เปิดคิว พรรคประชาชน ยกทัพสู้ศึกอุดร พิธา ลอยกระทงหนองประจักษ์ ควง เท้ง ปราศรัยใหญ่ 3 เวที
https://www.matichon.co.th/politics/news_4899556
เปิดคิว พรรคประชาชน ยกทัพสู้ศึกอุดร พิธา ลอยกระทงหนองประจักษ์ ควง เท้ง ปราศรัยใหญ่ 3 เวที
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพรรคประชาชน ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ที่ส่ง นาย
คณิศร ขุริรัง หรือทนายแห้ว ลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่จะมีการลงคะแนนกันในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน ภายหลังจากที่ นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นำทัพเพื่อไทย ไปปราศรัยหาเสียง ช่วยนาย
ศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 13-14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
โดยวันนี้ เวลา 15 พฤศจิกายน นาย
พิธา จะเดินทางกลับจากสหรัฐไปร่วมงานลอยกระทง ที่หนองประจักษ์ อ.เมือง ก่อนที่ พรุ่งนี้ จะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ 3 จุดสำคัญ นำโดยแกนนำพรรค นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านฯ นาย
ณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ สส.อุดรธานี เขต 1 พรรคประชาชน และผู้ช่วยหาเสียง เช่น นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นาย
ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นส.
พรรณิการ์ วานิช,
อภิชาติ ศิริสุนทร และ
อรรถพล บัวพัฒน์ เป็นต้น
สำหรับเวทีทั้ง 3 จุด ได้แก่ เวทีปราศรัยใหญ่เวทีที่ 1 ตลาดนิยม อ.บ้านผือ เวลา 10.30 – 12.00 น. , เวทีปราศรัยใหญ่เวทีที่ 2 บ้านนายกบัวเงิน อ.หนองหาน เวลา 15.30 – 17.00 น. และ เวทีปราศรัยใหญ่เวทีที่ 3 หนองประจักษ์ อ.เมือง เวลา 17.00 – 19.00 น.
พรรคประชาชน หวั่นเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน รบ.ตั้ง ผู้ถือหุ้นโรงไฟฟ้า นั่ง คกก.สรรหา บอร์ดกกพ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4899887
พรรคประชาชน หวั่นเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน รบ.ตั้ง ผู้ถือหุ้นโรงไฟฟ้า นั่ง คกก.สรรหา บอร์ดกกพ.
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน นาย
ศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เอ็กซ์ว่า
รัฐบาลแต่งตั้ง คกก. สรรหา บอร์ด กกพ. ที่เป็น “ผู้ถือหุ้น” หรือเป็น “อดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้า” เพื่อให้มาเอื้อประโยชน์ในการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW ใช่หรือไม่
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติในการประชุมไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงานใหม่ จำนวน 4 คน แทนกรรมการเดิม ซึ่งพ้นตำแหน่งตามวาระ หรือที่เราเรียกกันว่า “บอร์ด กกพ.” ล่าสุดได้มีประกาศเพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาอีก 1 ฉบับ โดยเป็นการเปิดเผยรายละเอียดการมีส่วนได้เสียเชิงธุรกิจกับผู้ประกอบกิจการพลังงานของคณะกรรมการสรรหา ที่อาจกล่าวได้แบบง่าย ๆ ว่า “คณะกรรมการสรรหาและครอบครัวนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทในกลุ่มพลังงานหรือไม่ อย่างไรบ้าง”
ซึ่งรายละเอียดที่เปิดเผยออกมาตามประกาศดังกล่าว อาจส่อถึงความไม่โปร่งใสในกระบวนการสรรหาบอร์ด กกพ. ชุดใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลภาคพลังงานของประเทศไทย เนื่องจากตามข้อมูลในประกาศได้ระบุไว้ว่า คณะกรรมการสรรหาเกือบทุกท่านมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่ง หรือเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารในบริษัททางด้านพลังงาน ตั้งแต่ตำแหน่งประธานกรรมการ คณะกรรมการ หรือแม้กระทั่งถือหุ้นของบริษัทพลังงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับกลุ่มนายทุนพลังงานเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดช่องว่างที่จะก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสในการคัดสรร บอร์ด กกพ. อย่างแน่นอน
โดยประเด็นที่ทำให้ผมเป็นห่วงและกังวลแทนพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง หากรัฐบาลยังดึงดันตามแผนเดิมต่อ มีด้วยกันทั้งหมด 3 ประเด็น ดังนี้
1. คณะกรรมการสรรหาจะสามารถปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างเป็นกลาง โดยปราศจากแรงจูงใจทางผลประโยชน์จากกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่?
2. ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคณะกรรมการสรรหาจะดำเนินการอย่างมีธรรมาภิบาล และไม่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานที่ตนมีส่วนได้ส่วนเสีย?
3. ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คณะกรรมการชุดนี้ที่สรรหามาจะปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ในเมื่อมีความเชื่อมโยงทางผลประโยชน์กับกลุ่มทุนพลังงานอย่างชัดเจนเช่นนี้?
ซึ่งหากการคัดเลือก บอร์ด กกพ. ที่จะเป็นผู้กำกับดูแลภาคพลังงานของไทยนั้น เกิดขึ้นอย่างไม่ตรงไปตรงมา ย่อมทำให้เกิดผลเสียต่อพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 3,600 MW ที่พบข้อพิรุธในประกาศรับซื้ออยู่หลายประเด็นด้วยกัน ได้แก่ การไม่มีการเปิดประมูลแข่งขัน และ กกพ. ก็ไม่ประกาศหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก ทำให้ กกพ. สามารถใช้ดุลยพินิจส่วนตัวในการเลือกให้กลุ่มทุนรายใดก็ตามสามารถขายไฟฟ้าให้รัฐจำนวนมากได้ เหมือนกับที่ได้เคยเกิดขึ้นไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วในการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 MW
ดังนั้น หากคณะกรรมการสรรหา บอร์ด กกพ. กลายเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นอดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้าเสียเอง ก็คงจะมองได้ไม่ยากว่า นี่คือกระบวนการผลประโยชน์ทับซ้อนที่รัฐบาลกำลังทำให้กระบวนการสรรหาบอร์ด กกพ. กลายเป็นกลไกของกลุ่มทุนพลังงานที่ส่งคนเข้ามาแทรกแซงองค์กรของรัฐ และหาช่องทางต่างตอบแทนเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงาน
ผมจึงอยากขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนร่วมกันจี้ถามไปยังรัฐบาลว่า การปล่อยให้การแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นอดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้า ถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่จะนำไปสู่การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่
และสุดท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องให้มีการออกมาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าการคัดสรรของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ บอร์ด กกพ. ในครั้งนี้จะดำเนินไปด้วยความโปร่งใส และยึดเอาประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสูงสุด
ในประเด็นดังกล่าว
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โควททวิตดังกล่าว และ แสดงความเห็นว่า
“
แบบนี้ก็ได้หรอ คกก.สรรหาบอร์ดกกพ.คนที่จะมากำกับธุรกิจโรงไฟฟ้า เป็นผู้ถือหุ้นโรงไฟฟ้า เป็นอดีตบอร์ดโรงไฟฟ้า ผู้ที่ถือหุ้นโรงไฟฟ้า เป็นอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ส่วนอดีตผู้บริหารมาในนามของตัวแทน NGO!”
