สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
โอเค อ่านล่ะ พี่ขอแนะนำในมุมของผู้หญิงด้วยกันนะ (พี่อายุเลข 4 มีปั๋วล่ะนะ และ คสพ พี่กับปั๋วเป็นแบบ healthy สุดๆ เลยจะขอแนะนำในมุมมองที่คาดหวังว่าควรจะเป็นอะนะ...)
1.เป็นแฟนกัน มันจะมีเรื่องแบบนี้มาทดสอบเป็นระยะแหล่ะ เรื่องที่ลำบากใจที่จะคุยด้วย ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ยิ่งคบกันนานยิ่งเจอเรื่อยๆ แต่คือถ้าคิดจะคบจนถึงแต่งงาน เรื่องพวกนี้มันเลี่ยงไม่ได้ ไงก็ต้องเจอล่ะนะ
2.การย้ายไปอยู่ด้วยกัน มันควรเป็นช่วงเวลาที่ ผญ เรารับผิดชอบตัวเองได้แล้ว คือมีงานการทำ มีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ยังขอเงินพ่อแม่อยู่อะนะ การย้ายไปอยู่ด้วยกันตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง น้องต้องมีจุดยืนให้ตนเองก่อนว่า "จนกว่าจะเรียนจบและมีงานทำ มีรายได้ พึ่งพาตนเองได้" นั่นถึงเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว จึงสามารถตัดสินใจอะไรได้โดยไม่ได้รู้สึกผิด หรือรู้สึกแย่ตามมา...
3.อันนี้แนะนำในฐานะผู้หญิงด้วยกันเลย (แบบย้ำๆๆว่าต้องทำคือ ) "อะไรที่ยอมไม่ได้ ก็ต้องยืนกรานว่าไม่ได้" อย่าให้ความใจอ่อนกลัวเขาไม่รักมาบีบให้เราต้องใจอ่อนจนยอม เพราะถ้าใจอ่อน น้องอาจจะเห็นเขาดีใจ แต่ตัวน้องจะรู้สึกแย่ อย่าให้การตัดสินใจใดๆที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ เพราะความสัมพันธ์มันจะพัฒนาต่อไปก็จริงแต่มันจะเปลี่ยนเป็น toxic relationship แทน "และเคสนี้พี่ก็เห็นควรว่าไม่ควรยอม เพราะน้องเสียหายกว่าผู้ชายมากค่ะ" เคสนี้เรา ผู้หญิง ต้องรักษาจุดยืนของเรานะ ไม่ว่าผู้ชายจะกดดันด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
4.ส่วนแนวทางการพูด ให้น้อง จขกท เปืดใจคุยกับแฟนเรื่องนี้ไปเลย อาจเปิดเรื่องไปว่า "เธอ ขอโทษนะ แต่เรื่องนี้เรามาคิดดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากอยู่ด้วยกัน แต่เรารู้สึกไม่สบายใจถ้าเราจะย้ายมาอยู่ด้วยกันตอนนี้ เราอยากเรียนให้จบก่อน แล้วมีงานทำ มีรายได้ พึ่งพาตนเอง ตอนนั้นเราจะรู้สึกว่า เราคือผู้ใหญ่ที่เรารับผิดชอบตนเองได้แล้ว เราถึงจะสบายใจที่จะไปอยู่ด้วยกันจริงๆ "
5.เมื่อน้องประกาศจุดยืนของตัวเองแล้ว (และไม่ควรถอยด้วย) ที่เหลือเป็นเรื่องของผู้ชายที่จะจัดการกับความรู้สึกของเขาเอง แน่นอนว่าเขา failed แน่ แต่อย่าลืมว่า สิ่งที่เขาเสียหาย คือโอกาสการได้นอนกอดแฟนฟรีๆ และอาจมีเรื่อง พสพ ฟรีๆ ซึ่งเรื่องพรรค์นี้ คนรักกันมันควรรอกันได้ เขาไม่ควรหาข้ออ้างอื่นเพื่อจะได้ซึ่งโอกาสที่จะได้ทำเรื่องพวกนี้นะ มันเทียบกับเหตุผลของน้องที่เป็นผู้หญิงไม่ได้เลย
6.เป็น ผญ. อย่าไปยึดติดว่า ฉันขาดเขาไม่ได้ ฉันจึงไม่กล้าปฏิเสธ คนรักกันที่จะคบถึงขนาดแต่งงาน มันต้องเคารพในการตัดสินใจซึ่งกันและกันนะ ในเมื่อน้องยืนกรานและน้องมีเหตุผลที่ดี พี่ว่า ผช ควรเข้าใจตรงนี้และรออีกระยะ แต่ถ้าเขาจะรอไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ก็ต้องทำใจไว้ระดับนึงแหล่ะ ว่าเราก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้ และเราก็เคารพในการตัดสินใจของเขา แต่ก็นะ อะไรจะเกิดก็เกิด ก็ลองคุยดูก่อน ได้ไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที...
