องค์หลวงพ่อพระพุทธเมตตา สร้างขึ้นประมาณปีพุทธศักราช ๑๑๐๐ โดยสร้างขึ้นจากหินแกรนิตสีดำ และถูกนำมาประดิษฐานไว้ภายในพระมหาเจดีย์พุทธคยา ณ สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อถึงปีพุทธศักราช ๑๑๔๕ กษัตริย์ผู้นับถือศาสนาพรหมณ์ จากแคว้นเบงกอล พระนามว่า สสางกา ได้ประกาศตนเป็นอิสระจากแคว้นมคธ และยกทัพมาทำลายพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพื่อต้องการทำลายกำลังใจของชาวมคธให้พินาศก่อน จึงค่อยเคลื่อนทัพใหญ๋ไปโจมตีเมืองปาฏลีบุตร อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นต่อไป
แต่เมื่อพระเจ้าสสางกา ได้ทอดพระเนตรเห็น "พระพุทธเมตตา" จากใจที่กระเหี้ยนกระหือตั้งใจจะทำลายร้างให้ย่อยยับ ก็กลับกลายเป็นใจอ่อนโยนลงมา โดยพระองค์เกิดความละอายชั่วกลัวบาปว่า "ถ้าเราทำลายพระพุทธรูปที่งดงามขนาดนี้ เราคงต้องตกนรกหมกไหม้เป็นแน่" สุดท้ายจึงมิกล้าทำลาย ทำให้ หลวงพ่อพระพุทธเมตตา รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ถูกทำลายครั้งสำคัญมาได้ด้วย "พระพักตร์เย็นที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม"
นับจากนั้น หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็มีชื่อเสียงในความศรัทธาของผู้คนมากขึ้นตามลำดับ ผ่านกาลเวลายาวนานนับปี นับร้อยปี นับพันปี ผ่านลมฝน ผ่านการ (เกือบจะ) ทำถูกลายในสมัย พ.ศ. ๑๗๖๐ ที่ชาวต่างศาสนาบุกเข้ายึดครองอินเดีย และ บุกทำลายพุทธสถานทุกๆ แห่ง
เมื่อมาถึงพุทธคยา ก็เข้าทำลายสถานที่ตรัสรู้ แต่พระสงฆ์สมัยนั้นท่านฉลาด จึงก่ออิฐปิดทางเข้าพระเจดีย์ ให้ดูเหมือนเป็นเจดีย์ตัน พวกชาวต่างศาสนาที่เข้ามาทำลาย จึงทำลายเพียงตัวพระเจดีย์รอบนอก ด้วยไม่รู้ว่ามีพระพุทธเมตตาอยู่ภายใน จึงทำให้ หลวงพ่อพระพุทธเมตตา รอดพ้นจากการทำลายมาอีกครั้ง
เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๑๓๓ พุทธคยา ก็ถูกคุกคามอีกครั้งทั้งจากคนต่างศาสนาทั้งอิสลามและฮินดู และถูกเข้ายึดครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยน้ำมือของนักบวชฮินดูมหันต์ ซึ่งขณะนั้น หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็จมอยู่ใต้ผืนธรณีโดยที่มิมีมนุษย์ใดล่วงรู้
ผ่านระยะเวลาเนิ่นนานหลายร้อยปี นักโบราณคดีชาวอังกฤษ จึงกลับมากอบกู้เปิดปฐพี พลิกแผ่นดิน ฟื้นฟูพุทธสถานกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔๒๗ (๑๐ ปีเต็มกับการขุดค้น) จึงได้ทราบว่าที่แท้เจดีย์พุทธคยา มิใช้เพียงเจดีย์ตัน!! แต่ยังมีห้องโถงอยู่ภายใน และเมื่อขุดลึกเข้าไป จึงได้ค้นพบ หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง
และนั่นคือการปรากฎตัวให้โลกยุคนี้ได้ยลโฉมของ "องค์หลวงพ่อพระพุทธเมตตา"
ต่อมาด้วยความร่วมมือจากชาวพุทธพม่า ชาวพุทธศรีลังกา ชาวพุทธเนปาล จึงช่วยกันฟื้นฟู บูรณะปฏิสังขรพุทธคยา ให้กลับมาสวยงามสง่าในฐานะเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกครั้ง ซึ่งองค์หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็ได้รับการทาสีทองด้วยทองคำแท้ทั้งองค์ พร้อมทั้งมีการเขียนสีที่งดงามบนพระพักตร์ ให้เป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธามาจนถึงทุกวันนี้
มาบัดนี้ ไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา มาร พรหม หรือ นักบวชในศาสนาใด ที่สามารถปิดกั้นพระคุณอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้าใดอีก พุทธคยา กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธบริษัททุกนิกายทั่วโลก และ องค์หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็กลายเป็นมาองค์แทนแห่งความเคารพบูชาอย่างสูงสุด ของชาวพุทธและชาวอินเดียทั่วทั้งแผ่นดิน
เครดิต พระครูอินเดีย
