สวัสดีครับผมอยากจะระบายอะไรบางอย่างก่อนที่ผมจะตัดสินใจเด็ดขาดก่อน
ผมรู้สึกว่าถ้าตัวเองพยายามก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้
แต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากพยายาม
ชีวิตในวัยเด็กของผมนั้นค่อนข้างอยู่ดีมีสุขเพราะพ่อค่อนข้างหาเงินเก่ง แต่อยู่มาวันนึงพ่อผมก็ป่วยหนักตามอายุทางบ้านใหญ่ของแกมารับไปดูแล แม่ที่ไม่มีพ่อคอยหาเงินให้ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ได้เรียนหนังสือมา สุดท้ายก็ต้องพาผมกลับบ้านนอกไปอยู่กับครอบครัวฝั่งแม่ ในตอนนั้นผมขอให้แม่พาผมไปลาพ่อก่อนแต่แม่บอกว่าไม่กล้าไปสุดท้ายผมก็ไปโดยยังไม่ได้ลาพ่อ
ช่วงที่อยู่บ้านนอกก็ค่อนข้างลำบาก แม่ที่เป็นแม่บ้านมานานก็ยังติดนิสัยเดิมหางานไม่ได้ ส่วนผมที่อายุ 15 ก็กำลังสับสนกับชีวิต จากเด็กอ้วนที่ไม่กินผักไม่กินเผ็ดก็ค่อยๆปรับตัวแต่ก็ไม่ได้ทำงานเหมือนกัน
และเมื่อที่บ้านมีภาระ 2 คนแบบนี้ลุงของผมที่เป็นเสาหลักก็ไม่พอใจ วันไหนที่แกกินเหล้ามาก็จะด่าทอพวกเรา มีวันนึงเมาหนักบอกว่าสักวันจะฆ่าพวกเราให้ได้ แม่ผมได้ยินก็กอดผมร้องไห้คร่ำครวญบอกว่าเพราะพ่อไม่ทำตามสัญญาหาเงินมาดูแลแม่และผม และในตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดก็คือ"นี้

บ้าอะไรวะ"
แม่ผมที่หมดความอดทนต่อลุงและยายก็ตัดสินใจหาแม่สื่อแต่งงานใหม่กับผู้ชายที่เจอกันไม่ถึงเดือนแล้วก็ย้ายไปอยู่บ้านเค้า ในระหว่างดำเนินเรื่องผมก็โกรธแม่แบบสุดๆจนเดินออกถนนไปหลายกิโล แต่สุดท้ายก็โดนตามกลับบ้าน
แล้วช่วงที่น้ามากลับมาเยี่ยมบ้านก็คุยกับแม่ว่าจะพาผมไปหางานที่สมุทรปราการ และหลังจากย้ายจากผมย้ายมาอยู่ผมสมุทรปราการกับน้า ผมที่เป็นคนไม่เข้าสังคมและยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงหางานได้ยากจน อายุ 16 ปีครึ่ง ผมก็ได้งานจ็อบที่คลังสินค้าแห่งนึง ตอนนั้นผมกดดันมาก มีแต่คนเต็มไปหมด แต่ผมก็ทำงานของผมพักก็กินข้าวถึงเวลาก็ทำงานไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สนใจใคร จนงานหมด และหลังจากนั้น3 เดือนงานก็หมด พอดีกับที่คลังที่ผมทำเป็นเครือร้านสะดวกซื้อและเค้ารับสมัครงานพอดี ผมก็ได้สมัครงานต่อที่นั้น
