ฟังเสียงสอนที่ 811- มหาตัณหาสังขยสูตร1 สาติภิกษุเห็นผิดว่าวิญญานวนเวียน ฉบับมหาจุฬาฯ
-------เริ่มนาทีที่ 4.00
๘. มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา
[๔๔๐] เอวมฺเม สุตํ
ข้าพเจ้าพระอานนท์ได้สดับและจดจำมาอย่างนี้
เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ฯ
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
เตน โข ปน สมเยน สาติสฺส นาม ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ
ในสมัยนั้นแล ทิฏฐิอันชั่วช้า หรืออันไม่ดี มีลักษณะดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุชื่อว่า สาติ ผู้เป็นบุตรของชาวประมง
---ชื่อของพระรูปนี้ชื่อว่า สาติ -- สาติสัส นามะ ภิกขุโน -- ภิกษุชื่อว่า สาติ เกวัฏฏะปุตตะสัส ผู้เป็นบุตรของชาวประมง -- เกวัฏฏะ แปลว่า ชาวประมง
--- หรือเราจะเรียกชื่อท่านทับศัพท์ก็ได้ ท่านพระสาติเกวัฏฏะบุตร ก็ได้นะ -- พระสาติผู้เป็นบุตรของชาวประมง ตอนนี้ท่านมาบวชเป็นพระได้ศึกษาธรรมมะ แต่ศึกษาไปศึกษามา เกิดทิฏฐิที่ชั่วช้า ก็คือ ไม่ดี ผิด กับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า -- ปาปกัง แปลว่า ชั่วช้า หรือลามก
--- ลามก แต่เป็นลามกภาษาบาลีนะ หมายความว่า มันขัดแย้งกับพระสัพพัญญุตาญาน ขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่กีดขวางทางอริยมรรค ขวางอริยมรรคเกิดไม่ได้ ความเห็นของท่านนะ ก็เรียกว่า เป็นความเห็นแบบปาปกัง ถ้าเป็นผู้ได้พรรคได้พวก ได้มีญาติโยมขึ้นเยอะเดี๋ยวสอนญาติโยมก็จะพากันตกอบายได้ อันนี้ทำนองนี้เรียกว่า ทิฏฐิอันชั่วช้า มีลักษณะดังนี้เกิดขึ้น -- ทิฏฐิคะตัง ก็คือ ความเห็นที่ผิด --เป็นทิฏฐิชนิดที่เป็นสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยงนะ ความเห็นของท่านเป็นอย่างไร ท่านเห็นดังนี้ก็คือ
-------
ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ
ข้าพเจ้าอาตมาภาพหรือกระผมย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการนั้น ประการไหนล่ะ ก็ประการข้างหลังก็คือ
ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญนฺติ ฯ
ก็คือ วิญญานนี้นั่นแหละย่อมท่องเที่ยวและหมุนเวียนไปในวัฏฏะสงสาร ไม่ใช่อย่างอื่น
-- วิญญานนัง ก็คือ วิญญาน --ตะเทวิทัง วิญญาณัง วิญญานนี้นั่นแหละ วิญญานนี้เท่านั้น เฉพาะวิญญานที่ท่องเที่ยวแล้วก็หมุนเวียนไปในวัฏฏะสงสารไม่ใช่อื่น -- สันธาวะติ แปลว่า ท่องเที่ยวไป -- สังสะระติ ก็คือ วนเวียนไป แบบวัฏฏะเป็นวงกลมหมุนไปเกิดที่นั่นไปเกิดที่นี่ -- อนัญญันติ แปลว่า ไม่ใช่อันอื่น -- เรียนธรรมมะอาจจะฟังแต่เรื่องชาดกเยอะไปหน่อยก็เลยเพี้ยนได้ เหมือนเมืองไทยเราชอบฟังชาดกฟังไปๆก็เพี้ยนไปเรื่อย ก็เวลาฟังชาดกก็ พระพุทธเจ้าก็จะสรุปชาดกว่า ครั้งนั้นเราเป็นพระเวสสันดร เราเป็นมโหสถ เราเป็นเสนะกะบัณฑิต เราเป็นพระมหาชนกอะไรก็ว่าไปนะอย่างนี้ ฉะนั้น เมื่อศึกษาดังนี้เยอะๆเข้า ท่านก็มีความเห็นผิดเรื่องเกี่ยวกับสัสสตทิฏฐิคือ ความเห็นว่าเที่ยง
