โอกาสและความเป็นไปได้ของฤดูหนาว 2567/2568

และแล้วช่วงเวลาที่ชาวไทย(โดยเฉพาะชาวภาคกลาง และกทม.ที่ไม่ใคร่จะมีโอกาสสัมผัสลมหนาว) คาดหวัง และตั้งคำถามต่ออากาศก็ได้เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง  (คำถามคงไม่พ้น เมื่อไหร่มันจะหนาวซักที(ฟะ) หรืออย่างปีนี้มันจะหนาวได้หรือเปล่า(ฟะเนี่ย) 

หลายท่านที่ติดตามกระทู้อากาศมานานน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากระทู้เก่าๆที่ผม(เสนอหน้า)มาคาดการณ์สภาพอากาศฤดูหนาวเสียทุกๆปีอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อนเนื้อหาที่เคยได้เขียนไปแล้ว หากมีข้อสงสัยในรายละเอียดของศัพท์เทคนิกใดที่ไม่ได้อธิบายในกระทู้นี้ ลองค้นดูที่กระทู้เก่าๆที่ผมเคยตั้งไว้ได้เลยครับ

[ หากท่านใดอยากอ่านสรุปความสั้นๆ  กรุณาเลื่อนไปอ่านที่ความเห็น 1 ]


มาเข้าเรื่องของฤดูหนาวปีนี้กันเลยดีกว่า

เช่นเดิมหากจะคาดการณ์ระยะยาว คงไม่มีตัวแปรใดสำคัญไปกว่าลักษณะของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลโลกอีกแล้ว ซึ่งก็แน่นอนเพราะมันเป็นตัวแปรที่สเกลการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า หลักสัปดาห์ไปจนถึงเดือน ด้วยเหตุนี้ผลที่มันส่งถึงอากาศจึงค่อนข้างจะสามารถคาดเดารูปแบบคร่าวๆได้ 
ลักษณะปัจจุบันเป็นอย่างไร ลองดูได้ตามภาพล่างเลยครับ


จะสังเกตได้ว่ากลางแปซิฟิกค่อนข้างเย็นกว่าปกติ และทางฝั่งตะวันตกของแปซิฟิกร้อนกว่าโดยทั่วกัน ลักษณะแบบนี้ก็ย่อมทำให้อากาศยกตัวแถวด้านตะวันออกของฟิลิปปินส์มากเป็นพิเศษหน่อย แต่ก็ด้วยความที่ส่วนที่ทะเลอุ่นมันกินไปจนจะเส้นแบ่งเขตวัน และบริเวณที่ทะเลเย็นก็ไม่เย็นขนาดนั้น เพราะงั้นลักษณะของ ENSO ปีนี้จึงน่าจะอยู่ที่สถานะกลางๆเกือบ La Nina เพราะงั้นคาดว่าลักษณะอากาศตามสไตล์ปี La Nina คงไม่ใช่สำหรับหนาวนี้แน่ (ไม่เหมือน La Nina 3 ปีติดช่วง โคโรน่าที่ผ่านมา)

ลองมาซูมขยายกันดูที่บริเวณทะเลแถวบ้านเรามั่ง


จะเห็นได้ชัดว่าปีนี้บริเวณทะเลที่ร้อนกว่า 27 C (ขีดเริ่มของบริเวณที่ก่อพายุเขตร้อนได้) ลากยาวไปจนจะยันญี่ปุ่น แม้ว่าเมื่อเข้าหนาวไปเรื่อยๆทะเลจะค่อยเย็นลงตามลำดับ แต่ลักษณะของแนวลาดของอุณหภูมิ (Temperature gradient) ของผิวน้ำทะเลที่ชันที่สุด น่าจะทำตัวเฉียงๆในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังงี้ไปจนจบหน้าหนาว

จุดนี้บ่งบอกถึงอะไร ? 

