ชีวิตวัยเยาว์ เรื่องน่าตื่นเต้นที่สุดของฉันคือ การไปเที่ยวทะเล ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
ทั้ง ๆ ที่ก่อนนอนแม่สั่งให้นอนแต่หัวค่ำ เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ออกเดินทาง ไปถึงทะเลช่วงสาย ๆ ได้เล่นน้ำทะเลสองรอบ ในช่วงสาย ๆ และบ่ายคล้อย แล้วตอนเย็นก็เดินทางกลับบ้าน ไม่มีทางหรอกที่พวกเราจะได้พักค้างคืนที่โรงแรมหรือรีสอร์ต
"ค่าเช่ามันแพง"
แม่บอกสั้น ๆ แต่ฉันไม่สนใจหรอก จะค้างหรือไม่ ขอเพียงได้สัมผัสฟองคลื่น ได้ลิ้มรสความเค็มของน้ำทะเลก็เป็นสุขสูงสุดแล้ว
กว่าฉันจะหลับก็คงดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะ ของพี่ ๆ ที่นอนร่วมเตียงกัน
ฉันได้แต่นอนนิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับตัว ด้วยกลัวว่าพี่ ๆ จะตื่น จึงทำได้เพียงปล่อยความคิดล่องลอย ล่วงหน้าไปยังท้องทะเลแสนงาม จนผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
มารู้สึกตัวตื่นก็เพราะแรงสั่นสะเทือนของเตียงที่พี่ ๆ พากันกระวีกระวาดลุกขึ้น จากเสียงปลุกของแม่
ฉันยังง่วงนอนอยู่ ตั้งใจจะงีบต่ออีกสักหน่อย แต่แล้วก็ต้องดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะนึกขึ้นได้ว่า วันนี้จะไปทะเล จึงรีบอาบน้ำแต่งตัว
ฉันสวมชุดว่ายน้ำลายดอกไม้ไว้ข้างใน แล้วจึงสวมชุดไปเที่ยวทับลงไปอีกที พอถึงทะเลจะได้ไม่เสียเวลาเปลี่ยน แค่ถอดชุดไปเที่ยวออกก็พร้อมลงทะเลทันที
ชุดว่ายน้ำลายดอกไม้ของฉันและพี่ ๆ ไม่มีใครเหมือน เพราะแม่เป็นคนตัดเย็บให้ ใช้ผ้าฝ้ายลายดอกธรรมดานี่แหละ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นชุดที่สวยที่สุดในโลก
ไปที่ห้องครัว แม่กำลังยกหม้อข้าวไปใส่ท้ายรถกระบะคันเก่งของพ่อ
แม่เตรียมอาหารไป 3 มื้อ สำหรับพวกเราทุกคน กระติกน้ำแข็งใบใหญ่ใส่น้ำสะอาด ถ้าแอบเปิดฝาดูจะมีหลอดพลาสติกเสียบอยู่เท่ากับจำนวนสมาชิกในครอบครัว แต่ในความเป็นจริง พวกเราจำไม่ได้หรอกว่าหลอดไหนเป็นของใคร ใช้ปนมั่วกันหมด ก็หลอดสีเดียวกันจะแยกความแตกต่างได้อย่างไร
ส่วนกับข้าว เมนูโปรดของพวกเรา หมูทอดกระเทียมพริกไทย ที่แม่ใส่รากผักชีลงไปด้วย เมนูพิเศษแบบนี้จะได้กินเฉพาะเวลาเดินทางเท่านั้น แม่ทอดใส่กล่องใบโต ส่วนอีกกล่องเป็น ไข่เจียวหัวไชโป้ว เนื้อแน่น ๆ แสนอร่อย กินเท่าไหร่ไม่เคยเบื่อ
แม่ให้พวกเรา ขนตะกร้าใส่จานชามช้อน และเสื่อสำหรับรองนั่ง พ่อยกกระเป๋าใส่ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัว เพียงเท่านี้ พวกเราก็พร้อมออกเดินทาง
ฉันหลับตลอดทาง คงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะเสียงตะโกนของพี่ ๆ
"กลิ่นทะเล กลิ่นทะเล"
ยังไม่ถึงทะเลหรอก แค่เข้าเขตจังหวัดติดทะเลเท่านั้นแหละ แต่ฉันก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ชะเง้อมองหาชายหาด เงี่ยหูฟังเสียงคลื่น ไปตลอดทาง
เมื่อรถของพ่อเข้าจอดใต้ร่มสน พวกเราไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าวิ่งลงทะเลกันเลย
"อย่าออกไปไกล ๆ นะ เดี๋ยวจมน้ำ"
เสียงแม่ตะโกนไล่หลังมา เล่นน้ำกันจนหมดแรง. วิ่งขึ้นมาตักข้าวใส่จาน นั่งกินบนเสื่อที่แม่ปูไว้รอท่า
พอกินเสร็จ แม่ยังไม่ให้ไปเล่นน้ำเพราะเพิ่งกินอิ่มท้อง เดี๋ยวจะจุก พวกเราจึงพากันไป สร้างปราสาททรายแข่งกันว่า ของใครจะสูงกว่ากัน