- สิ่งที่เที่ยงในความเห็นของท่านก็คือ วิญญาน นั่นเองเป็นตัวที่ท่องเที่ยวไป และหมุนวนไปไม่ใช่อื่น
- คือท่านเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร ก็เกิดและดับไปในภพนั้นๆ
- เช่นรูปของพระเวสสันดรก็ดับไป ความสุขความทุกข์เสียอกเสียใจที่เป็นสัญญาบ้าง สังขารบ้าง ในภพนั้น ความเป็นพระเวสสันดรต่างๆก็ดับไปในภพนั้นๆนั่นแหละ
- เหลือมาแต่วิญญาน อย่างนี้ มาท่องเที่ยวหมุนวนอยู่ แล้วก็ได้รับสุขทุกข์เป็นแบบพระพุทธเจ้าอยู่ทุกวันนี้ มโหสถอะไรๆก็ดีก็เป็นอย่างนี้
- ก็มีความเห็นอย่างนี้ เป็นทิฏฐิที่มีลักษณะความเห็นว่าเที่ยง โดยตัวที่เที่ยงไปเวียนว่ายตายเกิดก็คือ วิญญาน
- วิญญานท่องเที่ยวไป หลังๆมาพวกเราก็เอามาเหมือนกัน เรียนไปเรียนมาก็เข้าใจผิดได้เช่นกัน
- เช่นที่เราเรียน จุติจิต ปฏิสนธิจิต อะไรต่างๆ เหมือนจิตมันเคลื่อน จิตมันเกิดอะไรพวกเนี้ยะ นะ
- จิตมันเคลื่อนไม่มี จิตมันเกิดไม่มี จิตปฏิสนธิก็ไม่มี แต่ว่าเขาเอาศัพท์มาคู่กันเฉยๆ
- จิตมันเป็นของเกิด ดับ
- แต่ จุติจิต มันเป็น กิจ หน้าที่ของจิต ดวงนี้เฉยๆ
- จิต ดวงนี้ที่มันเกิดดับ แต่มันทำหน้าที่ จุติ ไม่ใช่จิตเป็นตัวจุติ ก็จุติเป็นหน้าที่ของจิตที่ทำให้ความเป็นสัตว์นั้นๆหายไปจากบุคคลนั้นๆในภพนั้นๆเฉยๆ
- เวลาจิตดวงนี้เกิดและดับลงความเป็นคนเป็นสัตว์จะหายไปเรียกว่ามันทำหน้าที่ จุติ หรือ เคลื่อน ตัวที่เคลื่อนก็คือ ความเป็นสัตว์บุคคลทั้งหลาย
- เคลื่อนไปจากร่างนี้ไม่เหลืออยู่ นะ
- เพราะว่า การจะเป็นสัตว์บุคคลก็ต้องมีขันธ์ 5 ครบ พอจุติจิตเกิดและดับ ก็เคลื่อนทำหน้าที่ นะ อย่างนี้ทำนองนี้
- แต่เวลาเราเอาศัพท์มารวมกันก็ เหมือนจุติจิต จิตมันเคลื่อน เนี่ย อันนี้ก็เริ่มมั่วแระ นะ มั่วจนชินแระ นะ อย่างนี้
- หรือ ปฏิสนธิก็เหมือนกัน ปฏิสนธิจิต ที่จริงจิตปฏิสนธิไม่มีหรอก มันเป็นหน้าที่ของมันเฉยๆ จิตมันก็เกิดดับธรรมดา ปกตินั่นเอง
- มีเงื่อนไขมันก็เกิดและดับ
- แต่มันทำหน้าที่ในการเชื่อมภพชาติเอาไว้ ภพเก่าก็คือขันธ์ 5 ภพใหม่ก็คือขันธ์ 5 โดยไปมีจิตตัวนี้ จุติจิตเกิดดับ ทำหน้าที่สลายความเป็นสัตว์นี้ให้หายไป
- จิตดวงใหม่เกิดขึ้น เกิดแล้วดับ
- จิตนี้ก็เกิดดับปกตินี่แหละไม่กระโดดข้ามไปไหนแต่มันมีหน้าที่เชื่อมขันธ์ 5 ไว้ ไม่ให้ขันธ์ 5 นี้หายไปจากวัฏฏะสงสาร
- แต่จริงๆขันธ์ 5 ทุกอันก็สลายหมดนั่นแหละ แต่มันเชื่อมไว้ ส่งมีเชื่อม เราก็เลยใช้ชื่อปฏิสนธิจิต
- บางคนก็เลยเป็นจิตที่เป็นตัวปฏิสนธิเสียอีกก็เลยงงกันอยู่ทุกวันนี้