ตอนทำงานร้านสะดวกซื้อแรกๆมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่มันเป็นงานที่เปลี่ยนคนตลอดอาจจะเพราะงานหนักบ้างย้ายสาขากันบ้าง สุดท้ายผลัดเช้าก็มีแค่ผมหัวหน้ากะแม่ครัว 3 คน ผมที่เป็นทั้งแคชเชียร์และคนเติมของสดตอนเช้าก็รู้สึกว่าเหนื่ิยมากๆแต่เพราะผมกลัวการเปลี่ยนงานเลยยังทำต่อไป จนมาวันนึง เป็นวันที่ลูกค้าเยอะมาก ผมที่เข้างานตั้งแต่ 9 โมง จนบ่าย 2 ก็ยังไม่ได้กินข้าว ในช่วงนั้นพนักงานกะบ่ายก็มาพอดีแต่ยังไม่ออกมาเริ่มงานกัน แล้วคนส่งของก็เข้ามา ผมที่ยุ่งกับแคชเชียร์ก็ตอบกลับส่งๆไป แต่พอหัวหน้ากะมาเปลี่ยนให้ผมไปกินข้าวตอนบ่าย 3 แต่ปัญหาคือผมแจ้งคนส่งของผิดทำให้บางของผิดที่ ผมจึงโดนตำหนิ แต่พอผมเข้าไปหลังร้านผมก็พบว่า พนักงาน 5-6 คนที่หายหัวไปไหนไม่รู้ที่แท้ก็เพิ่งฉลองวันเกิดให้คนที่เพิ่งตำหนิผมมา ในตอนนั้นผมคิดในใจว่า"มีสิทธิ์อะไรมาว่ากูวะ กูต้องรับลูกค้าแถวตั้งยาว แถมขนส่งก็ดันเข้า กดกริ่งกี่ครั้งก็ไม่ออกมากัน พวกมีความสุขอยู่ข้างหลังแต่กูต้องมารับหน้าร้านคนเดียว"ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธนั้นจึงทำให้เป็นครั้งแรกที่ผมทำร้ายตัวเอง"ที่น่าตลกก็คือผมก็ยังโดนตำหนิอีกที่ทำร้ายตัวเองเพราะเค้าคิดว่าผมโกรธเค้าที่ตำหนิผม ทั้งๆที่ผมโกรธจริงๆคือการที่ทุกคนทำอะไรไม่สนผมที่อยู่หน้าร้านคนเดียวเลย
ถึงแม้ผมจะเป็นอย่างงั้นแต่ผมก็ยังคงทำงานที่นั้นต่อไปเพราะกลัวการหางานใหม่ วันแล้ววันเล่า ในระหว่างนั้นผมก็ทะเลาะกับน้าครั้งนึงจนเดินหนีจากบ้านที่บางโฉลงไปถึงบางแก้ว แต่สุดท้ายก็กลับมา และเคยกินยาพาราไปทีเดีนว 30 กว่าเม็ดเพราะหวังว่ามันจะทำให้ผมตาย
แต่น่าเศร้าที่มันทำได้แค่คลื่นไส้อาเจียนลิ้นและจมูกเพี้ยน
ในระหว่างที่มีชีวิตเรื่อยมาผมก็ทำร้ายตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนจนแขนเต็มไปด้วยแผลเป็น ผมรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตช่วงนั้นมาก ทำงานทั้งหนักทั้งกลับบ้านไม่ตรงเวลา โอทีก็ไม่ได้หัวหน้าก็ผลักงานมาให้เราหมด ผมก็บ่นกับน้าทุกวัน น้าก็บอกว่าทนเอาๆ หลังจากที่ผมทำร้ายตัวเองและหนีออกจากบ้านคราวนั้น น้าผมก็ปฏิบัติกับผมดีขึ้น
แต่ผมกับยิ่งอึกอัดใจ ผมใช้ชีวิตทั้งเหนื่อยล้า หวาดกลัว ท้อแท้ อย่างงั้นจนกระทั่งวันนึงยายของผมนั้นเสีย น้าจึงพาผมกลับไปทำพิธีที่บ้านนอก ในตอนนั้นมีแขกมาเต็มบ้านไปหมด ครอบครัวผมต่างก็ทักทายแขกที่มาร่วมงานด้วยความโศกเศร้า
แต่ผมกลับไม่รู้จักใครเลย
ผมก็ช่วยงานจิปาถะต่างๆจนถึงช่วงที่จะปิดฝาโรง ทุกคนต่างก็พากันโดนเบียดเสียดกันไปดูหน้ายายเป็นครั้งสุดท้าย และแน่นอนผมที่เป็นหลานชายแท้ๆของยายก็ต้องเดินไปด้วย
