
- โดยรวมก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนดูว่าโทนของหนังยุโรปส่วนใหญ่จะออกมากลาง ๆ ไม่ได้เล่าตามใจคนดู ไม่หวือหวา หรือ มุ่งไปสุดทางด้านอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจนถึงกับกระตุ้นความรู้สึกให้ร่วมลุ้นไปกับมันแต่ก็สามารถดูต่อไปได้เรื่อย ๆ เก็บตวง Details ที่ไหลมาตามภาพอย่างช้า ๆ แล้วด้วยความเป็นหนัง Drama แนว Coming of Age ที่เปรียบดั่งผ้าขาวก็ยิ่งทำให้โทนของหนังที่เหมือนเป็น Fight บังคับไปในตัวว่าต้องสว่างสดใส ถึงแม้จะมีปมเพื่อเพิ่มจุดด่างดำลงบนผ้าขาวก็ตาม

- ตัวหนังจะเล่าผ่านมุมของตัวละครตามที่จ่าหัวไว้ ใน Feel Coming of Age ผสม Road Trip ในท่าทีเบาสบาย ตั้งแต่เปิดเรื่องจะเห็นตัวเธอขี่จักรยานมากับ Paul เพื่อนชายของเธอพร้อมกับ Score เพลงดังประกอบมาตามลมที่ไม่ได้ร้อง โอเย่ เหมือนกับ แฟนฉัน (2546) จนมาจอดกันบนสะพาน รวมถึง Part ที่เธออยู่ที่บ้าน หรือ Part ไปเที่ยวกับครอบครัวของ Paul ก็นึกถึงเรื่อง The Florida Project (2017) ขึ้นมาทันทีแต่ใน way ที่สดใสกว่า เพราะด้วยมีครอบครัวที่จัดว่าดีและสังคมรายล้อมไม่ว่าจะเพื่อนฝูงที่โรงเรียนหรือครอบครัวของ Paul ที่ดูเป็นมิตรกว่า ระหว่างดูจึงสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายจากตัวของ Jonja ที่กำลัง Enjoy ไปกับ Trip ครอบครัวเพื่อนสุขสันต์ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีจุดกระแทกทางอารมณ์จนเกิดเป็นปมขึ้นมาในช่วงแรกที่เธอแสดงจุดเดือดผ่านสีหน้าเอือมจากอาการงอแงของน้องชายที่อยากได้ของกินหรือการปรากฎตัวของกิ๊กแม่ในตอนออกจาก Supermarket ที่ลามไปถึงการจัดห้องของใหม่ของเธอที่ถึงกับระเบิดอารมณ์ใส่แม่ชุดใหญ่ก่อนจะหอบกระเป๋าออกจากบ้านไป

- ขณะที่ Jonja ได้ร่วม Trip ก็ได้เกิดปมขึ้นมาอีกอย่างในช่วงที่ผมเผลอวูบหลับไปก็คือความสัมพันธ์กับ สาวผิวสี ที่ผมงงว่าโผล่มาตอนไหน ? แล้วดูเหมือนจะเข้ามาเป็นมือที่ 3 ระหว่างความสัมพันธ์กับ Paul ที่กำลังก้าวข้าม Friend Zone ไปทีละนิด แล้วไหนจะความลับที่ตัว Jonja อมพะนำไว้ในใจที่เราทราบได้อยู่ว่าคืออะไร ? แต่ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ามันนำเสนอได้ไม่สุด แล้วดูหนังก็รู้ตัวเองว่ากูอยู่ใน Genre ใดก็เลยเลือกที่จะอิงตามนั้นแล้วจัดการสรุปปมที่ประเคนมาอย่างรวบง่ายไม่ก็ปล่อยทิ้งไปตามทาง ซึ่งบางอย่างก็ทราบแก่ใจเมื่อเทียบกันกับชีวิตจริงก็มีลักษณะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่อีกใจนึงก็คิดว่าจะใส่มาทำไม ? ถ้ามาแค่นี้ เช่น มี Scene นึงที่อุตส่าห์ใส่จังหวะ Sitcom คงจะเอาใจสาย Y ด้วยการทิ้งให้ Jonja อยู่กับ สาวผิวสี กัน 2 คน