https://x.com/SupachotChai/status/1857232742192386299
https://twitter.com/SirikanyaTansa1/status/1857242522374078505
วันนอร์ เผย เตรียมเปิดใช้อาคารรัฐสภาเต็มรูปแบบ เข้มความปลอดภัย ใครเข้าออกรู้หมด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9506846
วันนอร์ เผย เตรียมเปิดใช้อาคารรัฐสภาเต็มรูปแบบ ก่อนเปิดสมัยประชุม คุมเข้มระบบรักษาความปลอดภัย ดูผ่านโทรศัพท์ได้ ใครเข้าออกรู้หมด สมศักดิ์ศรีสภา 2 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2567 ที่รัฐสภา นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการตรวจสอบความพร้อมของอาคารรัฐสภา ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ว่า ต้องการให้มีความพร้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อรองรับก่อนเปิดสมัยประชุมสภา เพราะสภายังมีทรัพยากรที่ยังไม่ได้ใช้ เช่น ห้องต่างๆ ในแต่ละชั้น เพราะเดิมมีปัญหาเรื่องการไม่ได้รับมอบงานเต็ม 100%
แต่ขณะนี้ได้รับมอบงานแล้ว เราก็จะสำรวจว่าพื้นที่ใดจะใช้เป็นประโยชน์ให้กับสมาชิกรัฐสภา ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ที่เข้ามาดูงานให้มากที่สุด และจะทำให้สมศักดิ์ศรีรัฐสภาที่เป็นสถาบันแห่งชาติ โดยให้ใช้ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่ามากที่สุด
เพราะปัจจุบันมีการใช้งานห้องประชุมน้อยมาก เนื่องจากอุปกรณ์ไม่พร้อม ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และระบบเสียง ตนจึงสั่งการให้ทำให้ดีที่สุด โดยใช้งบประมาณของปี 68 หากไม่พอก็ให้เตรียมการของบปี 69 เพื่อให้ได้ใช้งานอาคารอย่างเต็ม 100%
ส่วนที่ยังต้องปรับปรุงโดยด่วน คือ ห้องที่มีอยู่ ซึ่งจากการไปตรวจสอบเมื่อวันที่ 13 พ.ย.นั้น ตนได้ลงไปดูถึงระบบรักษาความปลอดภัยของสภาฯ ที่อยู่บริเวณชั้นล่าง รวมถึงระบบเตือนภัย เช่น เรื่องไฟไหม้ ก็ทำได้ค่อนข้างดี
แต่พื้นที่ตรงนั้นเป็นระบบความปลอดภัยที่เป็นความลับระดับสุดยอด ตนก็เพิ่งได้เข้าไปดูเป็นครั้งแรก แต่ต่อไปจะเพิ่มระบบมากขึ้น คือ แทนที่จะต้องลงไปดูจุดควบคุมก็สามารถดูผ่านโทรศัพท์มือถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ต้องการจะเช็ก เช่น ประธานสภาฯ หรือหัวหน้างานที่ต้องตรวจเช็กเจ้าหน้าที่ แม้ปัญหาน้ำรั่วก็สามารถตรวจเช็กดูได้ว่าเกิดจากตรงไหน
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สมบัติของชาติ คือ สภาฯ ซึ่งมีราคาตั้ง 2 หมื่นล้านบาท ได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยอย่างดีตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถเช็กได้เลยว่า วันหนึ่งมีรถทะเบียนเบอร์อะไร เข้ามาในสภาฯ ประตูไหน เมื่อไหร่ และออกไปเมื่อไหร่ เราสามารถเช็กย้อนหลังได้ 1 เดือน และต่อไปเราสามารถใช้ระบบนี้ได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ จากที่มีข่าวว่ามีคนมาแอบอ้างทำงานในสภา ต่อไปก็จะมีระบบตรวจสอบ ซึ่งได้มีหนังสือแจ้งไปให้ทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทุกคณะ รวมทั้งอนุกมธ. เพราะกมธ.จำเป็นต้องใช้บุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถมาเป็นที่ปรึกษา แต่ต้องให้ตรวจสอบประวัติบุคคลเหล่านี้ย้อนหลัง เพื่อไม่ให้มีปัญหา
เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น ไปหลอกต้มตุ๋นใคร ผู้ที่แต่งตั้งนั้นต้องรับผิดชอบ นอกจากด้านกฎหมายแล้ว ด้านจริยธรรมก็ต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะจริยธรรมของผู้ที่เป็นสส.และกมธ. ไม่ใช่ควบคุมเฉพาะตนเอง แต่ครอบครัวทำผิด กมธ.ต้องรับผิดชอบด้วย
“
คนที่แต่งตั้งผู้ติดตาม ถ้าแต่งตั้งมาจะรับเงินเดือนหรือไม่รับเงินเดือน สิ่งที่ควบคุมชัดเจน คือ จริยธรรมของผู้เป็นสมาชิกรัฐสภา เพราะจริยธรรมของสส.ใช้ฉบับเดียวกับองค์กรอิสระ หรือผู้พิพากษา ศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉะนั้น ที่มีปัญหานี้ ถ้าโดนฟ้องก็อาจจะพ้นจากสมาชิกภาพ และไม่ได้รับสิทธิ์ทางการเมืองหลายปี
ดังนั้น ผู้ที่จะมาแอบอ้างในสภา ขอให้รู้ว่าสภามีระบบตรวจสอบจะเข้ามาเวลาไหนออกเวลาไหน การติดบัตรปลอมต่างๆ เราสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า สภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติไม่อาจให้คนมาใช้แอบอ้าง ไปทำลายความน่าเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อสภาได้” นาย
วันมูหะมัดนอร์ กล่าว
นาย
วันมูหะมัดนอร์ กล่าวด้วยว่า ระบบต่างๆ ขณะนี้เราใช้อยู่แล้ว แต่จะเข้มงวดขึ้นอีก และเรามีกล้องวงจรปิดจำนวน 1,070 ตัว ทุกห้องกมธ. ทุกมุม โดยมีจอมอนิเตอร์จำนวน 20 กว่าตัว และสามารถเลือกดูได้ทุกจุด ซึ่งระบบนี้ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าคนปฏิบัติไม่เข้มงวดก็อาจจะมีช่องว่างได้ ฉะนั้น ต่อไปเราจะเข้มงวดกับปฏิบัติให้มากขึ้น
JJNY : เปิดคิวพรรคประชาชน│ปชน.หวั่นเอื้อกลุ่มทุน│เตรียมเปิดใช้อาคารรัฐสภาเต็มรูปแบบ│กรุงนิวเดลีปิด รร.ประถมชั่วคราว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4899556
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพรรคประชาชน ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ที่ส่ง นายคณิศร ขุริรัง หรือทนายแห้ว ลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่จะมีการลงคะแนนกันในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน ภายหลังจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นำทัพเพื่อไทย ไปปราศรัยหาเสียง ช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 13-14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
โดยวันนี้ เวลา 15 พฤศจิกายน นายพิธา จะเดินทางกลับจากสหรัฐไปร่วมงานลอยกระทง ที่หนองประจักษ์ อ.เมือง ก่อนที่ พรุ่งนี้ จะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ 3 จุดสำคัญ นำโดยแกนนำพรรค นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านฯ นายณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ สส.อุดรธานี เขต 1 พรรคประชาชน และผู้ช่วยหาเสียง เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นส.พรรณิการ์ วานิช, อภิชาติ ศิริสุนทร และ อรรถพล บัวพัฒน์ เป็นต้น
สำหรับเวทีทั้ง 3 จุด ได้แก่ เวทีปราศรัยใหญ่เวทีที่ 1 ตลาดนิยม อ.บ้านผือ เวลา 10.30 – 12.00 น. , เวทีปราศรัยใหญ่เวทีที่ 2 บ้านนายกบัวเงิน อ.หนองหาน เวลา 15.30 – 17.00 น. และ เวทีปราศรัยใหญ่เวทีที่ 3 หนองประจักษ์ อ.เมือง เวลา 17.00 – 19.00 น.
