อยากจะเรียนภาษาแม่ก็กีดกันมาก เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรกินในอนาคต
ตอนนั้นเรียกได้ว่าไม่มีทางเลือก มันไม่ได้มีคำว่าค่อยๆคุย ค่อยๆปรีกษากับพ่อแม่ หรือคนละครึ่งทางอะไรเลย
แล้วตอนเรียนม.6 ก็ป่วยหนักมากนอนรพ.อยู่นานเป็นเดือนเลยทำให้จบมาที่ 3.6 แล้วก็ยื่นคะแนนเข้ามหาลัย บังเอิญว่าติด
ติดสาขาที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่แม่ค่อนข้างประทับใจภูมิใจ
ระหว่างเรียนก็โทรไปหาที่บ้านว่าจะซิ่วทุกครั้งที่จะสอบ
แต่ก็จบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 สูงที่สุดในรุ่นเลยค่ะ แบบงงๆ
ได้ทุนไปต่อโท เอกที่ตปท.
ระหว่างปีสุดท้ายของปริญญาเอกก็เกิดคิดถึงมาว่า จบแล้วจะไปทำอะไร จบแล้วจะไปเป็นอาจารย์จริงๆเหรอ จบแล้วจะไปทำตามค่านิยมจริงๆเหรอ
เริ่มถามตัวเองเยอะขึ้น หนักขึ้น... ไม่มีคำตอบให้ตัวเองค่ะ
เพราะด้วยที่ไม่เคยต้องพยายามอะไรเลย มันก็เลยไม่ได้มีความอยากจะได้อยากจะมี ความกระหายที่จะได้มาก รู้สึกว่าตัวเองเคว้งไปหมด คุยกับคนที่เขาพยายามทำซักอย่างให้ได้มารู้สึกว่าเรามันต่างกันฟ้ากับเหวเลย รู้สึกว่ามันไม่เต็ม ความรู้ไม่เต็ม ไม่ภูมิใจในตัวเอง มันหลงทางไปหมด รู้สึกเหมือนอัดแน่นจนจะแตกออกมา แต่ก็ไม่รู้อะไรมันจะแตก เปรียบเทียบตัวเองกันคนที่เขาพยายาม มันทำให้เราดูแย่ ทำไมเขาสู้เหลือเกินว่ะ สุดท้ายนอนมองเพดานเฉยๆ แล้วหายใจทิ้ง
ช่วงปีใหม่ก่อนที่จะจบปริญญาเอก ก็พบว่าเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ ดีที่วันนั้นมีเสียงกาต้มน้ำช่วยมั๊ย
ได้สติรีบโทรหาเพื่อน โทรบอกแม่ ว่ามันไม่ปกติแล้วนะ ถึงจะอยู่ไกลจากประเทศไทยแต่เพื่อนทุกคนน่ารักมาก
โทรเฝ้าเรา 24 ชม. เลยค่ะ ผลัดกันใครทำงานดึกงานเช้า คนที่นั่นก็ช่วยกันเฝ้า
สุดท้ายตัดสินใจพักการเรียนหนึ่งเทอมเพราะไปต่อไม่ไหวจริงๆ อาจารย์ไม่ได้ว่าอะไร เพื่อนๆไม่ได้ว่าอะไร
บินกลับไทยแบบเร่งด่วนข้าวของก็ส่งทางเรือกลับมาหมดเลย ยังจำวันที่เดินไปกับเพื่อนสาวสองคน ลากข้าวของเครื่องใช้ไปทิ้งที่ริมน้ำได้อยู่เลย มันผ่านหน้าหนาวมาซักพักกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ สามกระเทยเดินลากกระเป๋ากาน้ำจากบ้านที่ห่างจากที่ทิ้งของใช้แล้วประมาณสองไฟแดงร้องเพลงไทย ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ได้อยู่ที่นั่น 5 ปีแล้วยังไม่ได้กลับไปอีกเลย