- ที่จริงที่มาจริงๆก็มาทั้งขันธ์ 5 นั่นแหละมาด้วยกัน พอเข้าใจไหม โดยมีจิตนี้ทำหน้าที่ในการเชื่อม เราเลยเขียนชื่อให้เป็นปฏิสนธิจิต
- ที่จริง ปฏิสนธิจิตไม่มีหรอก มันคือจิตธรรมดา แต่มันทำหน้าที่ปฏิสนธิ เอาหน้าที่ของมันมาใส่เข้าไปด้วย นี้พอเข้าใจไหม
- นี้พอเรียนไปมากๆแล้ว บางทีงงเหมือนกันนะ เหมือนพระองค์นี้เกิดเป็นสัสสตทิฏฐิ มีตัวที่ท่องเที่ยวหมุนวนไปในวัฏฏะสงสาร ก็คืออันนี้เท่านั้น คือวิญญานนี้ไม่ใช่อันอื่น มีวิญญานต่อเนื่องกันไปว่าไปทำนองนี้ ต่อมา
อสฺโสสํ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู
ภิกษุ ทั้งหลายจำนวนมากรูปด้วยกัน ได้ยินข่าวดังนี้ว่า
สาติสฺส นาม ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญนฺติ ฯ
ได้ทราบว่า ทิฏฐิอันชั่วช้า ลักษณะอย่างนี้ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุชื่อว่า สาติ ผู้เป็นบุตรของชาวประมงว่า กระผมย่อมเข้าใจอย่างทั่วถึงซึ่งธรรม
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ทราบว่า วิญญานนี้เท่านั้นย่อมท่องเที่ยวและหมุนเวียนไปในวัฏฏะไม่ใช่อันอื่น
--น้าตัวที่ท่องเที่ยวหมุนวนไปก็คือวิญญานเท่านั้น
--แต่โดยความจริงนี่น้า ไม่มีตัวไหนมันเที่ยวไปสักที่เดียวนะ ตัวที่เที่ยวก็คือความเข้าใจว่าเที่ยวเท่านั้นเอง
--ไม่มีใครเที่ยวแต่ความเข้าใจว่าเที่ยว
--ไอ้ความเข้าใจว่าเที่ยวเป็นความเข้าใจผิดแค่นี้เอง
--ตกลงมีใครเชื่อไหมครับ หรือจะมีเราคนแรกที่เที่ยวไป ไม่มีใครสักคน ไม่มีสัตว์สักตัวเที่ยวไป
--แล้วขันธ์ 5 ก็ไม่ได้เที่ยวด้วย ขันธ์ 5 ก็เกิดดับปกติ ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเที่ยวทั้งนั้นแหละ รวมทั้งวิญญานด้วยก็ไม่เที่ยวไปไหน
--ที่เข้าใจว่าเที่ยวเป็นแค่ความเข้าใจผิดเฉยๆเท่านั้นแหละ
--ถ้าเข้าใจถูกก็ไม่มีใครเที่ยวไปไหนแล้ว
--จบ ง่ายๆนิดเดียว
--มันยากมากตรงนี้นะ ยากมาก พวกเราก็เลยเที่ยวมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเข้าใจผิดว่าเที่ยวไง
--เข้าใจผิดว่ามีเราเที่ยว มันก็เลยเที่ยวไปเรื่อย
--นะ ก็ว่าขันธ์ 5 มันเชื่อมต่อผ่านความเข้าใจผิดไง มันเชื่อมกัน จริงๆมันได้เชื่อมไหม มันไม่ได้เชื่อม
--ก็เมื่อวานกับวันนี้มันก็เชื่อมกัน ตกลงมันเชื่อมไหม ก็งงงงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ งัย ทำนองนี้
--คนละตัวกันตั้งนานแล้ว แต่เราเข้าใจผิดว่ามันเชื่อม มันก็เลยไปเชื่อมกัน ตกลงมันเชื่อมกันไม๊
--วัฏฏะสงสาร มันก็เลยสร้างขึ้นมาจากอวิชชานั่นเอง เกิดจากความเห็นผิดนะครับ ทำนองนี้
--เห็นถูกแล้วก็ไม่มีอะไรพอจะเชื่อมอะไรได้ แต่ความเห็นผิดเนี่ยมันเชื่อม เห็นตรงถูกต้องมันก็ไม่มีอะไร
