"คลัง" จ่อทบทวน GDP ปี68 ใหม่ หลังคาดการณ์เอฟเฟค นโยบาย"ทรัมป์" กระทบเศรษฐกิจโลกช่วงไตรมาส1-2 ปี 68 ฉุดเศรษฐกิจจีนตกต่ำ กระทบส่งออก-ท่องเที่ยวไทย หวั่นสหรัฐลดลงทุน FDI พร้อมแนะผู้ส่งออกเร่งหาตลาดใหม่รับมือการค้า 2 ขั้ว
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะและครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น สศค.ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากแนวนโยบายการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้เบื้องต้นแล้ว โดยประเมินว่า การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ อาจจะได้รับผลกระทบ และไทยอาจต้องเร่งหาตลาดใหม่ หรือขยายตลาดในประเทศอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายการคุ้มครองของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน มองว่า จากปัญหาสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับไทย และอาจทำให้ความต้องการสินค้าไทยในภูมิภาคลดลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยด้วย รวมทั้งสหรัฐฯ อาจลดการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ไทยอาจได้รับผลกระทบการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ (FDI) น้อยลง โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ส่วนค่าเงินบาทจะผันผวนและอ่อนค่าลงซึ่งจะเพิ่มต้นทุนนำเข้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าวัตถุดิบที่ไทยยังต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ ส่วนอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Vields) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทยไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น
นอกจากนี้ มองว่า มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คาด หรืออาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อจากการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้อาจจะได้เห็นเงินทุนไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ เช่น ไทย และเกิดการย้ายฐานการผลิตกลับไปในสหรัฐฯ แทน ส่วนอุตสาหกรรมทไยที่พึ่งพาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น
การชนะการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้น อาจจะเป็นผลทำให้ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์สามารถสร้างนโยบายที่ชัดเจนก็น่าจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาสของเศรษฐกิจไทยต่อนโยบายการบริหารประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมองว่าไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันการกีดกันสินค้าจากจีน อาจเพิ่มความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารแช่แข็งซึ่งถือเป็นโอกาสที่สำคัญ รวมถึงไทยยังสามารถขยายการลงทุนและส่งออกในกลุ่มสินค้าพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทย ควรปรับตัวและเตรียมพร้อมเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าว โดยเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และจีน มุ่งเน้นขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อาหารสุขภาพและผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพสูง รวมทั้งเร่งส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อตอบสนองตลาดโลกที่ต้องการสินค้าคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีคาร์บอนเครดิตซึ่งสามารถใช้ในธุรกิจส่งออกและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพแรงงานที่มีทักษะสูง โดยเน้นที่ทักษะเทคโนโลยีชั้นสูงและการผลิตอัตโนมัติ จะช่วยให้ไทยมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนและสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค
สศค. ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ระดับ 3% โดยยังไม่ได้นำปัจจัยนโยบายด้านการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปสู่การประเมิน เนื่องจากมองว่าแม้สหรัฐจะเร่งผลักดันมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมา ก็น่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทันที โดยน่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 1-2/2568 จึงจำเป็นต้องรอดูผลกระทบจากมาตรการด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่าจะมาในมิติใดบ้าง
สำหรับนโยบายการค้า 5 ด้านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อาทิ การค้าและภาษีนำเข้า โดยเสนอให้สหรัฐเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 60% ส่วนประเทศอื่นๆ เสนอเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10%-20%, สนับสนุนให้การค้าระหว่างประเทศเป็นระบบต่างตอบแทน , พยามเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีให้มีอำนาจเหนือธนาคารกลาง (เฟด) เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายการเงิน โดยขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อคุมเงินเฟ้อ , ปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงไปอยู่ที่ 15% ถึง 20% จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่อัตรา 21% ซึ่งเป็นอัตราที่ปรับลดลงมาจาก 34% ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
Cr.
https://www.posttoday.com/business/715489
ภาคธุรกิจเอกชนกังวล นโยบายภาษีกีดกัดสินค้าจีนของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด ส่งผลกระทบทั่วโลก หวั่นดันสินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายหลักคือ อเมริกาต้องมาก่อน (America First) จึงประเมินเบื้องต้นถึงสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น คือ 1.การผลิตอะไรก็ตามที่อเมริกาสามารถทำได้ในต่างประเทศจะถูกดึงกลับไปผลิตที่อเมริกา ส่วนสินค้าจากประเทศอื่นจะมีกำแพงภาษีสูงขึ้น
2.ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภคนำเข้าสหรัฐฯ จนเกินดุลการค้าจะถูกขึ้นภาษี และแน่นอนว่าเริ่มต้นที่สินค้าจากประเทศจีนเป็นอันดับแรก ถัดมาคือประเทศอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีประเทศไทยด้วย กรณีนี้ต้องจับตาดูว่าจะกระทบกับเรื่องเงินเฟ้อหรือไม่อย่างไร
สิ่งสำคัญคือสงครามการค้าการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนทำให้เกิดผลกระทบไปทั่วโลก เพราะหากจีนถูกตั้งกำแพงภาษีสูงหรือไม่สามารถขายสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯได้ จีนอาจจะย้ายฐานการผลิตสินค้าและบุกตลาดในภูมิภาคอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน และแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนต้องดูว่า สินค้าจีนจะเข้ามาเป็นแค่ทางผ่านของตลาดหรือเข้ามาผลิตส่งขายเอง เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
“นโยบายของสหรัฐค่อนข้างชัดเจน ว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือชิปต่างๆ ที่ผลิตจากจีน จะไม่ให้นำเข้าอย่างเด็ดขาดและไม่ให้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ใดก็ตาม ไม่ว่าจะอ้อมไปยังไงก็ไม่มีทางเข้าสหรัฐได้ ขณะที่สินค้าประเภทอื่นน่าจะต้องรอดูว่าอะไรมีความจำเป็นที่ต้องใช้ในสหรัฐ และต้องใช้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งอัตราภาษีคงแตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐต่อรัฐ เอกชนต่อเอกชน หากมีความชัดเจนแล้วจะส่งผลต่อประเทศไทย ฉะนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว”
เอกชน ฟันธงการลงทุนในไทยจะเพิ่มขึ้น ถ้า "ทรัมป์" นั่งปธน.สหรัฐฯ
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า โดยความคิดเห็นส่วนตัวต้องจับตาดูนโยบายประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาว่าจะมีอะไรบ้างหลังจากนี้ เพราะหากการค้าติดลบเรื่องภาษีแต่ก็ยังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ ถ้าสินค้าจีนถูกปฏิเสธแต่สินค้าจากประเทศอื่นยังไปได้ ขณะเดียวกันสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน น่าจะเบาบางลง เพราะนโยบายการหาเสียงของทรัมป์ ได้ชูเรื่องนี้เป็นประเด็นแรกๆ ที่จะถูกคลี่คลาย ส่วนฝั่งอิสราเอลน่าก็จะขึ้นอยู่กับการพูดคุยและการเจรจาต่อไป
ฉะนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องทำหลังจากนี้คือ การผลิตสินค้าที่คงคอนเซ็ปต์ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในตลาดทางฝั่งยุโรปได้ ส่วนเรื่องภาษีต้องยอมรับในช่วงแรกว่าอาจทำให้ยอดขายสินค้าไทยและประเทศอื่นๆ ดรอปลง และประเด็นสำคัญคือเตรียมรับมือกับสินค้าจีน ทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ หากสินค้าจีนสามารถทดแทนสินค้าไทยได้จะต้องเชิญกับสงครามราคาอย่างแน่นอน เพราะสินค้าจีนมักมีราคาถูกกว่าสินค้าไทย
อย่างไรก็ตาม ภาวะของเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ถือว่ายังไม่ฟื้นตัวดีนัก ภาคธุรกิจและการส่งออกยังแข่งขันสูง แม้ไตรมาสสุดท้ายจะสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว อาศัยงบประมาณจากภาครัฐ แต่โดยภาพรวมยังไม่หวือวาเท่าที่ควร
Cr.