ก่อนอื่นต้องมาดูกลไกการไหลของลมกรดก่อนว่ามันทำงานอย่างไร  โดยหลักๆนั้น ความลาดของอุณหภูมิ และความดัน(ความกดอากาศ)นั้นเป็นตัวแปรในการพิจารณาความหนาแน่นของอากาศเรียกว่า การไหลแบบความดันเอน (Baroclinic Flow) ซึ่งหากอธิบายโดยง่าย ก็คือ ยิ่งความลาดของอุณหภูมิที่แต่ละชั้นความสูง มันสูงขึ้นก็ยิ่งทำให้อากาศมันขยายตัวต่างกัน ร้อนมากกว่าย่อมขยายกว่า ความหนานแน่นต่ำกว่า ส่งผลให้ลาดของความดัน (Pressure gradient) มันไม่เท่ากัน ซึ่งหมายถึงยิ่งความสูงมากขึ้นก็ยิ่งลาดมากขึ้น

เมื่อลาดของความดันมันสูงขึ้น แรงลาดความดัน (Pressure gradient force) ก็ย่อมแรงมากขึ้นตาม และเพื่อสมดุลแรงให้เท่ากันซ้ายขวา ทิศตรงข้ามของแรงลาดความดัน ก็ต้องเป็นแรง คอริโอลิส (Coriolis) หรือก็คือ ที่ความสูง สูงขึ้นไป แรงคอริโอลิส ก็ย่อมแรงมากขึ้นตาม และเมื่อแรงคอริโอลิส, ซึ่งเป็นแรงที่เบี่ยงให้การเคลื่อนที่ไปทางขวาตั้งฉากกับทิศทางของลมสำหรับซีกโลกเหนือ, มันแรงมากขึ้น ก็เป็นการบ่งบอกถึงความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าลมกรดที่ไหลไวๆ จึงมักอยู่ที่ความสูงบนๆ ไม่ใช่ความสูงแถวพื้น ก็มาจากลาดความดันที่ลาดมากกว่าที่ความสูงบนๆนั่นเอง 

ลักษณะการไหลของลม 2 แบบใหญ่ๆ คือ
แบบที่ 1 แบบความดันบ่ง (Barotropcic) คิอ แค่ความดันเท่านั้นที่เป็นตัว"บ่ง"บอกความหนาแน่นของๆไหล ลาดความดันในแต่ละความสูงจึงเท่าๆกัน(เส้นประๆสี่เหลี่ยมแต่ละชั้นความสูงขนานกัน) หรือมองอีกนัย ลาดความดันขนานกับลาดความหนาแน่น (Density Gradient)
โดยปกตินั้นที่บริเวณเขตร้อน ลาดอุณหภูมิไม่สูงมาก หรือน้อยมาก การตั้งสมมติฐานว่าการไหลของอากาศแถบนี้เป็นไปแบบความดันบ่ง จึงง่ายต่อการคำนวณ และค่อนข้างเพียงพอ
ส่วนแบบที่ 2 ที่เขียนไปก่อนหน้า, แบบความดันเอน (Baroclinic) หรือก็คือความดันมันเอนออกจากเดิม ยิ่งสูงลาดความหนาแน่นก็ยิ่งสูงขึ้น และลาดความดันก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน


ที่จำเป็นต้องเข้าใจกลไกลของลมกรดนั้น ก็เนื่องมาจากลมกรดเป็นตัวกำหนดรูปแบบอากาศอย่างบริเวณความกดอากาศสูง และต่ำในบริเวณละติจูดกลาง
ซึ่งก็ถือว่าเป็นต้นทางความกดอากาศสูงที่จะไหลมาบ้านเรานั่นเอง

ดังที่ได้เขียนไปก่อนหน้า ความแรงของลมกรดขึ้นอยู่กับลาดอุณหภูมิเป็นสำคัญ กล่าวคือ ยิ่งลาดอุณหภูมิมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะทำให้ลมกรดนั้นมีความแรงมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความที่อุณหภูมิอากาศเหนือผิวน้ำค่อนข้างที่จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เพราะงั้นปีนี้ที่ทะเลร้อนเป็นแนวลักษณะแบบนี้ แนวลาดอุณหภูมิอากาศส่วนที่ลาดสุดมันก็มักจะลากยาวพาดไล่ไปถึงใต้ญี่ปุ่นเป็นอย่างน้อย แถมทำมุมทิศเฉียงเหนือค่อนข้างมาก ทำให้คาดการณ์ได้ว่า

ปีนี้ลมกรดมีโอกาสจะไหลในลักษณะเชิดขึ้นไปทางทิศเหนือได้มากกว่าปกติ แถมยังมีจะมีกำลังแรงกว่าปกติด้วย

ลมกรดมากำหนดรูปแบบอากาศได้ยังไง ?