แต่ในตอนนั้นกลับไม่มีใครหลีกทางให้ผม จนฝาโลงถูกปิด ผมได้ยืนดู ลุง แม่ น้า และพี่สาวคนละพ่อ ของผมร้องไห้ข้างโลงศพด้วยความว่างเปล่า ผมที่เป็นหลานชายแท้ๆของยายยังไม่ได้ดูหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเลย ในตอนนั้นผมรู้สึกว่างเปล่าและคิดถึงช่วงเวลาที่มางานศพนี้ตั้งแต่แรก"กูมาทำอะไรที่นี้วะ"ในใจผมคิดแบบนั้น
และหลังจากนั้นทางครอบครัวก็มาขอให้ผมบวชหน้าไฟให้ยายวันนึง ผมก็ตอบตกลง ถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าไม่ได้บังคับก็เถอะ แต่ดูจากสถานการณ์มันก็มีแต่ yes กับ yes เท่านั้นที่ตอบได้
และในช่วงเวลาสุดท้ายการเผาศพ แม่ของผมร้องไห้ราวกับเขื่อนแตกทั้งๆที่ปกติแม่กับยายก็ทะเลาะกันบ้านแทบแตกจนแม่ต้องแต่งงานย้ายบ้าน ในตอนนั้นผมก็คิดหลายอย่าง ถ้าเป็นวันนั้นของแม่ผม ผมจะมีปฏิกิริยายังไง ถ้าแม่ผมจากไป ครอบครัวผมจากไปผมจะเป็นยังไง ผมคิดแล้วคิดอีกก็ได้แต่คิด
หลังจากงานศพเนื่องจากผมกลับบ้านนอกโดยไม่ได้ลา จึงโดนเลิกจ้างโดยปริยาย ผมก็แอบดีใจก็เครียดกับการหางานใหม่
6 เดือนจากนั้นผมก็ได้งานที่คลังสินค้าแห่งนึง งานก็ถือว่าโอเคเบากว่างานเก่ามากกกกก แต่ปัญหาคือสังคมในที่ทำงานนี้สิ วันๆก็พูดถึงแต่เหล้ายาและมุขใต้สะดือ ผมก็หลับหูหลับตาทำไปจนได้เกือบ 2 ปี ก็เกิดทะเลาะกับคนในแผนก ตอนนั้นผมพลาดเองที่ไปวิจารณ์สังคมของพวกเค้าจนมันบานปลาย ผมที่รู้สึกเข้ากับสังคมนี้ไม่ได้อีกต่อไปจึงลาออกและหางานใหม่
คราวนี้ใช้เวลาไม่นาน เป็นงานคลังสินค้า(อีกแล้ว) แต่คราวนี้งานจะหนักหน่อยแต่ก็ไม่เท่าร้านสะดวกซื้อ งานก็โอเค คนก็มีปัญหาบ้างแต่ก็ไม่มีอะไรมาก แต่อยู่มาวันนึงผมก็โดนคอลเซ็นเตอร์กินไปหมดบัญชี แถมยังให้กดสินเชื่อไปด้วย ยังดีที่ไหวตัวทันตอนบัตรสุดท้ายก็ได้หนี้มาหมื่นกว่าเหมือนกัน ผมที่ไม่มีเงินไปทำงานและยังเป็นหนี้ในสำเร็จจุดสูงสุดของความสิ้นหวัง ผมจึงได้ลาออกเพื่อมาหางานที่ได้เงินเยอะกว่าเดิมเพื่อมาใช้หนี้เพราะปกติผมเป็นคนเงินเดือนชนเดือน ผมก็แอบเสียดายงานเดิมนะแต่ทำไงได้ ในตอนนั้นถ้าผมไม่เดินต่อแล้วย้ำอยู่กับที่ผมก็จะจมลงไปเรื่อยๆ
และแล้วก็ถึงงานล่าสุด รปภ ผมโชคดีในจุดที่โครตของโครตสบาย
แต่เป็นจุดของผมคนเดียว ทำให้คนอื่นในทีมก็ออกอาการอิจฉาบ้างไรบ้าง ผมที่เริ่มปล่อยจอยกับชีวิตก็ได้แต่"ช่าง