แต่หลังจากทำทุกอย่างเสร็จก็บินกลับไทย 2 อาทิตย์ กลับมาหาจิตแพทย์ ทำการรักษาจริงจัง พาคนที่บ้านไปหาด้วยกัน
ขอบคุณพ่อมากๆที่ไม่ได้เชื่อเรียนโรคซึมเศร้า แต่ก็ยอมไปเป็นเพื่อนกัน
มันทำให้รู้ว่าถ้าเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเราเองให้เราสบายใจขึ้น เขาเองที่ไม่เช่ือแต่ก็พยายามแล้ว
จากวันนี้ก็ปลดล๊อคทุกอย่างเลยค่ะ เพราะหมอเล่าให้ฟังว่าพ่อต้องเจออะไรมาบ้าง แล้วทำไมถึงทำให้เรามาถึงจุดนี้ ก็ได้ความว่าอ่อ เป็นซึมเศร้าแบบเรื้อรังนะ เป็นมานานแล้วแต่ไม่เคยสนใจ และอาจจะเป็นเพราะพันธุกรรมด้วย เท่ห์จะตาย
อยู่ไทยได้ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ก็ตัดสินใจมาเรียนภาษาที่ประเทศอื่น ก่อนที่จะกลับไปเรียนให้จบปริญญาเอก แต่เลยก็เจอเข้ากับโควิด ว่าง.... เลย
แต่เพราะว่าแลบจบแล้วค่ะ เลยสามารถสอบจบผ่านวิดีโอคอลได้
จบปริญญาเอกไป......
สุดท้ายมานั่งคิดว่าอยากจะทำอะไรน้อในชีวิต เคยอยากเป็นอะไรบ้างรึเปล่าจากใจจริงๆ
มานั่งคิดดู มาลองดูลักษณะนิสัยตัวเอง
อยากเป็นจิตแพทย์ค่ะ ตอนอายุ 30 กว่า
ตอนนั้นเพราะคิดว่าจะประชดแม่ ไม่ต้องตั้งใจมากหรอกเรียนๆไป ถ้าตั้งใจเรียนมากแม่จะได้เปรียบแล้วเอาไปอวดคนอื่น ถ้าได้อวดคนอื่นแม่จะสบายใจ ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะคะ เพราะเกิดมาในครอบครัวที่ชอบเปรียบเทียบกับลูกเพื่อน ลูกญาติ ก็คิดแต่จะประชดค่ะ
ก็เลยไม่กล้าฝันว่าจะเป็นจิตแพทย์ เคยบอกพ่อไปตอนก่อนจะสายช่วงม.ปลาย พ่อบอกว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่เรียน
แถมคนที่จะเรียนเป็นหมอในรุ่นก็เหมือนจะเก่งมาแต่กำเนิด
แต่ตอนนี้ไม่มีคนห้ามแล้ว แล้วก็ไม่มีคนดูถูกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่อะไรที่ได้มาแบบฟลุ๊คๆ หรือว่าตามน้ำแล้ว
แค่อยากจะออกมาประกาศค่ะ ว่าจะลองสอบหมอแล้วนะ แล้วก็จะไม่ปิดบังความชอบอีกต่อไป ไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ไม่สนใจแล้วหล่ะ
แล้วก็จะเป็นหมอแล้วนะ
"เกิดมาแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ลองตอนนี้ ไม่ตั้งใจทำตอนนี้ จะทำตอนไหน"
ขอบคุณค่ะที่อ่านมาถึงตอนนี้
มันน่าจะมีอะไรให้คนอ่านได้อะไรบ้างนะคะ
เรื่องเล่าเฉยๆ อยู่ๆก็อยากกลับมาเรียนตอนอายุ 30 กว่า
สมัครเรียนพิเศษแต่ก็ไม่ค่อยได้เข้าเรียนเท่าไหร่ แค่อยากจะเข้ากทม.เฉยๆ ให้เพื่อนๆในวัยเดียวกันไปเรียนกันหมดเลย ก็อยากจะมีอะไรไว้คุยกับเขาบ้าง