พี่ ๆ ชนะทุกที ฉันไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร ปราสาทของฉันถึงได้ถล่มลงมา แต่ฉันไม่สนใจเหตุผล ขอเพียงแค่ได้เล่นสนุกก็เป็นพอ
จนในที่สุดพี่ ๆ สงสาร จึงมาช่วยกันก่อปราสาททรายด้วยกัน ทรายกองน้อย ๆ ค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
พวกเราวนเวียนไปเล่นน้ำ กินข้าว สร้างปราสาททราย ตัวเกรียมแดด จนแม่ต้องเรียกเข้ามาหลบร่มในยามที่ ดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า
ถึงเวลาบ่ายคล้อย อาหารหมดเกลี้ยง แดดอ่อนแสง แม่เก็บเสื่อและข้าวของ พ่อต้อนพวกเราไปอาบน้ำจืด
กลับมานั่งหน้าแป้น ตัวดำ ที่ท้ายรถกระบะคันเก่งของพ่อ เตรียมเดินทางกลับบ้าน
ฉันมองออกไปที่ปราสาททรายริมชายหาด จริง ๆ แล้วมันเป็นเพียง กองทรายที่ฉันและพี่ ๆ ช่วยกันก่อร่างสร้างขึ้นมา
แต่บัดนี้ถูกคลื่นซัดสาด ทีละน้อย จนมลายหายไปหมดสิ้น กลายเป็นหาดทรายเรียบๆ ดังเดิม ราวกับที่ตรงนั้นไม่เคยมีอะไรทั้งนั้น
ฉันในวัยนั้น นั่งมองด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ก็แค่คลื่นซัดปราสาททรายพังหายไป
แต่ฉันในวัยนี้ รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้งที่นึกถึง
ปราสาททราย เปรียบเหมือนความฝัน ความมุ่งมั่นที่ฉันตั้งใจ ค่อย ๆ สร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ค่อย ๆ สะสม กว่าจะสำเร็จเป็นปราสาทที่ฝันไว้
แต่มาวันหนึ่งปราสาททรายนั้นก็พังทลายลงด้วยอะไรก็ตาม ที่เป็นเหมือนคลื่นซัดสาดทรายเหล่านั้นให้มลายหายไปในพริบตา... แล้วเมื่อไหร่ฉันจะรวบรวมจิตใจ พลังชีวิต สร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อีกเล่า?
...ช่างน่าเศร้าเสียจริง...
เรื่องสั้นวันละเรื่อง : ทะเลและปราสาททราย
ทั้ง ๆ ที่ก่อนนอนแม่สั่งให้นอนแต่หัวค่ำ เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ออกเดินทาง ไปถึงทะเลช่วงสาย ๆ ได้เล่นน้ำทะเลสองรอบ ในช่วงสาย ๆ และบ่ายคล้อย แล้วตอนเย็นก็เดินทางกลับบ้าน ไม่มีทางหรอกที่พวกเราจะได้พักค้างคืนที่โรงแรมหรือรีสอร์ต
"ค่าเช่ามันแพง"
แม่บอกสั้น ๆ แต่ฉันไม่สนใจหรอก จะค้างหรือไม่ ขอเพียงได้สัมผัสฟองคลื่น ได้ลิ้มรสความเค็มของน้ำทะเลก็เป็นสุขสูงสุดแล้ว
กว่าฉันจะหลับก็คงดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะ ของพี่ ๆ ที่นอนร่วมเตียงกัน
ฉันได้แต่นอนนิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับตัว ด้วยกลัวว่าพี่ ๆ จะตื่น จึงทำได้เพียงปล่อยความคิดล่องลอย ล่วงหน้าไปยังท้องทะเลแสนงาม จนผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
มารู้สึกตัวตื่นก็เพราะแรงสั่นสะเทือนของเตียงที่พี่ ๆ พากันกระวีกระวาดลุกขึ้น จากเสียงปลุกของแม่
ฉันยังง่วงนอนอยู่ ตั้งใจจะงีบต่ออีกสักหน่อย แต่แล้วก็ต้องดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะนึกขึ้นได้ว่า วันนี้จะไปทะเล จึงรีบอาบน้ำแต่งตัว
ฉันสวมชุดว่ายน้ำลายดอกไม้ไว้ข้างใน แล้วจึงสวมชุดไปเที่ยวทับลงไปอีกที พอถึงทะเลจะได้ไม่เสียเวลาเปลี่ยน แค่ถอดชุดไปเที่ยวออกก็พร้อมลงทะเลทันที
ชุดว่ายน้ำลายดอกไม้ของฉันและพี่ ๆ ไม่มีใครเหมือน เพราะแม่เป็นคนตัดเย็บให้ ใช้ผ้าฝ้ายลายดอกธรรมดานี่แหละ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นชุดที่สวยที่สุดในโลก