สิวะ"แล้วสนุกกับความสบายของผม จนกระทั่ง 4 วันที่ผ่านมาผมทะเลาะกับหัวหน้างาน แล้วเค้าพูดสิ่งที่สำหรับผมมันโครตจะแย่ออกมา"คุณมีสิทธิ์อะไรมาไม่พอใจผม รู้ไหมที่ผมล้อเล่นกับคุณก็บุญหัวคุณแค่ไหนแล้ว"สำหรับผมนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรจะพูดกับมนุษย์ด้วยกันเองด้วยซ้ำ
ผมก็ลาออกไปตรงนั้นและว่างงานมา 4 วันแล้ว
ผมมานั้งๆนอนๆคิดดู
ผมรู้สึก ว่างเปล่า ว่างเปล่ามากๆ
ชีวิตนี้ไม่มีเห้อะไรเลย
ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก กับครอบครัวก็สับสน
ผมมีเรื่องที่เสียใจมากมายในชีวิตที่ผมจำได้
แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าเคยมีความสุขก็กับเรื่องอะไรบ้าง
ความรู้สึกดีล่าสุดคือการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนึง พระเอกกับนางเอกหวานกันมาก ถ้าจะตายก็ตายพร้อมกัน
ผมค่อนข้างชอบความโรแมนติกแบบร้อนแรงนั้น
สำหรับมันต้องมากกว่าความรีกของคนทั่วไป มากกว่าความหลงไหลใดๆทั้งสิ้น
แค่ได้จินตนาการความรู้สึกนั้นในร่างกายผมก็รู้สึกกระฉับกระเฉง
แต่ว่า
ของแบบนั้นมันก็มีแค่ในการ์ตูนเท่านั้นแหละ
ผมชื่นชอบความรัก แต่ผมไม่มีศรัทธาในมันตั้งแต่ตอนที่แม่ผมตัดสินใจแต่งงานใหม่เพื่อจะย้ายบ้าน
ผมเป็นคนที่มักจะคิดเรื่องราวในชีวิตอยู่ตลอด
สิ่งที่น่าผิดหวังสำหรับผมที่สุดก็คือแม่
ถ้าถามว่าเกลียดไหม ก็คงไม่ ผมไม่ได้เกลียดแกหรอก ถึงแม้แม่จะเลี้ยงผมว่าด้วยอารมณ์และความเป็นห่วงที่เกินเหตุ ไม่ได้ดั่งใจก็ด่าก็ตี พึงพอใจก็เอ่ยคำชม ผมในตอนนี้ไม่ได้เกลียดแกหรอก
แค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว
ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใครอีกแล้ว
ครอบครัว ที่ทำงาน แม่ค้าพ่อค้าที่ขายของ คนที่เดินผ่านไปมา
หรือแม้แต่ตัวผม
ผมมักรู้สึกว่ามนุษย์เราทำตามใจตัวเองกันมากเกินไป
แต่ที่แย่ก็คือผมก็คือมนุษย์ ผมก็เคยทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินไป
ผมรับไม่ได้
ผมรับไม่ได้สุดๆที่ผมเป็นสิ่งที่ผมเกลียด
จากเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต
ผมเกลียดมนุษย์
ครอบครัว ที่ทำงาน คนที่ไม่เกี่ยวข้อง
หรือแม้แต่ตัว
ผมเกลียดทุกอย่าง
ผมไม่อยากเป็นส่วนนึงของโลกนี้อีกแล้ว
ในช่วงเวลานึงในชีวิตเราต่างก็เคยผิดพลาด
แต่ผมโครตจะเกลียดความผิดพลาด
ผมไม่คิดจะหางานใหม่แล้ว
ผมอยากพอแล้ว
ผมอยากเลิกใช้ชีวิตแล้ว
ผมอยากให้การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่เห็นแก่ตัวที่สุด