--ท่านภิกษุชื่อว่า สาติสสะ เนี่ย เกวัฏฏบุตร บุตรของชาวประมง เนี่ยก็ฟังธรรมะเยอะพอสมควรทีเดียวท่านก็เลยบอกว่าได้รู้ทั่วถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว รู้ว่าตัวที่เที่ยววนเวียนไป ก็คือ วิญญานเท่านั้น ไม่ใช่อันอื่น น้าอย่างนี้นะครับ ทำนองนี้
-- แต่อันที่จริงวัฏฏะสงสารหรือการวนไปเนี่ย ที่ว่ามันมีเนี่ย มันก็เป็นการหมุนเวียนไปของ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ เท่านั้นเอง
--และที่ขันธ์ ธาตุ อายตนะ มันหมุนวนเชื่อม โยงไปได้ก็เพราะมันมีอวิชชา เท่านี้แหละ
--ที่จริงอวิชชาก็ไม่ได้ไปไหน มันก็เกิดดับเหมือนเดิม มันเชื่อมกัน ไปตามเหตุเงื่อนไขเท่านั้นเอง น่า ทำนองนี้นะครับ
--สรุปแล้วก็ไม่มีอันไหนมีจริงนะ ทุกอย่างมันก็มีตามเงื่อนไข
--แม้แต่ กิเลส แม้แต่ อวิชชา มันก็มี ก็เพราะมันมีเงื่อนไข เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นเฉยๆ
--แม้แต่ อวิชชา ก็ไม่มีตัวตนด้วยนะ ไม่มีจริงๆด้วย ก็มีเพราะมีเงื่อนไขก็คือยังไม่มีมรรคเท่านั้นเอง เท่านั้นแหละ
--ถ้ามีมรรคเกิดขึ้น ก็ อวิชชา ก็ไม่มี จบ
--ตกลงพวกเราจะไปไหนต่อพวกเรานี่ จบมันก็มีเท่านี้เองนะ จริงๆมันก็มีเท่านี้ แต่ว่าที่มันไม่เท่านี้เพราะมันเข้าใจผิดแล้วมันหลง มันก็เลยไปเรื่อยเลย
--น่าทำนองนี้
--ภิกษุองค์นี้ท่านก็หลงเหมือนกัน ศึกษามาเยอะพอสมควรทีเดียว แต่หลงว่าตัวที่ท่องเที่ยวไป คือ วิญญาน
--ภิกษุทั้งหลายทราบเรื่องว่าท่านมีความเห็นผิดดังนี้ เพราะว่ายุคเก่านี่ถ้าภิกษุเห็นผิดนี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะ
--เนื่องจากว่าถ้าเกิดว่าไม่รีบแก้ไขไม่รีบไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าไม่รีบไปช่วยท่านไปแก้ความเห็นผิดเนี่ย บางทีพอท่าน แสดงความเห็นผิดอย่างนี้เรื่อยๆแล้วมีคนเชื่อ ก็จะเป็นปัญหาใหญ่สอนยาก ยุคเก่าเขารีบสอนเพราะว่า ตอนนี้ยังไม่มีพวก เห็นผิดอยู่คนเดียว พอรู้ว่าใครเห็นผิดเขาก็รีบไปแก้
--เพราะว่าถ้ารอไปนานเดี๋ยวมีพวก แก้ยากเดี๋ยวเอาพวกมาแบบเป็นประท้วงอีกอะไรอีกมันลำบาก
--ยุคเก่าเขาเลยมีวิธีว่า ถ้าเห็นผิดปุ๊บนี่เขาจะต้องรีบแก้ไปเลย ถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องรีบไปหาพระพุทธเจ้าแล้วรีบแก้เพราะว่าถ้าปล่อยไว้นานพวกจะเยอะไง
--พวกเยอะแล้วแก้ยากยุคเก่า เขาจะใช้วิธีพวกนั้น ทำนองนี้นะครับ
--ส่วนยุคนี้ใครเห็นผิดเล็กๆน้อยๆเขาไม่ค่อยแก้ เขารอพวกเยอะก่อน พอพวกเยอะแล้วมันแก้ไม่ได้แล้วเพราะว่าเขามีพวกเยอะแล้ว พอไปแก้เขา พวกเขาก็ด่าเอาจบ เลยไม่ได้มีอะไร
--ส่วนยุคเก่าเขาใช้อีกวิธีนึง ก็คือ พอใครเห็นผิดปุ๊บ ก็รีบไปหาเลย เพราะไม่มีพวกเห็นผิดอยู่คนเดียว ก็ต้องรีบไปหา
--ถ้าพวกเรายังแก้ไม่ได้ก็ต้องไปหาพระพุทธเจ้าช่วยอย่างงี้ เห็นทำนองนี้
--ฉนั้น ถ้าเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากคำสอนเล็กๆน้อยๆ ยุคเก่าท่านจะรีบแก้ไขกันนะ ตามพระสูตรทั่วไปนะครับ