[ผมเคยเขียนไปถึงประเภทของความกดอากาศสูงไปแล้ว ท่านที่สนใจลองไปอ่านในกระทู้เก่าๆได้ครับ]

ในส่วนนี้จะเน้นที่ร่องอากาศ (trough)  ส่งผลต่ออากาศที่พื้นดินอย่างไร 

ก่อนอื่นต้องมาพูดถึง บริเวณลำบีบ หรือ (jet streak) กันก่อน

ตามรูปบน ลมกรดไหลจากซ้ายไปขวา และผ่านบริเวณลำบีบซึ่งหมายถึงลาดความดันมันลาดมากขึ้นตรงบริเวณลำบีบ ส่งผลให้ความเร็วลมขณะไหลผ่านลำบีบมันสูงขึ้น 
หน้าตัดที่สนใจแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทางเข้า(A-B Entrance) และทางออก(C-D Exit) เมื่ออากาศไหลผ่านส่วนเข้านั้น แรงลาดความดันก็จะสูงขึ้น แรงคอริโอลิสจึงตอบสนองโดยการเพิ่มความแรงมากขึ้นตามเพื่อรักษาสมดุล เสียแต่ว่ามันไม่ฉับพลันทันที เพราะงั้นตรงทางเข้าฝั่งซ้ายหรือ B นั้น จะมีแรงลาดความดันสูงกว่าแรงคอริโอลิส ลมจึงไม่อยู่ในรูปสมดุล (เรียกลมแบบนี้ว่า ageostrophic wind คำไทยก็ประมาณ อสมภูมิ) มีเวกเตอร์ลมบางส่วน (Va) ไหลจาก A ไปหา B อากาศที่พื้นบริเวณ B จึงจมลง(ความกดอากาศที่พื้นสูงขึ้น) ในขณะที่ A ยกตัวขึ้น(ความกดอากาศที่พื้นต่ำลง)
พอที่ทางออก ก็กลับกัน ค่าลาดความดันมันน้อยกว่าในบริเวณลำบีบ คราวนี้เลยกลายเป็นแรงคอริโอลิสสูงกว่า จึงมีเวกเตอร์อากาศไหลจากบริเวณ Dไป C แทน อากาศที่พื้นบริเวณ C จึงจมลง(ความกดอากาศที่พื้นสูงขึ้น) ในขณะที่ D ยกตัวขึ้น(ความกดอากาศที่พื้นต่ำลง)

อีกประการหนึ่งที่สำคัญ การเร่งความเร็วของลมกรดยังเกิดได้จากการส่ายของลมกรด กล่าวคือเมื่อลมกรดตีวงเป็นร่องลงมาแถวญี่ปุ่น ช่วงหัวโค้งก่อนเข้าโค้งเนื่องจากต้องมีแรงหนีศูนย์กลางมากระทำในทิศทางเดียวกับแรงคอริโอลิส แรงคอริโอลิสจึงอ่อนกำลังลง และนั่นหมายถึงความเร็วลมกรดลดต่ำลงส่งผลให้อากาศมีบางส่วนจมลงไปด้านล่างมากขึ้น (ความกดอากาศที่พื้นสูงขึ้น) ในทางกลับกันอีกด้านออกจากโค้งแรงหนีศูนย์กลางกระทำในทิศตรงกันข้ามกับแรงคอริโอลิส แรงคอริโอลิสจึงเพิ่มมากขึ้นเพื่อทำให้อยู่ในสมดุล ลมกรดจึงเร่งความเร็วมากขึ้นตาม อากาศชั้นล่างจึงยกตัวขึ้นไปเสริมบริเวณนั้น (ความกดอากาศที่พื้นต่ำลง) เพราะงั้นจุดออกทางด้านซ้ายมือ จะเป็นบริเวณที่อากาศยกตัวได้มากที่สุด