อันนี้เป็นแนวทางที่เรียกว่า "การรักตัวเอง" ที่ผู้หญิงทุกคนต้องมีนะ มันจะเซฟตัวน้อง เซฟความรู้สึกของน้อง ไม่ว่าผลสุดท้ายอะไรจะเกิดขึ้น ..แต่เมื่อเวลาผ่านไป น้องจะรู้สึกได้และไม่เสียใจที่ยึดหลักการนี้ค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีจากผู้หญิงด้วยกันจร้าาา~
1.เป็นแฟนกัน มันจะมีเรื่องแบบนี้มาทดสอบเป็นระยะแหล่ะ เรื่องที่ลำบากใจที่จะคุยด้วย ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ยิ่งคบกันนานยิ่งเจอเรื่อยๆ แต่คือถ้าคิดจะคบจนถึงแต่งงาน เรื่องพวกนี้มันเลี่ยงไม่ได้ ไงก็ต้องเจอล่ะนะ
2.การย้ายไปอยู่ด้วยกัน มันควรเป็นช่วงเวลาที่ ผญ เรารับผิดชอบตัวเองได้แล้ว คือมีงานการทำ มีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ยังขอเงินพ่อแม่อยู่อะนะ การย้ายไปอยู่ด้วยกันตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง น้องต้องมีจุดยืนให้ตนเองก่อนว่า "จนกว่าจะเรียนจบและมีงานทำ มีรายได้ พึ่งพาตนเองได้" นั่นถึงเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว จึงสามารถตัดสินใจอะไรได้โดยไม่ได้รู้สึกผิด หรือรู้สึกแย่ตามมา...
3.อันนี้แนะนำในฐานะผู้หญิงด้วยกันเลย (แบบย้ำๆๆว่าต้องทำคือ ) "อะไรที่ยอมไม่ได้ ก็ต้องยืนกรานว่าไม่ได้" อย่าให้ความใจอ่อนกลัวเขาไม่รักมาบีบให้เราต้องใจอ่อนจนยอม เพราะถ้าใจอ่อน น้องอาจจะเห็นเขาดีใจ แต่ตัวน้องจะรู้สึกแย่ อย่าให้การตัดสินใจใดๆที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ เพราะความสัมพันธ์มันจะพัฒนาต่อไปก็จริงแต่มันจะเปลี่ยนเป็น toxic relationship แทน "และเคสนี้พี่ก็เห็นควรว่าไม่ควรยอม เพราะน้องเสียหายกว่าผู้ชายมากค่ะ" เคสนี้เรา ผู้หญิง ต้องรักษาจุดยืนของเรานะ ไม่ว่าผู้ชายจะกดดันด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
4.ส่วนแนวทางการพูด ให้น้อง จขกท เปืดใจคุยกับแฟนเรื่องนี้ไปเลย อาจเปิดเรื่องไปว่า "เธอ ขอโทษนะ แต่เรื่องนี้เรามาคิดดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากอยู่ด้วยกัน แต่เรารู้สึกไม่สบายใจถ้าเราจะย้ายมาอยู่ด้วยกันตอนนี้ เราอยากเรียนให้จบก่อน แล้วมีงานทำ มีรายได้ พึ่งพาตนเอง ตอนนั้นเราจะรู้สึกว่า เราคือผู้ใหญ่ที่เรารับผิดชอบตนเองได้แล้ว เราถึงจะสบายใจที่จะไปอยู่ด้วยกันจริงๆ "
5.เมื่อน้องประกาศจุดยืนของตัวเองแล้ว (และไม่ควรถอยด้วย) ที่เหลือเป็นเรื่องของผู้ชายที่จะจัดการกับความรู้สึกของเขาเอง แน่นอนว่าเขา failed แน่ แต่อย่าลืมว่า สิ่งที่เขาเสียหาย คือโอกาสการได้นอนกอดแฟนฟรีๆ และอาจมีเรื่อง พสพ ฟรีๆ ซึ่งเรื่องพรรค์นี้ คนรักกันมันควรรอกันได้ เขาไม่ควรหาข้ออ้างอื่นเพื่อจะได้ซึ่งโอกาสที่จะได้ทำเรื่องพวกนี้นะ มันเทียบกับเหตุผลของน้องที่เป็นผู้หญิงไม่ได้เลย
6.เป็น ผญ. อย่าไปยึดติดว่า ฉันขาดเขาไม่ได้ ฉันจึงไม่กล้าปฏิเสธ คนรักกันที่จะคบถึงขนาดแต่งงาน มันต้องเคารพในการตัดสินใจซึ่งกันและกันนะ ในเมื่อน้องยืนกรานและน้องมีเหตุผลที่ดี พี่ว่า ผช ควรเข้าใจตรงนี้และรออีกระยะ แต่ถ้าเขาจะรอไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ก็ต้องทำใจไว้ระดับนึงแหล่ะ ว่าเราก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้ และเราก็เคารพในการตัดสินใจของเขา แต่ก็นะ อะไรจะเกิดก็เกิด ก็ลองคุยดูก่อน ได้ไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที...
อันนี้เป็นแนวทางที่เรียกว่า "การรักตัวเอง" ที่ผู้หญิงทุกคนต้องมีนะ มันจะเซฟตัวน้อง เซฟความรู้สึกของน้อง ไม่ว่าผลสุดท้ายอะไรจะเกิดขึ้น ..แต่เมื่อเวลาผ่านไป น้องจะรู้สึกได้และไม่เสียใจที่ยึดหลักการนี้ค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีจากผู้หญิงด้วยกันจร้าาา~
แสดงความคิดเห็น
แฟนจะย้ายมาอยู่ด้วยทั้งๆที่เรายังเรียนไม่จบ อยากได้คำแนะนำ เพิ่มเติมจากกระทู้ก่อนหน้านี้ค่ะ
กระทู้นี้จะมาเล่าแบบละเอียดนะคะเพราะรอบก่อนยังไม่ได้เข้าเนื้อเท่าไหร่เผื่อพี่ๆคนไหนยังงงๆว่าปัญหานี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง คือตอนนี้เรากำลังจะเรียนจบค่ะอีก4เดือนและตอนนี้มีแฟนที่อายุห่างกัน4ปี คบกันมา2ปีจะ3ค่ะ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการแบบนี้คือเราก็ได้คุยกันไว้ว่าเรียนจบก็อยากจะลองอยู่ด้วยกันดู เนื่องจากอยากรู้ค่ะว่าไลฟ์สไตล์เข้ากันได้ไหมเพื่อพิจรณาในการคบกันต่อไปในอนาคตค่ะ ช่วงที่คุยกันคือแฟนเราก็ทำงานปกติค่ะ แต่ช่วงต้นปีมานี้เขาก็ได้ลาออกจากงานเนื่องจากความกดดันในที่ทำงานมันสูงเกินจึงทำให้เกิดความเครียดและกดดันมาก ตอนนั้นเขาก็ยังพักอยู่หอของเขาอยู่ค่ะ ก็หางานมาเรื่อยๆ แต่อย่างว่าค่ะเศษฐกิจและยุคสมัยนี้มันหางายค่อนข้างที่จะยากมากจริงๆ จนถึงตอนนี้เขาเลยยังไม่ได้งาน เงินเก็บก็ลดลงมาเรื่อยๆ หนูเลยแนะนำเขาไปว่างั้นก็กลับไปอยู่บ้านดีกว่าไหม เผื่อจะเซฟค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆด้วย เขาจึงตัดสินใจออกจากหอและกลับไปอยู่บ้านค่ะ ก็ไปมาหาสู่กันเดือนละครั้งสองครั้งค่ะ ก็สนิทกับคุณแม่ของแฟนในระดับนึงเลย ท่านก็เอ็ดดูเราเหมือนลูกคนนึงเลยค่ะ แม่เราก็สนิทกับแฟนเราด้วยเนื่องจากไปกินข้าวกับครอบครัวเราบ่อย มีอะไรก็คุยกับแม่ตลอดค่ะ เรื่องนี้ก็ได้ปรึกษาแม่ แม่เราบอกว่าก็ขึ้นอยู่กับเราสองคนแล้วค่ะตอนนี้ (แม่เราค่อนข้างจะเปิดกว่างน่ะค่ะในเรื่องนี้มีไรก็คุยตลอดรับรู้ตลอด) วันนึงอยู่ๆแฟนเราก็พูดขึ้นมาว่าหรือจะย้ายไปอยู่ด้วยกันเลยดีไหม ตัวเรานึกว่าเขาจะพูดเล่นๆก็เลยตอบไปว่า ก็ไม่ติดเท่าไหร่ แบบขำๆน่ะค่ะ พอสักพักเขาก็เริ่มถามเรื่องนี้บ่อยๆจนเรารู้สึกอึดอัดมากค่ะไม่รู้จะพูดยังไงหรือตอบยังไง เราบอกเขาไปตลอดค่ะว่าให้รอก่อนนะ แต่เขากลับประชดเราด้วยคำว่าต้องรออีกนานแค่ไหนตลอดไปเลยไหม แบบนี้ เรารู้สึกไม่โอเคมากๆค่ะ ไม่รู้จริงๆว่าจะต้องจัดการกับปัญหานี้ยังไง คือมันก็รักน่ะค่ะมันเลยดูยากไปหมด ตลอด2ปีพี่แกก็คอยช่วยเหลือในหลายๆเรื่องรับฟังและอยู่ข้างๆเวลาที่เจอปัญหาใหญ่ๆตลอด มันเลยเป็นเรื่องยากมากๆที่จะบอกและอธิบายความในใจเราออกไปให้เขาได้รับรู้ ว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อมจริงๆในการที่จะต้องอยู่ด้วยกันเพราะก็ยอมรับค่ะในใจก็คิดอยู่ว่าตัวเองยังเด็กและต้องใช้ชีวิตเที่ยวเล่นกับเพื่อนอะไรอีกเยอะและเจอผู้คนมากมาย แต่อีกใจเราไม่อยากจะพูดไปเพราะกลัวทำให้เขาผิดหวังในคำพูดของเรา เพราะเรารักเขา พี่ๆทุกคนมองว่ายังไงบ้างหรอคะเรื่องนี้ ตอนนี้เครียดค่ะยอมรับ เพราะตอนนี้เหมือนเรื่องนี้มันเป็นปัญหาหลักๆในชีวิตคู่เลยก็ว่าได้