- ระหว่างที่กำลัง Run อยู่กับ Trip ครอบครัวเพื่อนสุขสันต์จนกลับถึงบ้านได้ด้วยดี จู่ ๆ ก็ได้เกิด Point Break อีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2-3 คนบุกมาที่บ้าน Paul พร้อมกับแม่ของ Jonja แล้วเดินไปต่อว่าพ่อแม่ของ Paul โน้นนั่นนี่ชุดใหญ่เสร็จแล้วไปพาตัว Jonja ออกมาท่ามกลางสายตาพ่อแม่ของ Paul โดยเฉพาะกับ Paul ที่แสดงสีหน้าไม่พอใจกับเธอ ตอนดูผมนี้เผลอตกใจขึ้นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ถึงแม้เหตุการณ์ในเรื่องแทบไม่มีอะไรในกอไผ่ให้ซับซ้อนมากความ แต่ด้วยตอนดูเป็น Sub ภาษาอังกฤษล้วนที่บางคำเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างมันเลยลำบากต่อการจูนติดหรือเสพ Details ทุกคำว่าตัวละครพูดถึงอะไร ? รวมถึงสาเหตุที่ทำให้ Jonja ตัดสินใจโกหกทุกคนเพียงเพราะทะเลาะกับแม่แค่นั้นเหรอ ?

- ทั้งนี้ในระยะเวลาแค่ 1 ชั่วโมง 25 นาที โดยรวมถือว่าเดินเรื่องค่อนข้างเร็วไปข้างหน้า ด้วยเพราะตัวบทเล่าง่าย มีตัวละครหลักไม่เยอะมาก แถมเพลินตาไปกับบรรดา Location แต่ละแห่งโดยมีดนตรีบรรเลงประกอบเป็นระยะมันจึงทำให้ปมทุกสิ่งที่พรรณนาประจวบถึงบทสรุปช่วงท้ายที่มีการเคลียร์ใจกันระหว่างแม่ของเธอ หรือกับ Paul ถูกจัดการเรียบร้อยตรงตาม สูตรในหนัง Genre นี้ ถึงแม้จะรู้สึกยืดไปซักนิดแต่ถ้าจบ ณ ตอนนั้นก็โอเคแถมมันจะกลายเป็นหนังที่ดูโตขึ้นอีกระดับทันที