ผลรวมของทั้งความโค้งเนื่องจากการส่าย และบริเวณลำบีบ จะได้ว่าบริเวณที่ชี้ลูกศร หรือก็คือซ้ายมือของทางออกจะเป็นบริเวณที่อากาศยกตัวได้มากที่สุด

ด้วยเหตุนี้หากสังเกตเห็นการเร่งความเร็วของลมกรดเนี่องความโค้ง หรือลำบีบแถวประเทศญี่ปุ่น ลักษณะแบบนี้ก็จะทำให้เกิดพายุนอกเขตร้อน (Extratropical Storm) ได้แถวญี่ปุ่นนั่นเอง และปีนี้ก็ย่อมหมายถึงโอกาสเกิดแนวปะทะอากาศลากยาวไปถึงญี่ปุ่นด้วย 
ว่าง่ายๆความกดอากาศสูงจะไหลมาบ้านเราเต็มๆนั่นเอง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมให้ปีนี้ คือ Quasi-Biennial Oscillation (QBO) ซึ่งเป็นคาบการแกว่งของลมที่เส้นศูนย์สูตรที่ความสูง 30 hPa ปีนี้เป็นลมตะวันตก ซึ่งมีสหสัมพันธ์ที่ดีกับความแรงลมกรด จึงยิ่งสนับสนุนให้เกิดแนวปะทะอากาศลากยาว และหย่อมความกดอากาศต่ำที่ญี่ปุ่นได้ง่ายยิ่งขึ้น


มาถึงตรงนี้ผมจึงคาดว่า ฉากทัศน์ หรือ scenario ของฤดูหนาวปีนี้น่าจะเป็นดังนี้ คือ

ฉากทัศน์ที่ 1 หนาว

รูปแบบแรก มีลมกรดขั้วโลกไหลมาจากไซบีเรีย หรือขั้วโลกเลยแล้วมาสบเข้ากับลมกรดกึ่งเขตร้อน และเร้งความเร็วลากยาวเฉียงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามภาพบน

ลักษณะแบบนี้ ความกดอากาศสูงไซบีเรียจะสะสมได้ดีจนมีกำลังแรงมาก และความกดอากาศสูงจะสามารถไหลเข้าประเทศไทยโดยตรง หรือก็คือค่อนข้างหนาวมาก

รูปแบบสอง คล้ายแบบแรกต่างกันที่ลมกรดมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการส่ายที่ความยาวคาบน้อยกว่ารูปแบบแรก ความกดอากาศสูงเลยสะสมได้ไม่ดีเท่าแต่ถึงยังงั้น ก็ยังสามารถไหลมาบ้านเราได้อยู่ดี ลักษณะแบบนี้คาดว่าช่วงกลางหน้าหนาวที่อุณหภูมิน้ำทะเลโดยรวมต่ำลงมากกว่านี้ ก็จะทำให้หนาวลงได้อยู่ดี เพราะอย่างไรก็มีแนวปะทะอากาศเส้นประฟ้า กั้นให้ลมหนาวไหลเข้ามาตรงๆ

รูปแบบสาม อันนี้ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้เช่นเดียวกัน คือ พิเศษสุด แม้แต่ลมกรดกึ่งเขตร้อนก็เร่งตั้งแต่ด้านทิศขวาของหิมาลัย (ปีนี้ลมกรดกึ่งเขตร้อนน่าจะกำลังแรง) ลักษณะแบบนี้ความกดอากาศสูงทางด้านทิศตะวันออกของหิมาลัยก็จะสูงด้วย ลมเหนือจะไหลมาสมทบภาคเหนือโดยตรง และลมจากไซบีเรียก็จะไหลผ่าทางตรงมาได้มากขึ้นเช่นกัน หรือก็คือเป็นฉากทัศน์ที่หนาวที่สุด

ฉากทัศน์ที่ 2 ไม่ค่อยหนาว
แนวลมกรดไม่เชิดหัวขึ้นแถวญี่ปุ่นเท่าไหร่ และไหลไปตะวันออกตรงๆ ลักษณะแบบนี้ถึงแม้ความกดอากาศสูงต้นทางจะแรง ก็จะตกทะเลเสียส่วนมากอยู่ดี มีโอกาสเกิดเช่นกัน 











แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ พยากรณ์อากาศ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่