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
”พระพุทธเมตตา“ พระพุทธปฏิมาล้ำค่าที่งามล้ำเลิศในแดนพุทธภูมิ
เมื่อถึงปีพุทธศักราช ๑๑๔๕ กษัตริย์ผู้นับถือศาสนาพรหมณ์ จากแคว้นเบงกอล พระนามว่า สสางกา ได้ประกาศตนเป็นอิสระจากแคว้นมคธ และยกทัพมาทำลายพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพื่อต้องการทำลายกำลังใจของชาวมคธให้พินาศก่อน จึงค่อยเคลื่อนทัพใหญ๋ไปโจมตีเมืองปาฏลีบุตร อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นต่อไป
แต่เมื่อพระเจ้าสสางกา ได้ทอดพระเนตรเห็น "พระพุทธเมตตา" จากใจที่กระเหี้ยนกระหือตั้งใจจะทำลายร้างให้ย่อยยับ ก็กลับกลายเป็นใจอ่อนโยนลงมา โดยพระองค์เกิดความละอายชั่วกลัวบาปว่า "ถ้าเราทำลายพระพุทธรูปที่งดงามขนาดนี้ เราคงต้องตกนรกหมกไหม้เป็นแน่" สุดท้ายจึงมิกล้าทำลาย ทำให้ หลวงพ่อพระพุทธเมตตา รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ถูกทำลายครั้งสำคัญมาได้ด้วย "พระพักตร์เย็นที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม"
นับจากนั้น หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็มีชื่อเสียงในความศรัทธาของผู้คนมากขึ้นตามลำดับ ผ่านกาลเวลายาวนานนับปี นับร้อยปี นับพันปี ผ่านลมฝน ผ่านการ (เกือบจะ) ทำถูกลายในสมัย พ.ศ. ๑๗๖๐ ที่ชาวต่างศาสนาบุกเข้ายึดครองอินเดีย และ บุกทำลายพุทธสถานทุกๆ แห่ง
เมื่อมาถึงพุทธคยา ก็เข้าทำลายสถานที่ตรัสรู้ แต่พระสงฆ์สมัยนั้นท่านฉลาด จึงก่ออิฐปิดทางเข้าพระเจดีย์ ให้ดูเหมือนเป็นเจดีย์ตัน พวกชาวต่างศาสนาที่เข้ามาทำลาย จึงทำลายเพียงตัวพระเจดีย์รอบนอก ด้วยไม่รู้ว่ามีพระพุทธเมตตาอยู่ภายใน จึงทำให้ หลวงพ่อพระพุทธเมตตา รอดพ้นจากการทำลายมาอีกครั้ง
เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๑๓๓ พุทธคยา ก็ถูกคุกคามอีกครั้งทั้งจากคนต่างศาสนาทั้งอิสลามและฮินดู และถูกเข้ายึดครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยน้ำมือของนักบวชฮินดูมหันต์ ซึ่งขณะนั้น หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็จมอยู่ใต้ผืนธรณีโดยที่มิมีมนุษย์ใดล่วงรู้
ผ่านระยะเวลาเนิ่นนานหลายร้อยปี นักโบราณคดีชาวอังกฤษ จึงกลับมากอบกู้เปิดปฐพี พลิกแผ่นดิน ฟื้นฟูพุทธสถานกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔๒๗ (๑๐ ปีเต็มกับการขุดค้น) จึงได้ทราบว่าที่แท้เจดีย์พุทธคยา มิใช้เพียงเจดีย์ตัน!! แต่ยังมีห้องโถงอยู่ภายใน และเมื่อขุดลึกเข้าไป จึงได้ค้นพบ หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้ง
และนั่นคือการปรากฎตัวให้โลกยุคนี้ได้ยลโฉมของ "องค์หลวงพ่อพระพุทธเมตตา"
ต่อมาด้วยความร่วมมือจากชาวพุทธพม่า ชาวพุทธศรีลังกา ชาวพุทธเนปาล จึงช่วยกันฟื้นฟู บูรณะปฏิสังขรพุทธคยา ให้กลับมาสวยงามสง่าในฐานะเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกครั้ง ซึ่งองค์หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็ได้รับการทาสีทองด้วยทองคำแท้ทั้งองค์ พร้อมทั้งมีการเขียนสีที่งดงามบนพระพักตร์ ให้เป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธามาจนถึงทุกวันนี้
มาบัดนี้ ไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา มาร พรหม หรือ นักบวชในศาสนาใด ที่สามารถปิดกั้นพระคุณอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้าใดอีก พุทธคยา กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธบริษัททุกนิกายทั่วโลก และ องค์หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ก็กลายเป็นมาองค์แทนแห่งความเคารพบูชาอย่างสูงสุด ของชาวพุทธและชาวอินเดียทั่วทั้งแผ่นดิน
เครดิต พระครูอินเดีย
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