ดูเหมือนจะเกิดแนวโน้มที่มีผลมาจากการใช้โซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้คนบางส่วนเกิดความหลงตัวเอง (Narcissism) หรือยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางมากขึ้น การใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ต้องการ “ไลค์” หรือการได้รับความสนใจบ่อยครั้งสามารถส่งผลให้คนเริ่มมุ่งเน้นที่การทำให้ตัวเองโดดเด่นหรือได้รับความสนใจจากผู้อื่นบ่อยครั้ง
ปัจจุบันพบมีถึง 68 % ในการหลงตัวเอง มั่นใจในตัวเองเกินเหตุ จนขาดมารยาททางสังคุฒสูงถึง 30 ประเทศ 3 ทวีป แม้แต่ในสังคมไทยในปัจจุบันที่กำลังพูดคุยและถกเถียงในประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเกิดโควิด 19 ที่มีการเข้ามาของสังคม Tiktok และ Instagram สะกดจิตให้ทุกคนกลายเป็น ครีเอเตอร์กันล้นหลาม
การหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) เป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติที่ผู้ป่วยมีลักษณะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการการยกยอชื่นชม และขาดความเห็นใจผู้อื่น.
ผู้ที่เป็นโรคนี้มักมีพฤติกรรมโอ้อวดตัวเอง เชื่อว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น และไม่สามารถรับคำวิจารณ์ได้. สาเหตุของโรคอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและการเลี้ยงดู. การรักษามักใช้วิธีจิตบำบัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันในแต่ละวัย:
• วัยเด็ก: อาจแสดงออกถึงความต้องการการยกยอและการสนใจจากผู้ปกครอง เช่น การทำให้ตนเองเป็นศูนย์กลางในครอบครัว และอาจเกิดจากการเลี้ยงดูที่ปกป้องมากเกินไปหรือถูกละเลย.
• วัยรุ่น: เริ่มมีพฤติกรรมโอ้อวดและต้องการการยอมรับจากเพื่อนฝูง อาจมีความรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญหรือพิเศษ.
• วัยผู้ใหญ่: มักแสดงออกถึงความมั่นใจเกินจริง ต้องการการยกยออย่างต่อเนื่อง และมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) มีผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะในด้านต่างๆ ดังนี้:
• การขาดความเห็นใจ: ผู้ที่เป็นโรคนี้มักไม่สามารถเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์.
• การเรียกร้องความสนใจ: พวกเขามักต้องการการยกยอและการยอมรับจากผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่เพียงพอหรือถูกละเลย.
• พฤติกรรมที่เอาเปรียบ: ผู้ป่วยมักใช้คนอื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น.
• ความขัดแย้งและความตึงเครียด: การไม่ยอมรับความผิดพลาดและการมองโลกในแง่ลบต่อผู้อื่นสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ได้ง่าย.
ผลกระทบเหล่านี้สามารถทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวลและความซึมเศร้าในผู้ที่อยู่ใกล้ชิด
ปรากฏการณ์นี้อาจส่งผลให้การสื่อสารในสังคมเปลี่ยนไป มีแนวโน้มว่าคนจะสนใจตนเองมากขึ้น และอาจมีผลต่อสุขภาพจิต รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างการรับรู้เรื่องสุขภาพจิตและความเข้าใจในพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้คนรับมือกับผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
โลกป่วน ! นักวิทยาศาสตร์เผย 68% โซเชียลติดแกรมพุ่ง ย้ำอนาคต จะมีผู้ป่วยมีลักษณะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ปัจจุบันพบมีถึง 68 % ในการหลงตัวเอง มั่นใจในตัวเองเกินเหตุ จนขาดมารยาททางสังคุฒสูงถึง 30 ประเทศ 3 ทวีป แม้แต่ในสังคมไทยในปัจจุบันที่กำลังพูดคุยและถกเถียงในประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเกิดโควิด 19 ที่มีการเข้ามาของสังคม Tiktok และ Instagram สะกดจิตให้ทุกคนกลายเป็น ครีเอเตอร์กันล้นหลาม
ผู้ที่เป็นโรคนี้มักมีพฤติกรรมโอ้อวดตัวเอง เชื่อว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น และไม่สามารถรับคำวิจารณ์ได้. สาเหตุของโรคอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและการเลี้ยงดู. การรักษามักใช้วิธีจิตบำบัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันในแต่ละวัย:
• วัยเด็ก: อาจแสดงออกถึงความต้องการการยกยอและการสนใจจากผู้ปกครอง เช่น การทำให้ตนเองเป็นศูนย์กลางในครอบครัว และอาจเกิดจากการเลี้ยงดูที่ปกป้องมากเกินไปหรือถูกละเลย.
• วัยรุ่น: เริ่มมีพฤติกรรมโอ้อวดและต้องการการยอมรับจากเพื่อนฝูง อาจมีความรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญหรือพิเศษ.
• วัยผู้ใหญ่: มักแสดงออกถึงความมั่นใจเกินจริง ต้องการการยกยออย่างต่อเนื่อง และมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) มีผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะในด้านต่างๆ ดังนี้:
• การขาดความเห็นใจ: ผู้ที่เป็นโรคนี้มักไม่สามารถเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์.
• การเรียกร้องความสนใจ: พวกเขามักต้องการการยกยอและการยอมรับจากผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่เพียงพอหรือถูกละเลย.
• พฤติกรรมที่เอาเปรียบ: ผู้ป่วยมักใช้คนอื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น.
• ความขัดแย้งและความตึงเครียด: การไม่ยอมรับความผิดพลาดและการมองโลกในแง่ลบต่อผู้อื่นสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งในความสัมพันธ์ได้ง่าย.
ผลกระทบเหล่านี้สามารถทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวลและความซึมเศร้าในผู้ที่อยู่ใกล้ชิด
ปรากฏการณ์นี้อาจส่งผลให้การสื่อสารในสังคมเปลี่ยนไป มีแนวโน้มว่าคนจะสนใจตนเองมากขึ้น และอาจมีผลต่อสุขภาพจิต รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างการรับรู้เรื่องสุขภาพจิตและความเข้าใจในพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้คนรับมือกับผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม