วิกฤตอุ๋ยร้อยจุด :
ผลงาน ของ ๒ ใน ๔ อดีตผู้ว่า ที่ออก มากังวลว่า นักการเมืองไม่ดี จะทำลาย เศรษฐกิจของไทย ..
โดยปี ๔๙ หม่อมอุ๋ย เป็น รมต. คลัง โดยคณะรัฐประหาร
แล้ว หม่อมอุ๋ย ก็ เสนอชื่อ ธาริษา วัฒนเกส เป็น ผู้ว่าธปท.

เกิด เหตุการณ์อุ๋ยร้อยจุด ...
ทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงไปเกือบ 20% ในวันที่ 19 ธันวาคม 2549
ย้อนไปช่วงก่อนปี 2549 สกุลเงินบาทของเราได้แข็งค่าขึ้นจาก 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมาอยู่ที่ราว 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ก็ มีความคิดอันชาญฉลาด ของ รมต คลัง หม่อมอุ๋ย กะ ธาริษา ผู้ว่า แบ๊งค์ชาติ ( เวลา รบ .รัฐประหาร แบงคชาติกับคลัง จะสามัคคีกันดี มาก ) สองคนนี้ รวมสมอง ที่จะชะลอเงินทุนจากต่างชาติไม่ให้ไหลเข้ามาในประเทศมากเกินไปจนทำให้เงินบาทแข็งเร็วไป ..
หลังจากที่วางแผนกันหลายตลบ ข้อ
สรุปที่ออกมาคือ
มาตรการกันสำรอง 30%
หรือ..
“หัก” 30% ออกมาจากเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเอาไว้ก่อน.. แล้วค่อยคืนให้เมื่อต้องการถอนเงินลงทุนในภายหลัง
..เพื่อไม่ให้มีเงินต่างชาติมาแลกเป็นเงินบาทมากเกินไป ...???
พูดให้เห็นภาพ ..อธิเช่น
มีนักลงทุนคนหนึ่งหอบเงินข้ามน้ำข้ามทะเลมาขึ้นที่ท่าเรือคลองเตยเป็นเงิน 10 ล้านเหรียญเพื่อหวังจะไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (ตอนนั้นตลาดหลักทรัพย์ยังตั้งอยู่แถวๆ คลองเตย)
ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากเรือ จะมีชายคนหนึ่งที่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทยหักเงินจากนักลงทุนคนนั้น 30% หรือเท่ากับ 3 ล้านเหรียญ
ไปเก็บไว้ที่แบงก์ชาติก่อน แล้วค่อยคืนให้ภายหลังเมื่อกลับมาที่ท่าเรือคลองเตยอีกครั้ง
นักลงทุนคนนั้นอาจใจชื้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าจะได้เงินคืนตอนที่เขาหอบเงินกลับบ้าน
แต่เมื่อเขาถามถึงเงื่อนไขเพิ่มเติม พบว่า
เงิน 30% ที่หักไปจะคืนให้เมื่อ
ลงทุนในไทยเกิน 1 ปี
แต่ถ้าเอาเงินกลับประเทศเร็วกว่านั้น จะได้เงินคืนเพียง 2/3 ของเงินจำนวน 30% ที่ฝากไว้ ..
สมมุติ..เงิน 10 ล้านเหรียญที่พกมาจะได้คืน 9 ล้านเหรียญหากลงทุนในไทยไม่เกิน 1 ปี
นี่คือมาตรการกันสำรอง 30% ..??
"

ล้อเล่น หรือป่าว "
แต่ไม่ใช่...
นี่คือสิ่งทีเกิดขึ้นจริงในวันที่ 19 ธันวาคม 2549
ดังนั้นผลก็คือ ..
ทันทีที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการยังไม่ทันเที่ยง.. แรงเทขายมหาศาลก็ถล่มยับเสียจนตลาดหุ้นร่วงไปถึง 10% ในเวลา 11 นาฬิกา 29 นาที
ตลาดหลักทรัพย์ต้องรีบพักการซื้อขายทั้งตลาด ก่อนจะวายวอด..
เพื่อให้นักลงทุนได้ตั้งสติ
เมื่อตลาดเปิดให้ซื้อขายอีกครั้ง
ตลาดหุ้นไทยก็ยังดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง
ต่อเนื่อง.. จนดัชนี SET Index ร่วงไปทำจุดต่ำสุดที่ 587.92 จุด หรือลดลง 19.52%
ทำให้เกือบต้องใช้เซอร์กิตเบรคเกอร์รอบที่สอง
สุดท้าย
ตลาดหลักทรัพย์อยู่รอดได้จนถึงสิ้นวัน อย่างหวุดหวิด..??
โดยปิดที่ 622.14 จุด คิดเป็นการลดลงเกือบ 15% พร้อมกับมูลค่าของ
เงินลงทุนหายไปจากประเทศ
กว่า 8 แสนล้าน ...
แล้ว....พรุ่งนี้ ...
ก็ยังไม่รู้ว่า ถ้าเปิดตลาด..
จะถึงกาลอวสานของ การลุงทุนในไทยหรือไม่ .. ??
เดชะบุญ..
กระทั่งเวลา 20 นาฬิกาของวันเดียวกัน แบงก์ชาติก็ได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ..
เปิดทำการซื้อขายในวันรุ่งขึ้น
หุ้นก็พุ่งตัวขึ้นอย่างแรง ..!!!
ตอบรับข่าวยกเลิกมาตรการสุดหรรษานี้ ...
ใครว่านี่คือเรื่อง โง่ๆ ที่ ท่านผู้เก่งกล้า แสนดี 2 ท่าน ทำ ก็ ว่าไป ..
แต่ ผมสงสัยติดใจ เนื่องบังเอิญ..
๑ ใครมันจะโง่ได้ขนาดนั้น
หรือ แกล้งโง่ สนองประโยชน นาย ..??
๒ ใครไม่เห็น ผมเห็น.ว่า นี่อาจจะเป็นการปั่นหุ้นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในนประวัติศาสตร์ โลก...
คืนนั้นใคร ซื้อหุ้นราคาตกไปเก็บ
ขามคืน คง มีกำไร
จากมูลค่าที่หายไปกว่า 8 แสนล้านกำไร คนที่ซื้อไป น่าจะมากว่า หมื่นล้าน ในคืนเดียว ..
๓ คนที่กล้าซื้อ..ก็ต้องมั่นใจ..
ว่า พรุ่งนี้...หุ้นจะขึ้น..
๔ ก็ บังเอิญ ...ท่านผู้ เก่งกล้า แสนดี 2 คนนี้ ..มาจาก คณะรัฐประหาร..
๕ รัฐประหารแต่ละที..ใช้เงินหลายพันล้าน....
๖ ก็ บังเอิญ...
เรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังรัฐประหารใหม่ ๆ
เสียด้วย...
นี่ละครับ ..เหล่าบรรดา คนเก่งคนดี ที่ น่าไว้ใจกว่านักการเมือง ที่มาจากประชาชน ...
ไม่นับ วิกฤติ ๔๐ นะ
อันนั้น...ก็ เพราะ คนเก่งๆ ดีๆ ในแบงค์ชาตินี่ละ...
อ้อ.. อีกสองคนที่เหลือ...
คนนึ่ง ก็ ถ่ายทอด ตะขาบกันมา.ในรัฐบาล รัฐประหารซ่อนรูป ( ตุลาการประหาร )
อีกคนนึ่ง... ก็ คนของ imf..??
ไอ้ผู้ว่า ปัจจุบัน..นี่ก็ใช่.. อดีตคนของ เวิร์ดแบงค์ เช่นกัน..
คนดีย์....
ฟังแล้ว ขนลุก..
ยิ่งกว่า นักการเมือง...??