มิจฉาทิฏฐิ--น่ากลัว
-------เริ่มนาทีที่ 4.00
๘. มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา
[๔๔๐] เอวมฺเม สุตํ
ข้าพเจ้าพระอานนท์ได้สดับและจดจำมาอย่างนี้
เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ฯ
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
เตน โข ปน สมเยน สาติสฺส นาม ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ
ในสมัยนั้นแล ทิฏฐิอันชั่วช้า หรืออันไม่ดี มีลักษณะดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุชื่อว่า สาติ ผู้เป็นบุตรของชาวประมง
---ชื่อของพระรูปนี้ชื่อว่า สาติ -- สาติสัส นามะ ภิกขุโน -- ภิกษุชื่อว่า สาติ เกวัฏฏะปุตตะสัส ผู้เป็นบุตรของชาวประมง -- เกวัฏฏะ แปลว่า ชาวประมง
--- หรือเราจะเรียกชื่อท่านทับศัพท์ก็ได้ ท่านพระสาติเกวัฏฏะบุตร ก็ได้นะ -- พระสาติผู้เป็นบุตรของชาวประมง ตอนนี้ท่านมาบวชเป็นพระได้ศึกษาธรรมมะ แต่ศึกษาไปศึกษามา เกิดทิฏฐิที่ชั่วช้า ก็คือ ไม่ดี ผิด กับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า -- ปาปกัง แปลว่า ชั่วช้า หรือลามก
--- ลามก แต่เป็นลามกภาษาบาลีนะ หมายความว่า มันขัดแย้งกับพระสัพพัญญุตาญาน ขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่กีดขวางทางอริยมรรค ขวางอริยมรรคเกิดไม่ได้ ความเห็นของท่านนะ ก็เรียกว่า เป็นความเห็นแบบปาปกัง ถ้าเป็นผู้ได้พรรคได้พวก ได้มีญาติโยมขึ้นเยอะเดี๋ยวสอนญาติโยมก็จะพากันตกอบายได้ อันนี้ทำนองนี้เรียกว่า ทิฏฐิอันชั่วช้า มีลักษณะดังนี้เกิดขึ้น -- ทิฏฐิคะตัง ก็คือ ความเห็นที่ผิด --เป็นทิฏฐิชนิดที่เป็นสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยงนะ ความเห็นของท่านเป็นอย่างไร ท่านเห็นดังนี้ก็คือ
-------
ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ
ข้าพเจ้าอาตมาภาพหรือกระผมย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการนั้น ประการไหนล่ะ ก็ประการข้างหลังก็คือ
ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญนฺติ ฯ
ก็คือ วิญญานนี้นั่นแหละย่อมท่องเที่ยวและหมุนเวียนไปในวัฏฏะสงสาร ไม่ใช่อย่างอื่น
-- วิญญานนัง ก็คือ วิญญาน --ตะเทวิทัง วิญญาณัง วิญญานนี้นั่นแหละ วิญญานนี้เท่านั้น เฉพาะวิญญานที่ท่องเที่ยวแล้วก็หมุนเวียนไปในวัฏฏะสงสารไม่ใช่อื่น -- สันธาวะติ แปลว่า ท่องเที่ยวไป -- สังสะระติ ก็คือ วนเวียนไป แบบวัฏฏะเป็นวงกลมหมุนไปเกิดที่นั่นไปเกิดที่นี่ -- อนัญญันติ แปลว่า ไม่ใช่อันอื่น -- เรียนธรรมมะอาจจะฟังแต่เรื่องชาดกเยอะไปหน่อยก็เลยเพี้ยนได้ เหมือนเมืองไทยเราชอบฟังชาดกฟังไปๆก็เพี้ยนไปเรื่อย ก็เวลาฟังชาดกก็ พระพุทธเจ้าก็จะสรุปชาดกว่า ครั้งนั้นเราเป็นพระเวสสันดร เราเป็นมโหสถ เราเป็นเสนะกะบัณฑิต เราเป็นพระมหาชนกอะไรก็ว่าไปนะอย่างนี้ ฉะนั้น เมื่อศึกษาดังนี้เยอะๆเข้า ท่านก็มีความเห็นผิดเรื่องเกี่ยวกับสัสสตทิฏฐิคือ ความเห็นว่าเที่ยง
- สิ่งที่เที่ยงในความเห็นของท่านก็คือ วิญญาน นั่นเองเป็นตัวที่ท่องเที่ยวไป และหมุนวนไปไม่ใช่อื่น
- คือท่านเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร ก็เกิดและดับไปในภพนั้นๆ
- เช่นรูปของพระเวสสันดรก็ดับไป ความสุขความทุกข์เสียอกเสียใจที่เป็นสัญญาบ้าง สังขารบ้าง ในภพนั้น ความเป็นพระเวสสันดรต่างๆก็ดับไปในภพนั้นๆนั่นแหละ
- เหลือมาแต่วิญญาน อย่างนี้ มาท่องเที่ยวหมุนวนอยู่ แล้วก็ได้รับสุขทุกข์เป็นแบบพระพุทธเจ้าอยู่ทุกวันนี้ มโหสถอะไรๆก็ดีก็เป็นอย่างนี้
- ก็มีความเห็นอย่างนี้ เป็นทิฏฐิที่มีลักษณะความเห็นว่าเที่ยง โดยตัวที่เที่ยงไปเวียนว่ายตายเกิดก็คือ วิญญาน
- วิญญานท่องเที่ยวไป หลังๆมาพวกเราก็เอามาเหมือนกัน เรียนไปเรียนมาก็เข้าใจผิดได้เช่นกัน
- เช่นที่เราเรียน จุติจิต ปฏิสนธิจิต อะไรต่างๆ เหมือนจิตมันเคลื่อน จิตมันเกิดอะไรพวกเนี้ยะ นะ
- จิตมันเคลื่อนไม่มี จิตมันเกิดไม่มี จิตปฏิสนธิก็ไม่มี แต่ว่าเขาเอาศัพท์มาคู่กันเฉยๆ
- จิตมันเป็นของเกิด ดับ
- แต่ จุติจิต มันเป็น กิจ หน้าที่ของจิต ดวงนี้เฉยๆ
- จิต ดวงนี้ที่มันเกิดดับ แต่มันทำหน้าที่ จุติ ไม่ใช่จิตเป็นตัวจุติ ก็จุติเป็นหน้าที่ของจิตที่ทำให้ความเป็นสัตว์นั้นๆหายไปจากบุคคลนั้นๆในภพนั้นๆเฉยๆ
- เวลาจิตดวงนี้เกิดและดับลงความเป็นคนเป็นสัตว์จะหายไปเรียกว่ามันทำหน้าที่ จุติ หรือ เคลื่อน ตัวที่เคลื่อนก็คือ ความเป็นสัตว์บุคคลทั้งหลาย
- เคลื่อนไปจากร่างนี้ไม่เหลืออยู่ นะ
- เพราะว่า การจะเป็นสัตว์บุคคลก็ต้องมีขันธ์ 5 ครบ พอจุติจิตเกิดและดับ ก็เคลื่อนทำหน้าที่ นะ อย่างนี้ทำนองนี้
- แต่เวลาเราเอาศัพท์มารวมกันก็ เหมือนจุติจิต จิตมันเคลื่อน เนี่ย อันนี้ก็เริ่มมั่วแระ นะ มั่วจนชินแระ นะ อย่างนี้
- หรือ ปฏิสนธิก็เหมือนกัน ปฏิสนธิจิต ที่จริงจิตปฏิสนธิไม่มีหรอก มันเป็นหน้าที่ของมันเฉยๆ จิตมันก็เกิดดับธรรมดา ปกตินั่นเอง
- มีเงื่อนไขมันก็เกิดและดับ
- แต่มันทำหน้าที่ในการเชื่อมภพชาติเอาไว้ ภพเก่าก็คือขันธ์ 5 ภพใหม่ก็คือขันธ์ 5 โดยไปมีจิตตัวนี้ จุติจิตเกิดดับ ทำหน้าที่สลายความเป็นสัตว์นี้ให้หายไป
- จิตดวงใหม่เกิดขึ้น เกิดแล้วดับ
- จิตนี้ก็เกิดดับปกตินี่แหละไม่กระโดดข้ามไปไหนแต่มันมีหน้าที่เชื่อมขันธ์ 5 ไว้ ไม่ให้ขันธ์ 5 นี้หายไปจากวัฏฏะสงสาร
- แต่จริงๆขันธ์ 5 ทุกอันก็สลายหมดนั่นแหละ แต่มันเชื่อมไว้ ส่งมีเชื่อม เราก็เลยใช้ชื่อปฏิสนธิจิต
- บางคนก็เลยเป็นจิตที่เป็นตัวปฏิสนธิเสียอีกก็เลยงงกันอยู่ทุกวันนี้
- ที่จริงที่มาจริงๆก็มาทั้งขันธ์ 5 นั่นแหละมาด้วยกัน พอเข้าใจไหม โดยมีจิตนี้ทำหน้าที่ในการเชื่อม เราเลยเขียนชื่อให้เป็นปฏิสนธิจิต
- ที่จริง ปฏิสนธิจิตไม่มีหรอก มันคือจิตธรรมดา แต่มันทำหน้าที่ปฏิสนธิ เอาหน้าที่ของมันมาใส่เข้าไปด้วย นี้พอเข้าใจไหม
- นี้พอเรียนไปมากๆแล้ว บางทีงงเหมือนกันนะ เหมือนพระองค์นี้เกิดเป็นสัสสตทิฏฐิ มีตัวที่ท่องเที่ยวหมุนวนไปในวัฏฏะสงสาร ก็คืออันนี้เท่านั้น คือวิญญานนี้ไม่ใช่อันอื่น มีวิญญานต่อเนื่องกันไปว่าไปทำนองนี้ ต่อมา
อสฺโสสํ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู
ภิกษุ ทั้งหลายจำนวนมากรูปด้วยกัน ได้ยินข่าวดังนี้ว่า
สาติสฺส นาม ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญนฺติ ฯ
ได้ทราบว่า ทิฏฐิอันชั่วช้า ลักษณะอย่างนี้ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุชื่อว่า สาติ ผู้เป็นบุตรของชาวประมงว่า กระผมย่อมเข้าใจอย่างทั่วถึงซึ่งธรรม
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ทราบว่า วิญญานนี้เท่านั้นย่อมท่องเที่ยวและหมุนเวียนไปในวัฏฏะไม่ใช่อันอื่น
--น้าตัวที่ท่องเที่ยวหมุนวนไปก็คือวิญญานเท่านั้น
--แต่โดยความจริงนี่น้า ไม่มีตัวไหนมันเที่ยวไปสักที่เดียวนะ ตัวที่เที่ยวก็คือความเข้าใจว่าเที่ยวเท่านั้นเอง
--ไม่มีใครเที่ยวแต่ความเข้าใจว่าเที่ยว
--ไอ้ความเข้าใจว่าเที่ยวเป็นความเข้าใจผิดแค่นี้เอง
--ตกลงมีใครเชื่อไหมครับ หรือจะมีเราคนแรกที่เที่ยวไป ไม่มีใครสักคน ไม่มีสัตว์สักตัวเที่ยวไป
--แล้วขันธ์ 5 ก็ไม่ได้เที่ยวด้วย ขันธ์ 5 ก็เกิดดับปกติ ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเที่ยวทั้งนั้นแหละ รวมทั้งวิญญานด้วยก็ไม่เที่ยวไปไหน
--ที่เข้าใจว่าเที่ยวเป็นแค่ความเข้าใจผิดเฉยๆเท่านั้นแหละ
--ถ้าเข้าใจถูกก็ไม่มีใครเที่ยวไปไหนแล้ว
--จบ ง่ายๆนิดเดียว
--มันยากมากตรงนี้นะ ยากมาก พวกเราก็เลยเที่ยวมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเข้าใจผิดว่าเที่ยวไง
--เข้าใจผิดว่ามีเราเที่ยว มันก็เลยเที่ยวไปเรื่อย
--นะ ก็ว่าขันธ์ 5 มันเชื่อมต่อผ่านความเข้าใจผิดไง มันเชื่อมกัน จริงๆมันได้เชื่อมไหม มันไม่ได้เชื่อม
--ก็เมื่อวานกับวันนี้มันก็เชื่อมกัน ตกลงมันเชื่อมไหม ก็งงงงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ งัย ทำนองนี้
--คนละตัวกันตั้งนานแล้ว แต่เราเข้าใจผิดว่ามันเชื่อม มันก็เลยไปเชื่อมกัน ตกลงมันเชื่อมกันไม๊
--วัฏฏะสงสาร มันก็เลยสร้างขึ้นมาจากอวิชชานั่นเอง เกิดจากความเห็นผิดนะครับ ทำนองนี้
--เห็นถูกแล้วก็ไม่มีอะไรพอจะเชื่อมอะไรได้ แต่ความเห็นผิดเนี่ยมันเชื่อม เห็นตรงถูกต้องมันก็ไม่มีอะไร
--ท่านภิกษุชื่อว่า สาติสสะ เนี่ย เกวัฏฏบุตร บุตรของชาวประมง เนี่ยก็ฟังธรรมะเยอะพอสมควรทีเดียวท่านก็เลยบอกว่าได้รู้ทั่วถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว รู้ว่าตัวที่เที่ยววนเวียนไป ก็คือ วิญญานเท่านั้น ไม่ใช่อันอื่น น้าอย่างนี้นะครับ ทำนองนี้