ที่ผมเขียนกระทู้นี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไร ผมกำลังร้องไห้แล้วก็พิม ในหัวใจผมมันทั้งว่างเปล่าและสับสน
ขอบคุณที่เสียเวลาอ่าน
เหตุผลที่อยากจะตาย
ผมรู้สึกว่าถ้าตัวเองพยายามก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้
แต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากพยายาม
ชีวิตในวัยเด็กของผมนั้นค่อนข้างอยู่ดีมีสุขเพราะพ่อค่อนข้างหาเงินเก่ง แต่อยู่มาวันนึงพ่อผมก็ป่วยหนักตามอายุทางบ้านใหญ่ของแกมารับไปดูแล แม่ที่ไม่มีพ่อคอยหาเงินให้ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ได้เรียนหนังสือมา สุดท้ายก็ต้องพาผมกลับบ้านนอกไปอยู่กับครอบครัวฝั่งแม่ ในตอนนั้นผมขอให้แม่พาผมไปลาพ่อก่อนแต่แม่บอกว่าไม่กล้าไปสุดท้ายผมก็ไปโดยยังไม่ได้ลาพ่อ
ช่วงที่อยู่บ้านนอกก็ค่อนข้างลำบาก แม่ที่เป็นแม่บ้านมานานก็ยังติดนิสัยเดิมหางานไม่ได้ ส่วนผมที่อายุ 15 ก็กำลังสับสนกับชีวิต จากเด็กอ้วนที่ไม่กินผักไม่กินเผ็ดก็ค่อยๆปรับตัวแต่ก็ไม่ได้ทำงานเหมือนกัน
และเมื่อที่บ้านมีภาระ 2 คนแบบนี้ลุงของผมที่เป็นเสาหลักก็ไม่พอใจ วันไหนที่แกกินเหล้ามาก็จะด่าทอพวกเรา มีวันนึงเมาหนักบอกว่าสักวันจะฆ่าพวกเราให้ได้ แม่ผมได้ยินก็กอดผมร้องไห้คร่ำครวญบอกว่าเพราะพ่อไม่ทำตามสัญญาหาเงินมาดูแลแม่และผม และในตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดก็คือ"นี้
แม่ผมที่หมดความอดทนต่อลุงและยายก็ตัดสินใจหาแม่สื่อแต่งงานใหม่กับผู้ชายที่เจอกันไม่ถึงเดือนแล้วก็ย้ายไปอยู่บ้านเค้า ในระหว่างดำเนินเรื่องผมก็โกรธแม่แบบสุดๆจนเดินออกถนนไปหลายกิโล แต่สุดท้ายก็โดนตามกลับบ้าน
แล้วช่วงที่น้ามากลับมาเยี่ยมบ้านก็คุยกับแม่ว่าจะพาผมไปหางานที่สมุทรปราการ และหลังจากย้ายจากผมย้ายมาอยู่ผมสมุทรปราการกับน้า ผมที่เป็นคนไม่เข้าสังคมและยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงหางานได้ยากจน อายุ 16 ปีครึ่ง ผมก็ได้งานจ็อบที่คลังสินค้าแห่งนึง ตอนนั้นผมกดดันมาก มีแต่คนเต็มไปหมด แต่ผมก็ทำงานของผมพักก็กินข้าวถึงเวลาก็ทำงานไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สนใจใคร จนงานหมด และหลังจากนั้น3 เดือนงานก็หมด พอดีกับที่คลังที่ผมทำเป็นเครือร้านสะดวกซื้อและเค้ารับสมัครงานพอดี ผมก็ได้สมัครงานต่อที่นั้น
ตอนทำงานร้านสะดวกซื้อแรกๆมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่มันเป็นงานที่เปลี่ยนคนตลอดอาจจะเพราะงานหนักบ้างย้ายสาขากันบ้าง สุดท้ายผลัดเช้าก็มีแค่ผมหัวหน้ากะแม่ครัว 3 คน ผมที่เป็นทั้งแคชเชียร์และคนเติมของสดตอนเช้าก็รู้สึกว่าเหนื่ิยมากๆแต่เพราะผมกลัวการเปลี่ยนงานเลยยังทำต่อไป จนมาวันนึง เป็นวันที่ลูกค้าเยอะมาก ผมที่เข้างานตั้งแต่ 9 โมง จนบ่าย 2 ก็ยังไม่ได้กินข้าว ในช่วงนั้นพนักงานกะบ่ายก็มาพอดีแต่ยังไม่ออกมาเริ่มงานกัน แล้วคนส่งของก็เข้ามา ผมที่ยุ่งกับแคชเชียร์ก็ตอบกลับส่งๆไป แต่พอหัวหน้ากะมาเปลี่ยนให้ผมไปกินข้าวตอนบ่าย 3 แต่ปัญหาคือผมแจ้งคนส่งของผิดทำให้บางของผิดที่ ผมจึงโดนตำหนิ แต่พอผมเข้าไปหลังร้านผมก็พบว่า พนักงาน 5-6 คนที่หายหัวไปไหนไม่รู้ที่แท้ก็เพิ่งฉลองวันเกิดให้คนที่เพิ่งตำหนิผมมา ในตอนนั้นผมคิดในใจว่า"มีสิทธิ์อะไรมาว่ากูวะ กูต้องรับลูกค้าแถวตั้งยาว แถมขนส่งก็ดันเข้า กดกริ่งกี่ครั้งก็ไม่ออกมากัน พวกมีความสุขอยู่ข้างหลังแต่กูต้องมารับหน้าร้านคนเดียว"ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธนั้นจึงทำให้เป็นครั้งแรกที่ผมทำร้ายตัวเอง"ที่น่าตลกก็คือผมก็ยังโดนตำหนิอีกที่ทำร้ายตัวเองเพราะเค้าคิดว่าผมโกรธเค้าที่ตำหนิผม ทั้งๆที่ผมโกรธจริงๆคือการที่ทุกคนทำอะไรไม่สนผมที่อยู่หน้าร้านคนเดียวเลย
ถึงแม้ผมจะเป็นอย่างงั้นแต่ผมก็ยังคงทำงานที่นั้นต่อไปเพราะกลัวการหางานใหม่ วันแล้ววันเล่า ในระหว่างนั้นผมก็ทะเลาะกับน้าครั้งนึงจนเดินหนีจากบ้านที่บางโฉลงไปถึงบางแก้ว แต่สุดท้ายก็กลับมา และเคยกินยาพาราไปทีเดีนว 30 กว่าเม็ดเพราะหวังว่ามันจะทำให้ผมตาย
แต่น่าเศร้าที่มันทำได้แค่คลื่นไส้อาเจียนลิ้นและจมูกเพี้ยน
ในระหว่างที่มีชีวิตเรื่อยมาผมก็ทำร้ายตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนจนแขนเต็มไปด้วยแผลเป็น ผมรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตช่วงนั้นมาก ทำงานทั้งหนักทั้งกลับบ้านไม่ตรงเวลา โอทีก็ไม่ได้หัวหน้าก็ผลักงานมาให้เราหมด ผมก็บ่นกับน้าทุกวัน น้าก็บอกว่าทนเอาๆ หลังจากที่ผมทำร้ายตัวเองและหนีออกจากบ้านคราวนั้น น้าผมก็ปฏิบัติกับผมดีขึ้น
แต่ผมกับยิ่งอึกอัดใจ ผมใช้ชีวิตทั้งเหนื่อยล้า หวาดกลัว ท้อแท้ อย่างงั้นจนกระทั่งวันนึงยายของผมนั้นเสีย น้าจึงพาผมกลับไปทำพิธีที่บ้านนอก ในตอนนั้นมีแขกมาเต็มบ้านไปหมด ครอบครัวผมต่างก็ทักทายแขกที่มาร่วมงานด้วยความโศกเศร้า
แต่ผมกลับไม่รู้จักใครเลย