พรรคประชาชน หวั่นเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน รบ.ตั้ง ผู้ถือหุ้นโรงไฟฟ้า นั่ง คกก.สรรหา บอร์ดกกพ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4899887
พรรคประชาชน หวั่นเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน รบ.ตั้ง ผู้ถือหุ้นโรงไฟฟ้า นั่ง คกก.สรรหา บอร์ดกกพ.
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน นายศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เอ็กซ์ว่า
รัฐบาลแต่งตั้ง คกก. สรรหา บอร์ด กกพ. ที่เป็น “ผู้ถือหุ้น” หรือเป็น “อดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้า” เพื่อให้มาเอื้อประโยชน์ในการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW ใช่หรือไม่
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติในการประชุมไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงานใหม่ จำนวน 4 คน แทนกรรมการเดิม ซึ่งพ้นตำแหน่งตามวาระ หรือที่เราเรียกกันว่า “บอร์ด กกพ.” ล่าสุดได้มีประกาศเพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาอีก 1 ฉบับ โดยเป็นการเปิดเผยรายละเอียดการมีส่วนได้เสียเชิงธุรกิจกับผู้ประกอบกิจการพลังงานของคณะกรรมการสรรหา ที่อาจกล่าวได้แบบง่าย ๆ ว่า “คณะกรรมการสรรหาและครอบครัวนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทในกลุ่มพลังงานหรือไม่ อย่างไรบ้าง”
ซึ่งรายละเอียดที่เปิดเผยออกมาตามประกาศดังกล่าว อาจส่อถึงความไม่โปร่งใสในกระบวนการสรรหาบอร์ด กกพ. ชุดใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลภาคพลังงานของประเทศไทย เนื่องจากตามข้อมูลในประกาศได้ระบุไว้ว่า คณะกรรมการสรรหาเกือบทุกท่านมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่ง หรือเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารในบริษัททางด้านพลังงาน ตั้งแต่ตำแหน่งประธานกรรมการ คณะกรรมการ หรือแม้กระทั่งถือหุ้นของบริษัทพลังงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับกลุ่มนายทุนพลังงานเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดช่องว่างที่จะก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสในการคัดสรร บอร์ด กกพ. อย่างแน่นอน
โดยประเด็นที่ทำให้ผมเป็นห่วงและกังวลแทนพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง หากรัฐบาลยังดึงดันตามแผนเดิมต่อ มีด้วยกันทั้งหมด 3 ประเด็น ดังนี้
1. คณะกรรมการสรรหาจะสามารถปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างเป็นกลาง โดยปราศจากแรงจูงใจทางผลประโยชน์จากกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่?
2. ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคณะกรรมการสรรหาจะดำเนินการอย่างมีธรรมาภิบาล และไม่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานที่ตนมีส่วนได้ส่วนเสีย?
3. ประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คณะกรรมการชุดนี้ที่สรรหามาจะปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ในเมื่อมีความเชื่อมโยงทางผลประโยชน์กับกลุ่มทุนพลังงานอย่างชัดเจนเช่นนี้?
ซึ่งหากการคัดเลือก บอร์ด กกพ. ที่จะเป็นผู้กำกับดูแลภาคพลังงานของไทยนั้น เกิดขึ้นอย่างไม่ตรงไปตรงมา ย่อมทำให้เกิดผลเสียต่อพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 3,600 MW ที่พบข้อพิรุธในประกาศรับซื้ออยู่หลายประเด็นด้วยกัน ได้แก่ การไม่มีการเปิดประมูลแข่งขัน และ กกพ. ก็ไม่ประกาศหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก ทำให้ กกพ. สามารถใช้ดุลยพินิจส่วนตัวในการเลือกให้กลุ่มทุนรายใดก็ตามสามารถขายไฟฟ้าให้รัฐจำนวนมากได้ เหมือนกับที่ได้เคยเกิดขึ้นไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วในการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 MW
ดังนั้น หากคณะกรรมการสรรหา บอร์ด กกพ. กลายเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นอดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้าเสียเอง ก็คงจะมองได้ไม่ยากว่า นี่คือกระบวนการผลประโยชน์ทับซ้อนที่รัฐบาลกำลังทำให้กระบวนการสรรหาบอร์ด กกพ. กลายเป็นกลไกของกลุ่มทุนพลังงานที่ส่งคนเข้ามาแทรกแซงองค์กรของรัฐ และหาช่องทางต่างตอบแทนเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงาน
ผมจึงอยากขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนร่วมกันจี้ถามไปยังรัฐบาลว่า การปล่อยให้การแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นอดีตผู้บริหารของกลุ่มทุนโรงไฟฟ้า ถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่จะนำไปสู่การเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่
และสุดท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องให้มีการออกมาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าการคัดสรรของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ บอร์ด กกพ. ในครั้งนี้จะดำเนินไปด้วยความโปร่งใส และยึดเอาประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสูงสุด
ในประเด็นดังกล่าว ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โควททวิตดังกล่าว และ แสดงความเห็นว่า
“แบบนี้ก็ได้หรอ คกก.สรรหาบอร์ดกกพ.คนที่จะมากำกับธุรกิจโรงไฟฟ้า เป็นผู้ถือหุ้นโรงไฟฟ้า เป็นอดีตบอร์ดโรงไฟฟ้า ผู้ที่ถือหุ้นโรงไฟฟ้า เป็นอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ส่วนอดีตผู้บริหารมาในนามของตัวแทน NGO!”
https://x.com/SupachotChai/status/1857232742192386299
https://twitter.com/SirikanyaTansa1/status/1857242522374078505
วันนอร์ เผย เตรียมเปิดใช้อาคารรัฐสภาเต็มรูปแบบ เข้มความปลอดภัย ใครเข้าออกรู้หมด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9506846
วันนอร์ เผย เตรียมเปิดใช้อาคารรัฐสภาเต็มรูปแบบ ก่อนเปิดสมัยประชุม คุมเข้มระบบรักษาความปลอดภัย ดูผ่านโทรศัพท์ได้ ใครเข้าออกรู้หมด สมศักดิ์ศรีสภา 2 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2567 ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการตรวจสอบความพร้อมของอาคารรัฐสภา ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ว่า ต้องการให้มีความพร้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อรองรับก่อนเปิดสมัยประชุมสภา เพราะสภายังมีทรัพยากรที่ยังไม่ได้ใช้ เช่น ห้องต่างๆ ในแต่ละชั้น เพราะเดิมมีปัญหาเรื่องการไม่ได้รับมอบงานเต็ม 100%
แต่ขณะนี้ได้รับมอบงานแล้ว เราก็จะสำรวจว่าพื้นที่ใดจะใช้เป็นประโยชน์ให้กับสมาชิกรัฐสภา ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ที่เข้ามาดูงานให้มากที่สุด และจะทำให้สมศักดิ์ศรีรัฐสภาที่เป็นสถาบันแห่งชาติ โดยให้ใช้ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่ามากที่สุด