ไปที่ห้องครัว แม่กำลังยกหม้อข้าวไปใส่ท้ายรถกระบะคันเก่งของพ่อ
แม่เตรียมอาหารไป 3 มื้อ สำหรับพวกเราทุกคน กระติกน้ำแข็งใบใหญ่ใส่น้ำสะอาด ถ้าแอบเปิดฝาดูจะมีหลอดพลาสติกเสียบอยู่เท่ากับจำนวนสมาชิกในครอบครัว แต่ในความเป็นจริง พวกเราจำไม่ได้หรอกว่าหลอดไหนเป็นของใคร ใช้ปนมั่วกันหมด ก็หลอดสีเดียวกันจะแยกความแตกต่างได้อย่างไร
ส่วนกับข้าว เมนูโปรดของพวกเรา หมูทอดกระเทียมพริกไทย ที่แม่ใส่รากผักชีลงไปด้วย เมนูพิเศษแบบนี้จะได้กินเฉพาะเวลาเดินทางเท่านั้น แม่ทอดใส่กล่องใบโต ส่วนอีกกล่องเป็น ไข่เจียวหัวไชโป้ว เนื้อแน่น ๆ แสนอร่อย กินเท่าไหร่ไม่เคยเบื่อ
แม่ให้พวกเรา ขนตะกร้าใส่จานชามช้อน และเสื่อสำหรับรองนั่ง พ่อยกกระเป๋าใส่ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัว เพียงเท่านี้ พวกเราก็พร้อมออกเดินทาง
ฉันหลับตลอดทาง คงเป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะเสียงตะโกนของพี่ ๆ
"กลิ่นทะเล กลิ่นทะเล"
ยังไม่ถึงทะเลหรอก แค่เข้าเขตจังหวัดติดทะเลเท่านั้นแหละ แต่ฉันก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ชะเง้อมองหาชายหาด เงี่ยหูฟังเสียงคลื่น ไปตลอดทาง
เมื่อรถของพ่อเข้าจอดใต้ร่มสน พวกเราไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าวิ่งลงทะเลกันเลย
"อย่าออกไปไกล ๆ นะ เดี๋ยวจมน้ำ"
เสียงแม่ตะโกนไล่หลังมา เล่นน้ำกันจนหมดแรง. วิ่งขึ้นมาตักข้าวใส่จาน นั่งกินบนเสื่อที่แม่ปูไว้รอท่า
พอกินเสร็จ แม่ยังไม่ให้ไปเล่นน้ำเพราะเพิ่งกินอิ่มท้อง เดี๋ยวจะจุก พวกเราจึงพากันไป สร้างปราสาททรายแข่งกันว่า ของใครจะสูงกว่ากัน
พี่ ๆ ชนะทุกที ฉันไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร ปราสาทของฉันถึงได้ถล่มลงมา แต่ฉันไม่สนใจเหตุผล ขอเพียงแค่ได้เล่นสนุกก็เป็นพอ
จนในที่สุดพี่ ๆ สงสาร จึงมาช่วยกันก่อปราสาททรายด้วยกัน ทรายกองน้อย ๆ ค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
พวกเราวนเวียนไปเล่นน้ำ กินข้าว สร้างปราสาททราย ตัวเกรียมแดด จนแม่ต้องเรียกเข้ามาหลบร่มในยามที่ ดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า
ถึงเวลาบ่ายคล้อย อาหารหมดเกลี้ยง แดดอ่อนแสง แม่เก็บเสื่อและข้าวของ พ่อต้อนพวกเราไปอาบน้ำจืด
กลับมานั่งหน้าแป้น ตัวดำ ที่ท้ายรถกระบะคันเก่งของพ่อ เตรียมเดินทางกลับบ้าน
ฉันมองออกไปที่ปราสาททรายริมชายหาด จริง ๆ แล้วมันเป็นเพียง กองทรายที่ฉันและพี่ ๆ ช่วยกันก่อร่างสร้างขึ้นมา
แต่บัดนี้ถูกคลื่นซัดสาด ทีละน้อย จนมลายหายไปหมดสิ้น กลายเป็นหาดทรายเรียบๆ ดังเดิม ราวกับที่ตรงนั้นไม่เคยมีอะไรทั้งนั้น
ฉันในวัยนั้น นั่งมองด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ก็แค่คลื่นซัดปราสาททรายพังหายไป
แต่ฉันในวัยนี้ รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้งที่นึกถึง
ปราสาททราย เปรียบเหมือนความฝัน ความมุ่งมั่นที่ฉันตั้งใจ ค่อย ๆ สร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ค่อย ๆ สะสม กว่าจะสำเร็จเป็นปราสาทที่ฝันไว้
แต่มาวันหนึ่งปราสาททรายนั้นก็พังทลายลงด้วยอะไรก็ตาม ที่เป็นเหมือนคลื่นซัดสาดทรายเหล่านั้นให้มลายหายไปในพริบตา... แล้วเมื่อไหร่ฉันจะรวบรวมจิตใจ พลังชีวิต สร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อีกเล่า?
...ช่างน่าเศร้าเสียจริง...