ผมก็ช่วยงานจิปาถะต่างๆจนถึงช่วงที่จะปิดฝาโรง ทุกคนต่างก็พากันโดนเบียดเสียดกันไปดูหน้ายายเป็นครั้งสุดท้าย และแน่นอนผมที่เป็นหลานชายแท้ๆของยายก็ต้องเดินไปด้วย
แต่ในตอนนั้นกลับไม่มีใครหลีกทางให้ผม จนฝาโลงถูกปิด ผมได้ยืนดู ลุง แม่ น้า และพี่สาวคนละพ่อ ของผมร้องไห้ข้างโลงศพด้วยความว่างเปล่า ผมที่เป็นหลานชายแท้ๆของยายยังไม่ได้ดูหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเลย ในตอนนั้นผมรู้สึกว่างเปล่าและคิดถึงช่วงเวลาที่มางานศพนี้ตั้งแต่แรก"กูมาทำอะไรที่นี้วะ"ในใจผมคิดแบบนั้น
และหลังจากนั้นทางครอบครัวก็มาขอให้ผมบวชหน้าไฟให้ยายวันนึง ผมก็ตอบตกลง ถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าไม่ได้บังคับก็เถอะ แต่ดูจากสถานการณ์มันก็มีแต่ yes กับ yes เท่านั้นที่ตอบได้
และในช่วงเวลาสุดท้ายการเผาศพ แม่ของผมร้องไห้ราวกับเขื่อนแตกทั้งๆที่ปกติแม่กับยายก็ทะเลาะกันบ้านแทบแตกจนแม่ต้องแต่งงานย้ายบ้าน ในตอนนั้นผมก็คิดหลายอย่าง ถ้าเป็นวันนั้นของแม่ผม ผมจะมีปฏิกิริยายังไง ถ้าแม่ผมจากไป ครอบครัวผมจากไปผมจะเป็นยังไง ผมคิดแล้วคิดอีกก็ได้แต่คิด
หลังจากงานศพเนื่องจากผมกลับบ้านนอกโดยไม่ได้ลา จึงโดนเลิกจ้างโดยปริยาย ผมก็แอบดีใจก็เครียดกับการหางานใหม่
6 เดือนจากนั้นผมก็ได้งานที่คลังสินค้าแห่งนึง งานก็ถือว่าโอเคเบากว่างานเก่ามากกกกก แต่ปัญหาคือสังคมในที่ทำงานนี้สิ วันๆก็พูดถึงแต่เหล้ายาและมุขใต้สะดือ ผมก็หลับหูหลับตาทำไปจนได้เกือบ 2 ปี ก็เกิดทะเลาะกับคนในแผนก ตอนนั้นผมพลาดเองที่ไปวิจารณ์สังคมของพวกเค้าจนมันบานปลาย ผมที่รู้สึกเข้ากับสังคมนี้ไม่ได้อีกต่อไปจึงลาออกและหางานใหม่
คราวนี้ใช้เวลาไม่นาน เป็นงานคลังสินค้า(อีกแล้ว) แต่คราวนี้งานจะหนักหน่อยแต่ก็ไม่เท่าร้านสะดวกซื้อ งานก็โอเค คนก็มีปัญหาบ้างแต่ก็ไม่มีอะไรมาก แต่อยู่มาวันนึงผมก็โดนคอลเซ็นเตอร์กินไปหมดบัญชี แถมยังให้กดสินเชื่อไปด้วย ยังดีที่ไหวตัวทันตอนบัตรสุดท้ายก็ได้หนี้มาหมื่นกว่าเหมือนกัน ผมที่ไม่มีเงินไปทำงานและยังเป็นหนี้ในสำเร็จจุดสูงสุดของความสิ้นหวัง ผมจึงได้ลาออกเพื่อมาหางานที่ได้เงินเยอะกว่าเดิมเพื่อมาใช้หนี้เพราะปกติผมเป็นคนเงินเดือนชนเดือน ผมก็แอบเสียดายงานเดิมนะแต่ทำไงได้ ในตอนนั้นถ้าผมไม่เดินต่อแล้วย้ำอยู่กับที่ผมก็จะจมลงไปเรื่อยๆ
และแล้วก็ถึงงานล่าสุด รปภ ผมโชคดีในจุดที่โครตของโครตสบาย