https://www.thansettakij.com/business/marketing/611327
คลัง รื้อจีดีพีปี68 ใหม่ หลังผลกระทบ "นโยบายทรัมป์" ชัดไตรมาส 1-2 & เอกชนกังวลสินค้าจีน บุกอาเซียน
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะและครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น สศค.ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากแนวนโยบายการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้เบื้องต้นแล้ว โดยประเมินว่า การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ อาจจะได้รับผลกระทบ และไทยอาจต้องเร่งหาตลาดใหม่ หรือขยายตลาดในประเทศอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายการคุ้มครองของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน มองว่า จากปัญหาสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับไทย และอาจทำให้ความต้องการสินค้าไทยในภูมิภาคลดลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยด้วย รวมทั้งสหรัฐฯ อาจลดการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ไทยอาจได้รับผลกระทบการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ (FDI) น้อยลง โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ส่วนค่าเงินบาทจะผันผวนและอ่อนค่าลงซึ่งจะเพิ่มต้นทุนนำเข้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าวัตถุดิบที่ไทยยังต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ ส่วนอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Vields) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทยไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น
นอกจากนี้ มองว่า มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คาด หรืออาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อจากการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้อาจจะได้เห็นเงินทุนไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ เช่น ไทย และเกิดการย้ายฐานการผลิตกลับไปในสหรัฐฯ แทน ส่วนอุตสาหกรรมทไยที่พึ่งพาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น
การชนะการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้น อาจจะเป็นผลทำให้ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์สามารถสร้างนโยบายที่ชัดเจนก็น่าจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาสของเศรษฐกิจไทยต่อนโยบายการบริหารประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมองว่าไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันการกีดกันสินค้าจากจีน อาจเพิ่มความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารแช่แข็งซึ่งถือเป็นโอกาสที่สำคัญ รวมถึงไทยยังสามารถขยายการลงทุนและส่งออกในกลุ่มสินค้าพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทย ควรปรับตัวและเตรียมพร้อมเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าว โดยเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และจีน มุ่งเน้นขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อาหารสุขภาพและผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพสูง รวมทั้งเร่งส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อตอบสนองตลาดโลกที่ต้องการสินค้าคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีคาร์บอนเครดิตซึ่งสามารถใช้ในธุรกิจส่งออกและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพแรงงานที่มีทักษะสูง โดยเน้นที่ทักษะเทคโนโลยีชั้นสูงและการผลิตอัตโนมัติ จะช่วยให้ไทยมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนและสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค
สศค. ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ระดับ 3% โดยยังไม่ได้นำปัจจัยนโยบายด้านการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปสู่การประเมิน เนื่องจากมองว่าแม้สหรัฐจะเร่งผลักดันมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมา ก็น่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทันที โดยน่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 1-2/2568 จึงจำเป็นต้องรอดูผลกระทบจากมาตรการด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่าจะมาในมิติใดบ้าง