เพราะปัจจุบันมีการใช้งานห้องประชุมน้อยมาก เนื่องจากอุปกรณ์ไม่พร้อม ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และระบบเสียง ตนจึงสั่งการให้ทำให้ดีที่สุด โดยใช้งบประมาณของปี 68 หากไม่พอก็ให้เตรียมการของบปี 69 เพื่อให้ได้ใช้งานอาคารอย่างเต็ม 100%
ส่วนที่ยังต้องปรับปรุงโดยด่วน คือ ห้องที่มีอยู่ ซึ่งจากการไปตรวจสอบเมื่อวันที่ 13 พ.ย.นั้น ตนได้ลงไปดูถึงระบบรักษาความปลอดภัยของสภาฯ ที่อยู่บริเวณชั้นล่าง รวมถึงระบบเตือนภัย เช่น เรื่องไฟไหม้ ก็ทำได้ค่อนข้างดี
แต่พื้นที่ตรงนั้นเป็นระบบความปลอดภัยที่เป็นความลับระดับสุดยอด ตนก็เพิ่งได้เข้าไปดูเป็นครั้งแรก แต่ต่อไปจะเพิ่มระบบมากขึ้น คือ แทนที่จะต้องลงไปดูจุดควบคุมก็สามารถดูผ่านโทรศัพท์มือถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ต้องการจะเช็ก เช่น ประธานสภาฯ หรือหัวหน้างานที่ต้องตรวจเช็กเจ้าหน้าที่ แม้ปัญหาน้ำรั่วก็สามารถตรวจเช็กดูได้ว่าเกิดจากตรงไหน
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สมบัติของชาติ คือ สภาฯ ซึ่งมีราคาตั้ง 2 หมื่นล้านบาท ได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยอย่างดีตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถเช็กได้เลยว่า วันหนึ่งมีรถทะเบียนเบอร์อะไร เข้ามาในสภาฯ ประตูไหน เมื่อไหร่ และออกไปเมื่อไหร่ เราสามารถเช็กย้อนหลังได้ 1 เดือน และต่อไปเราสามารถใช้ระบบนี้ได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ จากที่มีข่าวว่ามีคนมาแอบอ้างทำงานในสภา ต่อไปก็จะมีระบบตรวจสอบ ซึ่งได้มีหนังสือแจ้งไปให้ทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทุกคณะ รวมทั้งอนุกมธ. เพราะกมธ.จำเป็นต้องใช้บุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถมาเป็นที่ปรึกษา แต่ต้องให้ตรวจสอบประวัติบุคคลเหล่านี้ย้อนหลัง เพื่อไม่ให้มีปัญหา
เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น ไปหลอกต้มตุ๋นใคร ผู้ที่แต่งตั้งนั้นต้องรับผิดชอบ นอกจากด้านกฎหมายแล้ว ด้านจริยธรรมก็ต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะจริยธรรมของผู้ที่เป็นสส.และกมธ. ไม่ใช่ควบคุมเฉพาะตนเอง แต่ครอบครัวทำผิด กมธ.ต้องรับผิดชอบด้วย
“คนที่แต่งตั้งผู้ติดตาม ถ้าแต่งตั้งมาจะรับเงินเดือนหรือไม่รับเงินเดือน สิ่งที่ควบคุมชัดเจน คือ จริยธรรมของผู้เป็นสมาชิกรัฐสภา เพราะจริยธรรมของสส.ใช้ฉบับเดียวกับองค์กรอิสระ หรือผู้พิพากษา ศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉะนั้น ที่มีปัญหานี้ ถ้าโดนฟ้องก็อาจจะพ้นจากสมาชิกภาพ และไม่ได้รับสิทธิ์ทางการเมืองหลายปี
ดังนั้น ผู้ที่จะมาแอบอ้างในสภา ขอให้รู้ว่าสภามีระบบตรวจสอบจะเข้ามาเวลาไหนออกเวลาไหน การติดบัตรปลอมต่างๆ เราสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า สภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติไม่อาจให้คนมาใช้แอบอ้าง ไปทำลายความน่าเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อสภาได้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวด้วยว่า ระบบต่างๆ ขณะนี้เราใช้อยู่แล้ว แต่จะเข้มงวดขึ้นอีก และเรามีกล้องวงจรปิดจำนวน 1,070 ตัว ทุกห้องกมธ. ทุกมุม โดยมีจอมอนิเตอร์จำนวน 20 กว่าตัว และสามารถเลือกดูได้ทุกจุด ซึ่งระบบนี้ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าคนปฏิบัติไม่เข้มงวดก็อาจจะมีช่องว่างได้ ฉะนั้น ต่อไปเราจะเข้มงวดกับปฏิบัติให้มากขึ้น