แต่เป็นจุดของผมคนเดียว ทำให้คนอื่นในทีมก็ออกอาการอิจฉาบ้างไรบ้าง ผมที่เริ่มปล่อยจอยกับชีวิตก็ได้แต่"ช่าง
ผมก็ลาออกไปตรงนั้นและว่างงานมา 4 วันแล้ว
ผมมานั้งๆนอนๆคิดดู
ผมรู้สึก ว่างเปล่า ว่างเปล่ามากๆ
ชีวิตนี้ไม่มีเห้อะไรเลย
ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก กับครอบครัวก็สับสน
ผมมีเรื่องที่เสียใจมากมายในชีวิตที่ผมจำได้
แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าเคยมีความสุขก็กับเรื่องอะไรบ้าง
ความรู้สึกดีล่าสุดคือการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนึง พระเอกกับนางเอกหวานกันมาก ถ้าจะตายก็ตายพร้อมกัน
ผมค่อนข้างชอบความโรแมนติกแบบร้อนแรงนั้น
สำหรับมันต้องมากกว่าความรีกของคนทั่วไป มากกว่าความหลงไหลใดๆทั้งสิ้น
แค่ได้จินตนาการความรู้สึกนั้นในร่างกายผมก็รู้สึกกระฉับกระเฉง
แต่ว่า
ของแบบนั้นมันก็มีแค่ในการ์ตูนเท่านั้นแหละ
ผมชื่นชอบความรัก แต่ผมไม่มีศรัทธาในมันตั้งแต่ตอนที่แม่ผมตัดสินใจแต่งงานใหม่เพื่อจะย้ายบ้าน
ผมเป็นคนที่มักจะคิดเรื่องราวในชีวิตอยู่ตลอด
สิ่งที่น่าผิดหวังสำหรับผมที่สุดก็คือแม่
ถ้าถามว่าเกลียดไหม ก็คงไม่ ผมไม่ได้เกลียดแกหรอก ถึงแม้แม่จะเลี้ยงผมว่าด้วยอารมณ์และความเป็นห่วงที่เกินเหตุ ไม่ได้ดั่งใจก็ด่าก็ตี พึงพอใจก็เอ่ยคำชม ผมในตอนนี้ไม่ได้เกลียดแกหรอก
แค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว
ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใครอีกแล้ว
ครอบครัว ที่ทำงาน แม่ค้าพ่อค้าที่ขายของ คนที่เดินผ่านไปมา
หรือแม้แต่ตัวผม
ผมมักรู้สึกว่ามนุษย์เราทำตามใจตัวเองกันมากเกินไป
แต่ที่แย่ก็คือผมก็คือมนุษย์ ผมก็เคยทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินไป
ผมรับไม่ได้
ผมรับไม่ได้สุดๆที่ผมเป็นสิ่งที่ผมเกลียด
จากเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต
ผมเกลียดมนุษย์
ครอบครัว ที่ทำงาน คนที่ไม่เกี่ยวข้อง
หรือแม้แต่ตัว
ผมเกลียดทุกอย่าง
ผมไม่อยากเป็นส่วนนึงของโลกนี้อีกแล้ว
ในช่วงเวลานึงในชีวิตเราต่างก็เคยผิดพลาด
แต่ผมโครตจะเกลียดความผิดพลาด
ผมไม่คิดจะหางานใหม่แล้ว
ผมอยากพอแล้ว
ผมอยากเลิกใช้ชีวิตแล้ว
ผมอยากให้การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่เห็นแก่ตัวที่สุด
ที่ผมเขียนกระทู้นี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไร ผมกำลังร้องไห้แล้วก็พิม ในหัวใจผมมันทั้งว่างเปล่าและสับสน
ขอบคุณที่เสียเวลาอ่าน