สำหรับนโยบายการค้า 5 ด้านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อาทิ การค้าและภาษีนำเข้า โดยเสนอให้สหรัฐเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 60% ส่วนประเทศอื่นๆ เสนอเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10%-20%, สนับสนุนให้การค้าระหว่างประเทศเป็นระบบต่างตอบแทน , พยามเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีให้มีอำนาจเหนือธนาคารกลาง (เฟด) เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายการเงิน โดยขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อคุมเงินเฟ้อ , ปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงไปอยู่ที่ 15% ถึง 20% จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่อัตรา 21% ซึ่งเป็นอัตราที่ปรับลดลงมาจาก 34% ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
Cr. https://www.posttoday.com/business/715489
ภาคธุรกิจเอกชนกังวล นโยบายภาษีกีดกัดสินค้าจีนของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด ส่งผลกระทบทั่วโลก หวั่นดันสินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียน
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายหลักคือ อเมริกาต้องมาก่อน (America First) จึงประเมินเบื้องต้นถึงสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น คือ 1.การผลิตอะไรก็ตามที่อเมริกาสามารถทำได้ในต่างประเทศจะถูกดึงกลับไปผลิตที่อเมริกา ส่วนสินค้าจากประเทศอื่นจะมีกำแพงภาษีสูงขึ้น
2.ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภคนำเข้าสหรัฐฯ จนเกินดุลการค้าจะถูกขึ้นภาษี และแน่นอนว่าเริ่มต้นที่สินค้าจากประเทศจีนเป็นอันดับแรก ถัดมาคือประเทศอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีประเทศไทยด้วย กรณีนี้ต้องจับตาดูว่าจะกระทบกับเรื่องเงินเฟ้อหรือไม่อย่างไร
สิ่งสำคัญคือสงครามการค้าการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนทำให้เกิดผลกระทบไปทั่วโลก เพราะหากจีนถูกตั้งกำแพงภาษีสูงหรือไม่สามารถขายสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯได้ จีนอาจจะย้ายฐานการผลิตสินค้าและบุกตลาดในภูมิภาคอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน และแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนต้องดูว่า สินค้าจีนจะเข้ามาเป็นแค่ทางผ่านของตลาดหรือเข้ามาผลิตส่งขายเอง เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
“นโยบายของสหรัฐค่อนข้างชัดเจน ว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือชิปต่างๆ ที่ผลิตจากจีน จะไม่ให้นำเข้าอย่างเด็ดขาดและไม่ให้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ใดก็ตาม ไม่ว่าจะอ้อมไปยังไงก็ไม่มีทางเข้าสหรัฐได้ ขณะที่สินค้าประเภทอื่นน่าจะต้องรอดูว่าอะไรมีความจำเป็นที่ต้องใช้ในสหรัฐ และต้องใช้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งอัตราภาษีคงแตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐต่อรัฐ เอกชนต่อเอกชน หากมีความชัดเจนแล้วจะส่งผลต่อประเทศไทย ฉะนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว”
เอกชน ฟันธงการลงทุนในไทยจะเพิ่มขึ้น ถ้า "ทรัมป์" นั่งปธน.สหรัฐฯ
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า โดยความคิดเห็นส่วนตัวต้องจับตาดูนโยบายประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาว่าจะมีอะไรบ้างหลังจากนี้ เพราะหากการค้าติดลบเรื่องภาษีแต่ก็ยังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ ถ้าสินค้าจีนถูกปฏิเสธแต่สินค้าจากประเทศอื่นยังไปได้ ขณะเดียวกันสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน น่าจะเบาบางลง เพราะนโยบายการหาเสียงของทรัมป์ ได้ชูเรื่องนี้เป็นประเด็นแรกๆ ที่จะถูกคลี่คลาย ส่วนฝั่งอิสราเอลน่าก็จะขึ้นอยู่กับการพูดคุยและการเจรจาต่อไป
ฉะนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องทำหลังจากนี้คือ การผลิตสินค้าที่คงคอนเซ็ปต์ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในตลาดทางฝั่งยุโรปได้ ส่วนเรื่องภาษีต้องยอมรับในช่วงแรกว่าอาจทำให้ยอดขายสินค้าไทยและประเทศอื่นๆ ดรอปลง และประเด็นสำคัญคือเตรียมรับมือกับสินค้าจีน ทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ หากสินค้าจีนสามารถทดแทนสินค้าไทยได้จะต้องเชิญกับสงครามราคาอย่างแน่นอน เพราะสินค้าจีนมักมีราคาถูกกว่าสินค้าไทย
อย่างไรก็ตาม ภาวะของเศรษฐกิจไทยในตอนนี้ถือว่ายังไม่ฟื้นตัวดีนัก ภาคธุรกิจและการส่งออกยังแข่งขันสูง แม้ไตรมาสสุดท้ายจะสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว อาศัยงบประมาณจากภาครัฐ แต่โดยภาพรวมยังไม่หวือวาเท่าที่ควร
Cr. https://www.thansettakij.com/business/marketing/611327