ความดื้อรั้น
ความแข็งกระด้าง
ความเห็นแก่ตัว
ความเอาแต่ใจตัวเอง
พวกที่คลั่งไสยศาสตร์ ความเชื่อ และการคัดค้านความจริงทุกรูปแบบ
เมื่อสังคมได้รับรู้ถึงพฤติกรรมมากมาย ที่เปิดเผยออกมา
- อับอาย เสียหน้า ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
- รวมกลุ่มต่อสู้ เพื่อพลิกกลับ อยากยืนในอำนาจ อยากมีบทบาท อยากมีรายได้หลักล้านเหมือนเดิม
การส่งต่อความมีอำนาจจากกลุ่มเหล่านี้ โดยที่พวกเขาไม่มีอำนาจ มีเพียงความสัมพันธ์เก่าเท่านั้น
สร้างลูกหลานเพื่อให้มีความเชื่อเดียวกัน
เกาะเพื่อน เกาะ(อดีต)ลูกน้อง เกาะคนเคยทำงานด้วยกัน เกาะการเมืองสีฟ้า เกาะกระแส
******************************************************************
ประเทศไทยทำงานแบบนี้ ได้ประโยชน์อย่างไร?
ประชาชนต้องอดทนปัญหาเหล่านี้มายาวนาน ได้ประโยชน์อย่างไร?
******************************************************************
1 พฤศจิกายน 2567
ปัญหาการฆ่าตัวตาย กลับมาพุ่งสูงขึ้น
ปัญหาการปิดกิจการ กลับมาอีกครั้ง
ปัญหาการขาดสภาพคล่อง กลับมาอีกครั้ง
หน้าที่การทำลายรัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลพลังประชาชน รัฐบาลเพื่อไทย
ใครได้ประโยชน์?
******************************************************************
อดีตของธนาคารแห่งประเทศไทย
วัฒนธรรมที่มีแต่การขัดแย้ง
วัฒนธรรมที่เอาแต่พวกกู
ไม่ใช่การทำงานที่เป็นรูปธรรม
ไม่มีระเบียบ
ไม่มีจริยธรรม
----> พนักงาน อดีตพนักงาน แยกแยะหน้าที่เพื่อข้าราชการต่อระบบราชการไม่ได้
----> ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถเป็นอิสระจากภาครัฐได้ ต้องใช้จ่ายเงินทั้งหมดดูแลองค์กรเอง ไม่พึ่งพาภาษีประชาชนเลย
******************************************************************
‘อดีตพนักงาน ธปท.’ 416 คน ร่วมลงชื่อจดหมายเปิดผนึก ยกจรรยาบรรณ ‘ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ ต้องไม่เกี่ยวข้องกับ ‘การเมือง' พร้อมเรียกร้อง ‘คณะกรรมการสรรหาฯ’ คัดเลือกฯด้วยความ ‘รอบคอบ-โปร่งใส-เป็นอิสระ’
........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. อดีตพนักงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกจดหมายเปิดผนึก เรื่อง ‘จรรยาบรรณที่พึงมีสำหรับตำแหน่งประธานและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย’ โดยมีเนื้อหาว่า “ตามที่คณะกรรมการสรรหาฯ จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอีก 2 ท่าน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากคณะศิษย์หลวงตามหาบัว กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งรวมถึงอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึง 4 ท่าน ให้คณะกรรมการสรรหาฯ ได้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเข้าดำรงตำแหน่ง เพื่อให้ ธปท. สามารถดำเนินพันธกิจของธนาคารกลางตามที่กำหนดไว้ นั้น
พวกเราในฐานะอดีตพนักงาน ธปท. ขอเรียนยืนยันว่า คณะกรรมการ ธปท. มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางกรอบ และกำหนดนโยบายของ ธปท. โดย ธปท. ถือเป็นหน่วยงานของรัฐในรูปแบบองค์กรที่ต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเงินที่มีเสถียรภาพต่อเนื่องในระยะยาว และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและทั่วถึง
แม้ว่าคณะกรรมการ ธปท. จะไม่มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการเงิน และนโยบายรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินโดยตรง แต่ พ.ร.บ. ธปท. ได้ระบุอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ให้พิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน คณะกรรมการระบบการชำระเงิน และแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่งตั้งแต่ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ ขึ้นไป และที่สำคัญ คือ มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และกำกับดูแลการบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศ
ด้วยบทบาทหน้าที่ของประธานและกรรมการ ธปท. ข้างต้น บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งต้องไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด แต่ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณขั้นสูงสุดที่เป็นข้อบังคับ ธปท. ว่าด้วยจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของกรรมการในคณะกรรมการ ธปท. พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ 4.5 ที่ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ข้อ 4.7 พึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม เป็นกลางทางการเมือง และไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และ ข้อ 4.11 พึงเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำรงตน รักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ ธปท.
พวกเราจึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาด้วยความรอบคอบ รอบด้าน และโปร่งใส อย่างเป็นอิสระ ในการสรรหาประธาน ธปท. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการ ธปท. เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีประวัติและพฤติกรรมที่ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณที่ระบุไว้ เป็นที่ประจักษ์ในสังคมและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีของการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการธนาคาร ผู้บริหาร และพนักงาน ต้องใช้ความพยายาม และความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างสูง เพื่อรักษาอธิปไตยและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของไทยไว้ โดยป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงทางการเมือง
ผู้ว่าการเล้ง ศรีสมวงศ์ ผู้ว่าการคนแรกที่ทำงานเต็มเวลาที่ ธปท. ได้กล่าวในการเข้าร่วมประชุมกรรมการธนาคารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2490 ว่า “ในฐานะที่ ธปท. เป็นนายธนาคารกลาง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและจะดำเนินการอย่างอิสระ ตลอดจนทำหน้าที่ในการเหนี่ยวรั้งรัฐบาลในกิจการที่ธนาคารเห็นว่าจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศเป็นส่วนรวม……”
สำหรับอดีตพนักงาน ธปท. ที่ลงนามจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว มีจำนวน 416 คน ในจำนวนนี้เป็นอดีตผู้บริหาร ธปท. ระดับรองผู้ว่าการ 4 คน ได้แก่ นางทองอุไร ลิ้มปิติ ,นายรณดล นุ่มนนท์ , นางฤชุกร สิริโยธิน และ น.ส.วชิรา อารมย์ดี และอดีตผู้บริหาร ธปท. ระดับผู้ช่วยผู้ว่าการ มีจำนวน 12 คน ได้แก่ นายกฤช ฟลอเล็ต ,นางจันทวรรณ สุจริตกุล ,นางนพมาศ มโนลีหกุล ,นางนวอร เดชสุวรรณ ,นางผุสดี หมู่พยัคฆ์ ,นายเพิ่มสุข สุทธินุ่น ,นายศิริชัย สาครรัตนกุล ,น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ,นางสุภาวดี ปุณศรี ,นางเสาวณี สุวรรณชีพ ,นางอมรา ศรีพยัคฆ์ และนางอรุณศรี ติวะกุล
รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 4 พ.ย.2567 เพื่อลงมติเลือกประธานกรรมการและกรรมการ ธปท. โดยในฝั่งกระทรวงการคลัง มีการเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้คณะกรรมการฯคัดเลือกเป็นดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด ธปท.
ก่อนหน้านี้ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ 227 คน ในจำนวนนี้เป็นอดีตผู้ว่าการ ธปท. 4 คน ได้แก่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล , ดร.ธาริษา วัฒนเกส ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ ดร.วิรไท สันติประภพ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านการครอบงำธนาคารแห่งประเทศไทยโดยกลุ่มการเมือง เมื่อรวมกับอดีตพนักงาน ธปท. 416 คน ที่ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกฯ ทำให้ล่าสุดมีผู้ที่คัดค้านการที่ฝ่ายการเมืองจะเข้าแทรกแซงหรือครอบงำ ธปท. ผ่านการแต่งตั้งประธานบอร์ด ธปท. รวมทั้งสิ้น 643 คน
ธปท. คือ หน่วยงานภาครัฐ .... การเมืองภายใน ธปท. ไม่สร้างผลดีต่อสังคมทุกมิติ .... แยกเรื่องงาน แยกหน้าที่ ไม่ได้ ปัญหาธปท
ผลงาน ของ ๒ ใน ๔ อดีตผู้ว่า ที่ออก มากังวลว่า นักการเมืองไม่ดี จะทำลาย เศรษฐกิจของไทย ..