เพราะว่าพ่อแม่รับราชการครู เขาก็จะมีตัวเลือกที่อยากให้เรียนต่อในมหาลัยไม่เท่าไหร่ หมอ วิศวะ ครู จบไปก็อยากจะให้ไปรับราชการค่ะ ก็เลยไม่เคยได้คิดว่าอยากเรียนอะไรเลย อยากจะเรียนภาษาแม่ก็กีดกันมาก เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรกินในอนาคต
ตอนนั้นเรียกได้ว่าไม่มีทางเลือก มันไม่ได้มีคำว่าค่อยๆคุย ค่อยๆปรีกษากับพ่อแม่ หรือคนละครึ่งทางอะไรเลย
แล้วตอนเรียนม.6 ก็ป่วยหนักมากนอนรพ.อยู่นานเป็นเดือนเลยทำให้จบมาที่ 3.6 แล้วก็ยื่นคะแนนเข้ามหาลัย บังเอิญว่าติด
ติดสาขาที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่แม่ค่อนข้างประทับใจภูมิใจ
ระหว่างเรียนก็โทรไปหาที่บ้านว่าจะซิ่วทุกครั้งที่จะสอบ
แต่ก็จบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 สูงที่สุดในรุ่นเลยค่ะ แบบงงๆ
ได้ทุนไปต่อโท เอกที่ตปท.
ระหว่างปีสุดท้ายของปริญญาเอกก็เกิดคิดถึงมาว่า จบแล้วจะไปทำอะไร จบแล้วจะไปเป็นอาจารย์จริงๆเหรอ จบแล้วจะไปทำตามค่านิยมจริงๆเหรอ
เริ่มถามตัวเองเยอะขึ้น หนักขึ้น... ไม่มีคำตอบให้ตัวเองค่ะ
เพราะด้วยที่ไม่เคยต้องพยายามอะไรเลย มันก็เลยไม่ได้มีความอยากจะได้อยากจะมี ความกระหายที่จะได้มาก รู้สึกว่าตัวเองเคว้งไปหมด คุยกับคนที่เขาพยายามทำซักอย่างให้ได้มารู้สึกว่าเรามันต่างกันฟ้ากับเหวเลย รู้สึกว่ามันไม่เต็ม ความรู้ไม่เต็ม ไม่ภูมิใจในตัวเอง มันหลงทางไปหมด รู้สึกเหมือนอัดแน่นจนจะแตกออกมา แต่ก็ไม่รู้อะไรมันจะแตก เปรียบเทียบตัวเองกันคนที่เขาพยายาม มันทำให้เราดูแย่ ทำไมเขาสู้เหลือเกินว่ะ สุดท้ายนอนมองเพดานเฉยๆ แล้วหายใจทิ้ง
ช่วงปีใหม่ก่อนที่จะจบปริญญาเอก ก็พบว่าเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ ดีที่วันนั้นมีเสียงกาต้มน้ำช่วยมั๊ย
ได้สติรีบโทรหาเพื่อน โทรบอกแม่ ว่ามันไม่ปกติแล้วนะ ถึงจะอยู่ไกลจากประเทศไทยแต่เพื่อนทุกคนน่ารักมาก
โทรเฝ้าเรา 24 ชม. เลยค่ะ ผลัดกันใครทำงานดึกงานเช้า คนที่นั่นก็ช่วยกันเฝ้า
สุดท้ายตัดสินใจพักการเรียนหนึ่งเทอมเพราะไปต่อไม่ไหวจริงๆ อาจารย์ไม่ได้ว่าอะไร เพื่อนๆไม่ได้ว่าอะไร
บินกลับไทยแบบเร่งด่วนข้าวของก็ส่งทางเรือกลับมาหมดเลย ยังจำวันที่เดินไปกับเพื่อนสาวสองคน ลากข้าวของเครื่องใช้ไปทิ้งที่ริมน้ำได้อยู่เลย มันผ่านหน้าหนาวมาซักพักกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ สามกระเทยเดินลากกระเป๋ากาน้ำจากบ้านที่ห่างจากที่ทิ้งของใช้แล้วประมาณสองไฟแดงร้องเพลงไทย ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ได้อยู่ที่นั่น 5 ปีแล้วยังไม่ได้กลับไปอีกเลย
