ค่ำคืนนี้ ท้องฟ้าหม่นมืดแลคลุมด้วยหมอกแห่งความสิ้นหวัง ความเงียบงันที่หนักอึ้งราวกับกดดันให้ทุกชีวิตเงียบสงบอยู่ในภวังค์แห่งความหนาวเหน็บและความมืดมิด ความชื้นเย็นจากหมอกหนาโปรยซ่านความเย็นเยือกดั่งคมมีดเข็มน้ำแข็งที่แทรกผ่านทุกชั้นผิวหนังจนถึงกระดูก แต่ท่ามกลางค่ำคืนที่นิ่งสงบ ชายผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิในท่า “พนมเงา” มือทั้งสองประคองหน้าอก เหมือนห่อหุ้มความทุกข์ไว้ภายใน เงาดำคลุมกายของเขาจนดูกลมกลืนไปกับเงารอบด้าน ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด
หากจะมีใครเงยหน้ามองท้องฟ้าในคืนนี้จะเห็นว่า แสงดาวที่ลางเลือนหายไปจนเกือบสิ้นกลับกลายเป็นความมืดหม่นลึกล้ำ วนหมุนเหนือถ้ำที่เขานั่งอยู่ เสียงทุ้มกังวานจากทัพเทพเจ้าผู้เรืองรองแห่งแสงปรากฏท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมน “วิรันดร ท่านแน่ใจหรือว่าจะดื่มด่ำสู่ความมืดมิดนั้น?"
ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่หันหน้าเข้าผนังถ้ำ ผิวพรรณซีดขาวดุจขี้เถ้า เขานิ่งเงียบ ไม่ตอบสนองเสียงหรือภาพใด ๆ ความสงบแผ่ขยายไปโดยรอบ ความเงียบของเขากลายเป็นเกราะป้องกันอันแน่วแน่ ราวกับท้าทายกองทัพแห่งแสง
แสงสีทองที่แผ่คลุมพื้นถ้ำกลับถูกดูดกลืนหายไปเมื่อเข้าใกล้ร่างของวิรันดร ทหารเทพพยายามใช้พลังแห่งแสงสาดส่อง เขย่าพื้นโลกให้อบอุ่นและเบ่งบาน แต่ถ้ำกลับสงบนิ่งราวกับแสงนั้นไม่มีอำนาจใด ๆ การพยายามรุกคืบของเทพและพลังแห่งแสงนั้นกลับเป็นดั่งความพยายามชั่วครู่ที่จะสลายความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่ในจิตใจอันลึกซึ้งถึงก้นบึ้งของวิรันดร
เทพแห่งแสงพยายามล่อลวงด้วยเสียงเพลงและการร่ายรำจากเหล่าเทพีอันงดงาม แม้แต่กลิ่นอาหารและเครื่องดื่มก็ลอยฟุ้งเข้ามาในถ้ำ หวังว่าวิรันดรจะหลงใหลในรสชาติและบรรยากาศชวนฝันนั้น ทว่าชายหนุ่มยังคงนิ่งสนิท ความคิดของเขาไม่สั่นไหวไปตามสิ่งยั่วยวนใด ๆ ท้ายที่สุด ขุนพลเทพนามว่า วิชธา ก็เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้ปฏิเสธแสงและความบันเทิงทั้งมวล
เสียงที่ต่ำลึกของวิรันดรดังก้องออกมาจากภายในถ้ำ “ชาตรา เคลสะ ตาตรา ศานติ อามารา” ("ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีความสงบนิรันดร์") พลังเงามืดขมุกขมัวเข้มข้นแผ่ซ่านออกมารอบร่างของเขา กองทัพแห่งแสงที่เข้าใกล้ต่างสูญสิ้นเรี่ยวแรง อาวุธร่วงหล่น สายตาของพวกเขาดูหม่นหมองด้วยความหวาดหวั่นที่ไม่เคยพบพาน ความสงบของวิรันดรกลับกลายเป็นกำแพงที่ไม่อาจทลาย
“ท่านมุ่งมั่นในหนทางแห่งทุกข์นิรันดร์เช่นนี้หรือ?” เสียงวิชธาถามอย่างอ่อนโยน แต่นัยน์ตาของเขามีแววสงสัยที่ไม่เคยลบเลือน ขุนพลแห่งแสงพยักหน้าให้กองทัพเทพสวรรค์ถอยห่าง เสียงแซ่ซ้องจากเทพทั้งหลายมลายหายไป เหลือไว้เพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว
วิรันดรลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเปล่งเสียงเนิบช้า “ตะหะมรา สัตจะ ยะตะ ชะยะ วิชธะ มายา ตะวา มิตรา อะวิคมา อันตะระ มะหะ ชะระ” ("ข้าผู้ถึงพร้อมในสัจจะ ข้าชนะวิชธาและมายาที่ลวงตา ข้าพบมิตรแท้ในความมืดอันไม่สิ้นสุด ไม่มีจุดจบ ไม่มีการบรรลุที่แท้จริงนอกจากสันนิรันดร์")
ฝนกรดสีหม่นโปรยปรายจากฟ้าและดอกไม้สีเทาหม่นที่ส่งกลิ่นหอมลึกลับโปรยปรายราวกับเป็นคำอวยพรจากจักรวาลอันไกลโพ้น นี่คือการตรัสรู้ที่เปิดสู่ธุมมะธรรมและสันนิรันดร์
ธุมมาธรณี [บทนำ]
หากจะมีใครเงยหน้ามองท้องฟ้าในคืนนี้จะเห็นว่า แสงดาวที่ลางเลือนหายไปจนเกือบสิ้นกลับกลายเป็นความมืดหม่นลึกล้ำ วนหมุนเหนือถ้ำที่เขานั่งอยู่ เสียงทุ้มกังวานจากทัพเทพเจ้าผู้เรืองรองแห่งแสงปรากฏท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมน “วิรันดร ท่านแน่ใจหรือว่าจะดื่มด่ำสู่ความมืดมิดนั้น?"
ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่หันหน้าเข้าผนังถ้ำ ผิวพรรณซีดขาวดุจขี้เถ้า เขานิ่งเงียบ ไม่ตอบสนองเสียงหรือภาพใด ๆ ความสงบแผ่ขยายไปโดยรอบ ความเงียบของเขากลายเป็นเกราะป้องกันอันแน่วแน่ ราวกับท้าทายกองทัพแห่งแสง
แสงสีทองที่แผ่คลุมพื้นถ้ำกลับถูกดูดกลืนหายไปเมื่อเข้าใกล้ร่างของวิรันดร ทหารเทพพยายามใช้พลังแห่งแสงสาดส่อง เขย่าพื้นโลกให้อบอุ่นและเบ่งบาน แต่ถ้ำกลับสงบนิ่งราวกับแสงนั้นไม่มีอำนาจใด ๆ การพยายามรุกคืบของเทพและพลังแห่งแสงนั้นกลับเป็นดั่งความพยายามชั่วครู่ที่จะสลายความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่ในจิตใจอันลึกซึ้งถึงก้นบึ้งของวิรันดร
เทพแห่งแสงพยายามล่อลวงด้วยเสียงเพลงและการร่ายรำจากเหล่าเทพีอันงดงาม แม้แต่กลิ่นอาหารและเครื่องดื่มก็ลอยฟุ้งเข้ามาในถ้ำ หวังว่าวิรันดรจะหลงใหลในรสชาติและบรรยากาศชวนฝันนั้น ทว่าชายหนุ่มยังคงนิ่งสนิท ความคิดของเขาไม่สั่นไหวไปตามสิ่งยั่วยวนใด ๆ ท้ายที่สุด ขุนพลเทพนามว่า วิชธา ก็เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้ปฏิเสธแสงและความบันเทิงทั้งมวล
เสียงที่ต่ำลึกของวิรันดรดังก้องออกมาจากภายในถ้ำ “ชาตรา เคลสะ ตาตรา ศานติ อามารา” ("ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีความสงบนิรันดร์") พลังเงามืดขมุกขมัวเข้มข้นแผ่ซ่านออกมารอบร่างของเขา กองทัพแห่งแสงที่เข้าใกล้ต่างสูญสิ้นเรี่ยวแรง อาวุธร่วงหล่น สายตาของพวกเขาดูหม่นหมองด้วยความหวาดหวั่นที่ไม่เคยพบพาน ความสงบของวิรันดรกลับกลายเป็นกำแพงที่ไม่อาจทลาย
“ท่านมุ่งมั่นในหนทางแห่งทุกข์นิรันดร์เช่นนี้หรือ?” เสียงวิชธาถามอย่างอ่อนโยน แต่นัยน์ตาของเขามีแววสงสัยที่ไม่เคยลบเลือน ขุนพลแห่งแสงพยักหน้าให้กองทัพเทพสวรรค์ถอยห่าง เสียงแซ่ซ้องจากเทพทั้งหลายมลายหายไป เหลือไว้เพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว
วิรันดรลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเปล่งเสียงเนิบช้า “ตะหะมรา สัตจะ ยะตะ ชะยะ วิชธะ มายา ตะวา มิตรา อะวิคมา อันตะระ มะหะ ชะระ” ("ข้าผู้ถึงพร้อมในสัจจะ ข้าชนะวิชธาและมายาที่ลวงตา ข้าพบมิตรแท้ในความมืดอันไม่สิ้นสุด ไม่มีจุดจบ ไม่มีการบรรลุที่แท้จริงนอกจากสันนิรันดร์")
ฝนกรดสีหม่นโปรยปรายจากฟ้าและดอกไม้สีเทาหม่นที่ส่งกลิ่นหอมลึกลับโปรยปรายราวกับเป็นคำอวยพรจากจักรวาลอันไกลโพ้น นี่คือการตรัสรู้ที่เปิดสู่ธุมมะธรรมและสันนิรันดร์