โดยปี ๔๙ หม่อมอุ๋ย เป็น รมต. คลัง โดยคณะรัฐประหาร
แล้ว หม่อมอุ๋ย ก็ เสนอชื่อ ธาริษา วัฒนเกส เป็น ผู้ว่าธปท.
เกิด เหตุการณ์อุ๋ยร้อยจุด ...
ทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงไปเกือบ 20% ในวันที่ 19 ธันวาคม 2549
ย้อนไปช่วงก่อนปี 2549 สกุลเงินบาทของเราได้แข็งค่าขึ้นจาก 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐมาอยู่ที่ราว 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ก็ มีความคิดอันชาญฉลาด ของ รมต คลัง หม่อมอุ๋ย กะ ธาริษา ผู้ว่า แบ๊งค์ชาติ ( เวลา รบ .รัฐประหาร แบงคชาติกับคลัง จะสามัคคีกันดี มาก ) สองคนนี้ รวมสมอง ที่จะชะลอเงินทุนจากต่างชาติไม่ให้ไหลเข้ามาในประเทศมากเกินไปจนทำให้เงินบาทแข็งเร็วไป ..
หลังจากที่วางแผนกันหลายตลบ ข้อ
สรุปที่ออกมาคือ
มาตรการกันสำรอง 30%
หรือ..
“หัก” 30% ออกมาจากเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเอาไว้ก่อน.. แล้วค่อยคืนให้เมื่อต้องการถอนเงินลงทุนในภายหลัง
..เพื่อไม่ให้มีเงินต่างชาติมาแลกเป็นเงินบาทมากเกินไป ...???
พูดให้เห็นภาพ ..อธิเช่น
มีนักลงทุนคนหนึ่งหอบเงินข้ามน้ำข้ามทะเลมาขึ้นที่ท่าเรือคลองเตยเป็นเงิน 10 ล้านเหรียญเพื่อหวังจะไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (ตอนนั้นตลาดหลักทรัพย์ยังตั้งอยู่แถวๆ คลองเตย)
ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากเรือ จะมีชายคนหนึ่งที่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทยหักเงินจากนักลงทุนคนนั้น 30% หรือเท่ากับ 3 ล้านเหรียญ
ไปเก็บไว้ที่แบงก์ชาติก่อน แล้วค่อยคืนให้ภายหลังเมื่อกลับมาที่ท่าเรือคลองเตยอีกครั้ง
นักลงทุนคนนั้นอาจใจชื้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าจะได้เงินคืนตอนที่เขาหอบเงินกลับบ้าน
แต่เมื่อเขาถามถึงเงื่อนไขเพิ่มเติม พบว่า
เงิน 30% ที่หักไปจะคืนให้เมื่อ
ลงทุนในไทยเกิน 1 ปี
แต่ถ้าเอาเงินกลับประเทศเร็วกว่านั้น จะได้เงินคืนเพียง 2/3 ของเงินจำนวน 30% ที่ฝากไว้ ..
สมมุติ..เงิน 10 ล้านเหรียญที่พกมาจะได้คืน 9 ล้านเหรียญหากลงทุนในไทยไม่เกิน 1 ปี
นี่คือมาตรการกันสำรอง 30% ..??
"
แต่ไม่ใช่...
นี่คือสิ่งทีเกิดขึ้นจริงในวันที่ 19 ธันวาคม 2549
ดังนั้นผลก็คือ ..
ทันทีที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการยังไม่ทันเที่ยง.. แรงเทขายมหาศาลก็ถล่มยับเสียจนตลาดหุ้นร่วงไปถึง 10% ในเวลา 11 นาฬิกา 29 นาที
ตลาดหลักทรัพย์ต้องรีบพักการซื้อขายทั้งตลาด ก่อนจะวายวอด..