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.128 Jonja (2023) : By Goethe-Institut Thailand : KINOFEST 2024
- โดยรวมก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนดูว่าโทนของหนังยุโรปส่วนใหญ่จะออกมากลาง ๆ ไม่ได้เล่าตามใจคนดู ไม่หวือหวา หรือ มุ่งไปสุดทางด้านอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจนถึงกับกระตุ้นความรู้สึกให้ร่วมลุ้นไปกับมันแต่ก็สามารถดูต่อไปได้เรื่อย ๆ เก็บตวง Details ที่ไหลมาตามภาพอย่างช้า ๆ แล้วด้วยความเป็นหนัง Drama แนว Coming of Age ที่เปรียบดั่งผ้าขาวก็ยิ่งทำให้โทนของหนังที่เหมือนเป็น Fight บังคับไปในตัวว่าต้องสว่างสดใส ถึงแม้จะมีปมเพื่อเพิ่มจุดด่างดำลงบนผ้าขาวก็ตาม
- ตัวหนังจะเล่าผ่านมุมของตัวละครตามที่จ่าหัวไว้ ใน Feel Coming of Age ผสม Road Trip ในท่าทีเบาสบาย ตั้งแต่เปิดเรื่องจะเห็นตัวเธอขี่จักรยานมากับ Paul เพื่อนชายของเธอพร้อมกับ Score เพลงดังประกอบมาตามลมที่ไม่ได้ร้อง โอเย่ เหมือนกับ แฟนฉัน (2546) จนมาจอดกันบนสะพาน รวมถึง Part ที่เธออยู่ที่บ้าน หรือ Part ไปเที่ยวกับครอบครัวของ Paul ก็นึกถึงเรื่อง The Florida Project (2017) ขึ้นมาทันทีแต่ใน way ที่สดใสกว่า เพราะด้วยมีครอบครัวที่จัดว่าดีและสังคมรายล้อมไม่ว่าจะเพื่อนฝูงที่โรงเรียนหรือครอบครัวของ Paul ที่ดูเป็นมิตรกว่า ระหว่างดูจึงสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายจากตัวของ Jonja ที่กำลัง Enjoy ไปกับ Trip ครอบครัวเพื่อนสุขสันต์ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีจุดกระแทกทางอารมณ์จนเกิดเป็นปมขึ้นมาในช่วงแรกที่เธอแสดงจุดเดือดผ่านสีหน้าเอือมจากอาการงอแงของน้องชายที่อยากได้ของกินหรือการปรากฎตัวของกิ๊กแม่ในตอนออกจาก Supermarket ที่ลามไปถึงการจัดห้องของใหม่ของเธอที่ถึงกับระเบิดอารมณ์ใส่แม่ชุดใหญ่ก่อนจะหอบกระเป๋าออกจากบ้านไป
- ขณะที่ Jonja ได้ร่วม Trip ก็ได้เกิดปมขึ้นมาอีกอย่างในช่วงที่ผมเผลอวูบหลับไปก็คือความสัมพันธ์กับ สาวผิวสี ที่ผมงงว่าโผล่มาตอนไหน ? แล้วดูเหมือนจะเข้ามาเป็นมือที่ 3 ระหว่างความสัมพันธ์กับ Paul ที่กำลังก้าวข้าม Friend Zone ไปทีละนิด แล้วไหนจะความลับที่ตัว Jonja อมพะนำไว้ในใจที่เราทราบได้อยู่ว่าคืออะไร ? แต่ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ามันนำเสนอได้ไม่สุด แล้วดูหนังก็รู้ตัวเองว่ากูอยู่ใน Genre ใดก็เลยเลือกที่จะอิงตามนั้นแล้วจัดการสรุปปมที่ประเคนมาอย่างรวบง่ายไม่ก็ปล่อยทิ้งไปตามทาง ซึ่งบางอย่างก็ทราบแก่ใจเมื่อเทียบกันกับชีวิตจริงก็มีลักษณะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่อีกใจนึงก็คิดว่าจะใส่มาทำไม ? ถ้ามาแค่นี้ เช่น มี Scene นึงที่อุตส่าห์ใส่จังหวะ Sitcom คงจะเอาใจสาย Y ด้วยการทิ้งให้ Jonja อยู่กับ สาวผิวสี กัน 2 คน
- ระหว่างที่กำลัง Run อยู่กับ Trip ครอบครัวเพื่อนสุขสันต์จนกลับถึงบ้านได้ด้วยดี จู่ ๆ ก็ได้เกิด Point Break อีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2-3 คนบุกมาที่บ้าน Paul พร้อมกับแม่ของ Jonja แล้วเดินไปต่อว่าพ่อแม่ของ Paul โน้นนั่นนี่ชุดใหญ่เสร็จแล้วไปพาตัว Jonja ออกมาท่ามกลางสายตาพ่อแม่ของ Paul โดยเฉพาะกับ Paul ที่แสดงสีหน้าไม่พอใจกับเธอ ตอนดูผมนี้เผลอตกใจขึ้นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ถึงแม้เหตุการณ์ในเรื่องแทบไม่มีอะไรในกอไผ่ให้ซับซ้อนมากความ แต่ด้วยตอนดูเป็น Sub ภาษาอังกฤษล้วนที่บางคำเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างมันเลยลำบากต่อการจูนติดหรือเสพ Details ทุกคำว่าตัวละครพูดถึงอะไร ? รวมถึงสาเหตุที่ทำให้ Jonja ตัดสินใจโกหกทุกคนเพียงเพราะทะเลาะกับแม่แค่นั้นเหรอ ?
- ทั้งนี้ในระยะเวลาแค่ 1 ชั่วโมง 25 นาที โดยรวมถือว่าเดินเรื่องค่อนข้างเร็วไปข้างหน้า ด้วยเพราะตัวบทเล่าง่าย มีตัวละครหลักไม่เยอะมาก แถมเพลินตาไปกับบรรดา Location แต่ละแห่งโดยมีดนตรีบรรเลงประกอบเป็นระยะมันจึงทำให้ปมทุกสิ่งที่พรรณนาประจวบถึงบทสรุปช่วงท้ายที่มีการเคลียร์ใจกันระหว่างแม่ของเธอ หรือกับ Paul ถูกจัดการเรียบร้อยตรงตาม สูตรในหนัง Genre นี้ ถึงแม้จะรู้สึกยืดไปซักนิดแต่ถ้าจบ ณ ตอนนั้นก็โอเคแถมมันจะกลายเป็นหนังที่ดูโตขึ้นอีกระดับทันที
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้