แต่หลังจากทำทุกอย่างเสร็จก็บินกลับไทย 2 อาทิตย์ กลับมาหาจิตแพทย์ ทำการรักษาจริงจัง พาคนที่บ้านไปหาด้วยกัน
ขอบคุณพ่อมากๆที่ไม่ได้เชื่อเรียนโรคซึมเศร้า แต่ก็ยอมไปเป็นเพื่อนกัน
มันทำให้รู้ว่าถ้าเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเราเองให้เราสบายใจขึ้น เขาเองที่ไม่เช่ือแต่ก็พยายามแล้ว
จากวันนี้ก็ปลดล๊อคทุกอย่างเลยค่ะ เพราะหมอเล่าให้ฟังว่าพ่อต้องเจออะไรมาบ้าง แล้วทำไมถึงทำให้เรามาถึงจุดนี้ ก็ได้ความว่าอ่อ เป็นซึมเศร้าแบบเรื้อรังนะ เป็นมานานแล้วแต่ไม่เคยสนใจ และอาจจะเป็นเพราะพันธุกรรมด้วย เท่ห์จะตาย
อยู่ไทยได้ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ก็ตัดสินใจมาเรียนภาษาที่ประเทศอื่น ก่อนที่จะกลับไปเรียนให้จบปริญญาเอก แต่เลยก็เจอเข้ากับโควิด ว่าง.... เลย
แต่เพราะว่าแลบจบแล้วค่ะ เลยสามารถสอบจบผ่านวิดีโอคอลได้
จบปริญญาเอกไป......
สุดท้ายมานั่งคิดว่าอยากจะทำอะไรน้อในชีวิต เคยอยากเป็นอะไรบ้างรึเปล่าจากใจจริงๆ
มานั่งคิดดู มาลองดูลักษณะนิสัยตัวเอง
อยากเป็นจิตแพทย์ค่ะ ตอนอายุ 30 กว่า
ตอนนั้นเพราะคิดว่าจะประชดแม่ ไม่ต้องตั้งใจมากหรอกเรียนๆไป ถ้าตั้งใจเรียนมากแม่จะได้เปรียบแล้วเอาไปอวดคนอื่น ถ้าได้อวดคนอื่นแม่จะสบายใจ ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะคะ เพราะเกิดมาในครอบครัวที่ชอบเปรียบเทียบกับลูกเพื่อน ลูกญาติ ก็คิดแต่จะประชดค่ะ
ก็เลยไม่กล้าฝันว่าจะเป็นจิตแพทย์ เคยบอกพ่อไปตอนก่อนจะสายช่วงม.ปลาย พ่อบอกว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่เรียน
แถมคนที่จะเรียนเป็นหมอในรุ่นก็เหมือนจะเก่งมาแต่กำเนิด
แต่ตอนนี้ไม่มีคนห้ามแล้ว แล้วก็ไม่มีคนดูถูกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่อะไรที่ได้มาแบบฟลุ๊คๆ หรือว่าตามน้ำแล้ว
แค่อยากจะออกมาประกาศค่ะ ว่าจะลองสอบหมอแล้วนะ แล้วก็จะไม่ปิดบังความชอบอีกต่อไป ไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ไม่สนใจแล้วหล่ะ
แล้วก็จะเป็นหมอแล้วนะ
"เกิดมาแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ลองตอนนี้ ไม่ตั้งใจทำตอนนี้ จะทำตอนไหน"
ขอบคุณค่ะที่อ่านมาถึงตอนนี้
มันน่าจะมีอะไรให้คนอ่านได้อะไรบ้างนะคะ