เพื่อให้นักลงทุนได้ตั้งสติ
เมื่อตลาดเปิดให้ซื้อขายอีกครั้ง
ตลาดหุ้นไทยก็ยังดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง
ต่อเนื่อง.. จนดัชนี SET Index ร่วงไปทำจุดต่ำสุดที่ 587.92 จุด หรือลดลง 19.52%
ทำให้เกือบต้องใช้เซอร์กิตเบรคเกอร์รอบที่สอง
สุดท้าย
ตลาดหลักทรัพย์อยู่รอดได้จนถึงสิ้นวัน อย่างหวุดหวิด..??
โดยปิดที่ 622.14 จุด คิดเป็นการลดลงเกือบ 15% พร้อมกับมูลค่าของ
เงินลงทุนหายไปจากประเทศ
กว่า 8 แสนล้าน ...
แล้ว....พรุ่งนี้ ...
ก็ยังไม่รู้ว่า ถ้าเปิดตลาด..
จะถึงกาลอวสานของ การลุงทุนในไทยหรือไม่ .. ??
เดชะบุญ..
กระทั่งเวลา 20 นาฬิกาของวันเดียวกัน แบงก์ชาติก็ได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ..
เปิดทำการซื้อขายในวันรุ่งขึ้น
หุ้นก็พุ่งตัวขึ้นอย่างแรง ..!!!
ตอบรับข่าวยกเลิกมาตรการสุดหรรษานี้ ...
ใครว่านี่คือเรื่อง โง่ๆ ที่ ท่านผู้เก่งกล้า แสนดี 2 ท่าน ทำ ก็ ว่าไป ..
แต่ ผมสงสัยติดใจ เนื่องบังเอิญ..
๑ ใครมันจะโง่ได้ขนาดนั้น
หรือ แกล้งโง่ สนองประโยชน นาย ..??
๒ ใครไม่เห็น ผมเห็น.ว่า นี่อาจจะเป็นการปั่นหุ้นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในนประวัติศาสตร์ โลก...
คืนนั้นใคร ซื้อหุ้นราคาตกไปเก็บ
ขามคืน คง มีกำไร
จากมูลค่าที่หายไปกว่า 8 แสนล้านกำไร คนที่ซื้อไป น่าจะมากว่า หมื่นล้าน ในคืนเดียว ..
๓ คนที่กล้าซื้อ..ก็ต้องมั่นใจ..
ว่า พรุ่งนี้...หุ้นจะขึ้น..
๔ ก็ บังเอิญ ...ท่านผู้ เก่งกล้า แสนดี 2 คนนี้ ..มาจาก คณะรัฐประหาร..
๕ รัฐประหารแต่ละที..ใช้เงินหลายพันล้าน....
๖ ก็ บังเอิญ...
เรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังรัฐประหารใหม่ ๆ
เสียด้วย...
นี่ละครับ ..เหล่าบรรดา คนเก่งคนดี ที่ น่าไว้ใจกว่านักการเมือง ที่มาจากประชาชน ...
ไม่นับ วิกฤติ ๔๐ นะ
อันนั้น...ก็ เพราะ คนเก่งๆ ดีๆ ในแบงค์ชาตินี่ละ...
อ้อ.. อีกสองคนที่เหลือ...
คนนึ่ง ก็ ถ่ายทอด ตะขาบกันมา.ในรัฐบาล รัฐประหารซ่อนรูป ( ตุลาการประหาร )
อีกคนนึ่ง... ก็ คนของ imf..??
ไอ้ผู้ว่า ปัจจุบัน..นี่ก็ใช่.. อดีตคนของ เวิร์ดแบงค์ เช่นกัน..
คนดีย์....
ฟังแล้ว ขนลุก..
ยิ่งกว่า นักการเมือง...??