-- แต่อันที่จริงวัฏฏะสงสารหรือการวนไปเนี่ย ที่ว่ามันมีเนี่ย มันก็เป็นการหมุนเวียนไปของ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ เท่านั้นเอง
--และที่ขันธ์ ธาตุ อายตนะ มันหมุนวนเชื่อม โยงไปได้ก็เพราะมันมีอวิชชา เท่านี้แหละ
--ที่จริงอวิชชาก็ไม่ได้ไปไหน มันก็เกิดดับเหมือนเดิม มันเชื่อมกัน ไปตามเหตุเงื่อนไขเท่านั้นเอง น่า ทำนองนี้นะครับ
--สรุปแล้วก็ไม่มีอันไหนมีจริงนะ ทุกอย่างมันก็มีตามเงื่อนไข
--แม้แต่ กิเลส แม้แต่ อวิชชา มันก็มี ก็เพราะมันมีเงื่อนไข เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นเฉยๆ
--แม้แต่ อวิชชา ก็ไม่มีตัวตนด้วยนะ ไม่มีจริงๆด้วย ก็มีเพราะมีเงื่อนไขก็คือยังไม่มีมรรคเท่านั้นเอง เท่านั้นแหละ
--ถ้ามีมรรคเกิดขึ้น ก็ อวิชชา ก็ไม่มี จบ
--ตกลงพวกเราจะไปไหนต่อพวกเรานี่ จบมันก็มีเท่านี้เองนะ จริงๆมันก็มีเท่านี้ แต่ว่าที่มันไม่เท่านี้เพราะมันเข้าใจผิดแล้วมันหลง มันก็เลยไปเรื่อยเลย
--น่าทำนองนี้
--ภิกษุองค์นี้ท่านก็หลงเหมือนกัน ศึกษามาเยอะพอสมควรทีเดียว แต่หลงว่าตัวที่ท่องเที่ยวไป คือ วิญญาน
--ภิกษุทั้งหลายทราบเรื่องว่าท่านมีความเห็นผิดดังนี้ เพราะว่ายุคเก่านี่ถ้าภิกษุเห็นผิดนี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะ
--เนื่องจากว่าถ้าเกิดว่าไม่รีบแก้ไขไม่รีบไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าไม่รีบไปช่วยท่านไปแก้ความเห็นผิดเนี่ย บางทีพอท่าน แสดงความเห็นผิดอย่างนี้เรื่อยๆแล้วมีคนเชื่อ ก็จะเป็นปัญหาใหญ่สอนยาก ยุคเก่าเขารีบสอนเพราะว่า ตอนนี้ยังไม่มีพวก เห็นผิดอยู่คนเดียว พอรู้ว่าใครเห็นผิดเขาก็รีบไปแก้
--เพราะว่าถ้ารอไปนานเดี๋ยวมีพวก แก้ยากเดี๋ยวเอาพวกมาแบบเป็นประท้วงอีกอะไรอีกมันลำบาก
--ยุคเก่าเขาเลยมีวิธีว่า ถ้าเห็นผิดปุ๊บนี่เขาจะต้องรีบแก้ไปเลย ถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องรีบไปหาพระพุทธเจ้าแล้วรีบแก้เพราะว่าถ้าปล่อยไว้นานพวกจะเยอะไง
--พวกเยอะแล้วแก้ยากยุคเก่า เขาจะใช้วิธีพวกนั้น ทำนองนี้นะครับ
--ส่วนยุคนี้ใครเห็นผิดเล็กๆน้อยๆเขาไม่ค่อยแก้ เขารอพวกเยอะก่อน พอพวกเยอะแล้วมันแก้ไม่ได้แล้วเพราะว่าเขามีพวกเยอะแล้ว พอไปแก้เขา พวกเขาก็ด่าเอาจบ เลยไม่ได้มีอะไร
--ส่วนยุคเก่าเขาใช้อีกวิธีนึง ก็คือ พอใครเห็นผิดปุ๊บ ก็รีบไปหาเลย เพราะไม่มีพวกเห็นผิดอยู่คนเดียว ก็ต้องรีบไปหา
--ถ้าพวกเรายังแก้ไม่ได้ก็ต้องไปหาพระพุทธเจ้าช่วยอย่างงี้ เห็นทำนองนี้
--ฉนั้น ถ้าเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากคำสอนเล็กๆน้อยๆ ยุคเก่าท่านจะรีบแก้ไขกันนะ ตามพระสูตรทั่วไปนะครับ