ความดื้อรั้น
ความแข็งกระด้าง
ความเห็นแก่ตัว
ความเอาแต่ใจตัวเอง
พวกที่คลั่งไสยศาสตร์ ความเชื่อ และการคัดค้านความจริงทุกรูปแบบ
เมื่อสังคมได้รับรู้ถึงพฤติกรรมมากมาย ที่เปิดเผยออกมา
- อับอาย เสียหน้า ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
- รวมกลุ่มต่อสู้ เพื่อพลิกกลับ อยากยืนในอำนาจ อยากมีบทบาท อยากมีรายได้หลักล้านเหมือนเดิม
การส่งต่อความมีอำนาจจากกลุ่มเหล่านี้ โดยที่พวกเขาไม่มีอำนาจ มีเพียงความสัมพันธ์เก่าเท่านั้น
สร้างลูกหลานเพื่อให้มีความเชื่อเดียวกัน
เกาะเพื่อน เกาะ(อดีต)ลูกน้อง เกาะคนเคยทำงานด้วยกัน เกาะการเมืองสีฟ้า เกาะกระแส
******************************************************************
ประเทศไทยทำงานแบบนี้ ได้ประโยชน์อย่างไร?
ประชาชนต้องอดทนปัญหาเหล่านี้มายาวนาน ได้ประโยชน์อย่างไร?
******************************************************************
1 พฤศจิกายน 2567
ปัญหาการฆ่าตัวตาย กลับมาพุ่งสูงขึ้น
ปัญหาการปิดกิจการ กลับมาอีกครั้ง
ปัญหาการขาดสภาพคล่อง กลับมาอีกครั้ง
หน้าที่การทำลายรัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลพลังประชาชน รัฐบาลเพื่อไทย
ใครได้ประโยชน์?
******************************************************************
อดีตของธนาคารแห่งประเทศไทย
วัฒนธรรมที่มีแต่การขัดแย้ง
วัฒนธรรมที่เอาแต่พวกกู
ไม่ใช่การทำงานที่เป็นรูปธรรม
ไม่มีระเบียบ
ไม่มีจริยธรรม
----> พนักงาน อดีตพนักงาน แยกแยะหน้าที่เพื่อข้าราชการต่อระบบราชการไม่ได้
----> ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถเป็นอิสระจากภาครัฐได้ ต้องใช้จ่ายเงินทั้งหมดดูแลองค์กรเอง ไม่พึ่งพาภาษีประชาชนเลย
******************************************************************
‘อดีตพนักงาน ธปท.’ 416 คน ร่วมลงชื่อจดหมายเปิดผนึก ยกจรรยาบรรณ ‘ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ’ ต้องไม่เกี่ยวข้องกับ ‘การเมือง' พร้อมเรียกร้อง ‘คณะกรรมการสรรหาฯ’ คัดเลือกฯด้วยความ ‘รอบคอบ-โปร่งใส-เป็นอิสระ’
........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย. อดีตพนักงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกจดหมายเปิดผนึก เรื่อง ‘จรรยาบรรณที่พึงมีสำหรับตำแหน่งประธานและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย’ โดยมีเนื้อหาว่า “ตามที่คณะกรรมการสรรหาฯ จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอีก 2 ท่าน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากคณะศิษย์หลวงตามหาบัว กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งรวมถึงอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึง 4 ท่าน ให้คณะกรรมการสรรหาฯ ได้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเข้าดำรงตำแหน่ง เพื่อให้ ธปท. สามารถดำเนินพันธกิจของธนาคารกลางตามที่กำหนดไว้ นั้น
พวกเราในฐานะอดีตพนักงาน ธปท. ขอเรียนยืนยันว่า คณะกรรมการ ธปท. มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางกรอบ และกำหนดนโยบายของ ธปท. โดย ธปท. ถือเป็นหน่วยงานของรัฐในรูปแบบองค์กรที่ต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเงินที่มีเสถียรภาพต่อเนื่องในระยะยาว และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและทั่วถึง
แม้ว่าคณะกรรมการ ธปท. จะไม่มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการเงิน และนโยบายรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินโดยตรง แต่ พ.ร.บ. ธปท. ได้ระบุอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ให้พิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน คณะกรรมการระบบการชำระเงิน และแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่งตั้งแต่ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ ขึ้นไป และที่สำคัญ คือ มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และกำกับดูแลการบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศ
ด้วยบทบาทหน้าที่ของประธานและกรรมการ ธปท. ข้างต้น บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งต้องไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด แต่ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณขั้นสูงสุดที่เป็นข้อบังคับ ธปท. ว่าด้วยจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของกรรมการในคณะกรรมการ ธปท. พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ 4.5 ที่ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ข้อ 4.7 พึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม เป็นกลางทางการเมือง และไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และ ข้อ 4.11 พึงเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำรงตน รักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ ธปท.
พวกเราจึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาด้วยความรอบคอบ รอบด้าน และโปร่งใส อย่างเป็นอิสระ ในการสรรหาประธาน ธปท. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการ ธปท. เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีประวัติและพฤติกรรมที่ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณที่ระบุไว้ เป็นที่ประจักษ์ในสังคมและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีของการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการธนาคาร ผู้บริหาร และพนักงาน ต้องใช้ความพยายาม และความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างสูง เพื่อรักษาอธิปไตยและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของไทยไว้ โดยป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงทางการเมือง
ผู้ว่าการเล้ง ศรีสมวงศ์ ผู้ว่าการคนแรกที่ทำงานเต็มเวลาที่ ธปท. ได้กล่าวในการเข้าร่วมประชุมกรรมการธนาคารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2490 ว่า “ในฐานะที่ ธปท. เป็นนายธนาคารกลาง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและจะดำเนินการอย่างอิสระ ตลอดจนทำหน้าที่ในการเหนี่ยวรั้งรัฐบาลในกิจการที่ธนาคารเห็นว่าจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศเป็นส่วนรวม……”
สำหรับอดีตพนักงาน ธปท. ที่ลงนามจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว มีจำนวน 416 คน ในจำนวนนี้เป็นอดีตผู้บริหาร ธปท. ระดับรองผู้ว่าการ 4 คน ได้แก่ นางทองอุไร ลิ้มปิติ ,นายรณดล นุ่มนนท์ , นางฤชุกร สิริโยธิน และ น.ส.วชิรา อารมย์ดี และอดีตผู้บริหาร ธปท. ระดับผู้ช่วยผู้ว่าการ มีจำนวน 12 คน ได้แก่ นายกฤช ฟลอเล็ต ,นางจันทวรรณ สุจริตกุล ,นางนพมาศ มโนลีหกุล ,นางนวอร เดชสุวรรณ ,นางผุสดี หมู่พยัคฆ์ ,นายเพิ่มสุข สุทธินุ่น ,นายศิริชัย สาครรัตนกุล ,น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ,นางสุภาวดี ปุณศรี ,นางเสาวณี สุวรรณชีพ ,นางอมรา ศรีพยัคฆ์ และนางอรุณศรี ติวะกุล
รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 4 พ.ย.2567 เพื่อลงมติเลือกประธานกรรมการและกรรมการ ธปท. โดยในฝั่งกระทรวงการคลัง มีการเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้คณะกรรมการฯคัดเลือกเป็นดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด ธปท.
ก่อนหน้านี้ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ 227 คน ในจำนวนนี้เป็นอดีตผู้ว่าการ ธปท. 4 คน ได้แก่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล , ดร.ธาริษา วัฒนเกส ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ ดร.วิรไท สันติประภพ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านการครอบงำธนาคารแห่งประเทศไทยโดยกลุ่มการเมือง เมื่อรวมกับอดีตพนักงาน ธปท. 416 คน ที่ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกฯ ทำให้ล่าสุดมีผู้ที่คัดค้านการที่ฝ่ายการเมืองจะเข้าแทรกแซงหรือครอบงำ ธปท. ผ่านการแต่งตั้งประธานบอร์ด ธปท. รวมทั้งสิ้น 643 คน