4 อดีตผู้ว่าฯธปท.-223 นักวิชาการ แถลงการณ์คัดค้าน‘กลุ่มการเมือง’ครอบงำ‘แบงก์ชาติ’
https://www.isranews.org/article/isranews-news/132985-politics-bot-Chairman-Board-news-news-new.html
4 อดีตผู้ว่าฯธปท.-223 นักวิชาการ 'กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม’ ออกแถลงการณ์คัดค้าน ‘รัฐบาล’ ส่งบุคคลที่ใกล้ชิด ‘ฝ่ายการเมือง’ นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หวั่น ‘นโยบายการเงิน’ ถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมือง สร้างความเสียหายรุนแรงต่อเศรษฐกิจระยะยาว
........................................
จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า คณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีนาย
สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน จะเรียกประชุมคณะกรรมการฯ ในวันที่ 4 พ.ย.2567 เพื่อลงมติเลือกประธานกรรมการและกรรมการ ธปท. โดยในฝั่งกระทรวงการคลัง ได้เสนอชื่อนาย
กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้คณะกรรมการฯคัดเลือกเป็นประธานบอร์ด ธปท. นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค. กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ 227 คน ในจำนวนนี้เป็นอดีตผู้ว่าการ ธปท. 4 คน ได้แก่ ม.ร.ว.
ปรีดิยาธร เทวกุล , ดร.
ธาริษา วัฒนเกส ดร.
ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ ดร.
วิรไท สันติประภพ รวมถึงนาย
วิรัตน์ วัฒนศิริธรรม อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านการครอบงำธนาคารแห่งประเทศไทยโดยกลุ่มการเมือง
โดยแถลงการณ์ฉบับนี้ มีเนื้อหาว่า
ในวันที่ 4 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมเพื่อคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสองท่านในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลได้เสนอชื่อบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมและภาคส่วนต่างๆ ในสังคมมีความกังวลอย่างยิ่งถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมืองซึ่งอาจเน้นเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น เพื่อแสดงผลงานที่รวดเร็วเพราะมีความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจดำรงตำแหน่งได้ไม่ยืนยาวนัก ในขณะที่การเน้นผลระยะสั้นนั้นอาจก่อให้เกิดผลเสียหายรุนแรงต่อเสถียรภาพและการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
การรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจเป็นภารกิจหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งตามหลักสากลธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ อันนำไปสู่ความมั่นคงที่ยั่งยืนในระยะยาว
บทบาทของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยครอบคลุมภารกิจสำคัญหลายด้าน
ได้แก่ การกำกับดูแลการบริหารงานภายในองค์กร การบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ และการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการนโยบายที่สำคัญ เช่น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน หรือคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและต้องการการกำกับดูแลที่โปร่งใสและปราศจากผลประโยชน์ทางการเมือง
หากประธานกรรมการหรือคณะกรรมการใช้อำนาจที่มีตอบสนองผลประโยชน์ระยะสั้นของฝ่ายการเมือง จะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และอาจเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขหรือย้อนกลับได้
นอกจากนี้ หากการครอบงำครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็มีแนวโน้มว่าฝ่ายการเมืองจะใช้วิธีเดียวกันในการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงกลางถึงปลายปีหน้า โดยส่งบุคคลที่มีความสนิทชิดใกล้ทางการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมขอเรียกร้องให้คณะกรรมการคัดเลือกที่กำลังจะทำการพิจารณาในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล โดยไม่ยอมรับแรงกดดันจากการเมือง เพื่อรักษาสถาบันที่สำคัญอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยที่สังคมไทยในอดีตได้ร่วมกันพัฒนาและปกป้องมาอย่างดี
พร้อมกันนี้เราขอเชิญชวนภาคส่วนอื่นในสังคมร่วมแสดงจุดยืนโดยการร่วมลงนามในด้านล่างของแถลงการณ์นี้ เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยให้หลุดพ้นจากผลประโยชน์ระยะสั้นทางการเมืองและสามารถรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รวมทั้งธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาของนานาอารยะประเทศ
สำหรับรายชื่อ 227 นักวิชาการ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ประกอบด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. ,ดร.ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการ ธปท. ,ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. , ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ,ดร.อัจณา ไวความดี อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และอดีตรองผู้ว่าการ ธปท. ,นายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ดร.สมชัย จิตสุชน (ในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับต้นสังกัด) ,รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตรองศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ,รศ.ดร.ดาว มงคลสมัย อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.วณี จีรแพทย์ อดีตคณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ,ศ.สุขุม อัตวาวุฒิชัย อดืตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.ธวัชชัย ยงกิตติกุล อดีตคณบดี คณะพัฒนาเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ,ผศ.ดร.วิศาล บุปผเวส อดีตคณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า
รศ.ดร.นิพิฐ วงศ์ปัญญา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.เกรียงไกร เตชกานนท์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.กัญญา นิธังกร อดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นต้น
สว.หมอเกศ ระทึก! กกต. ถกคุณสมบัติจบนอกวันนี้ ส่งศาลรธน.ชี้ขาดหรือไม่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9484040
สว.หมอเกศกมล ระทึก! กกต. ถก คุณสมบัติจบนอก วันนี้ ชี้ หากพยานหลักฐานเพียงพอ ลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดหรือไม่
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2567 ที่โรงแรมเซนทราไลฟ์ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นาย
อิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามกรณีวุฒิการศึกษาของ พญ.
เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. ว่า ทางกกต.รับเป็นสำนวนและมีการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว
ซึ่งวันนี้ (31 ต.ค.) ได้นำเข้าสู่ที่ประชุมกกต.เพื่อพิจารณาว่า สำนวนที่เสนอมานั้น จากการสืบสวน ไต่สวนมีพยานหลักฐานเป็นอย่างไร มีความเห็นเช่นไร กกต.เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร จำเป็นต้องสืบสวนไต่สวนเพิ่มเติมหรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจลงมติ ขณะนี้ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะกรรมการมี 7 คน และเรื่องเพิ่งจะเข้าที่ประชุมวันนี้
นาย
อิทธิพร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หลังเรื่องเข้าที่ประชุมแล้ว หากที่ประชุมมีมติ ก็จะต้องทำคำวินิจฉัย และทำคำร้องเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอพูดอะไร เพราะยังไม่ผ่านการประชุมพิจารณาของกกต. ซึ่งกระบวนการจะใช้เวลาไม่นาน ยกเว้นว่า กกต.จะเห็นว่า มีบางประเด็นที่อยากให้มีการสืบสวน ไต่สวน หรือหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม อาจจะมีมติให้ไปหาหลักฐานมาก่อน แต่หากเห็นว่า เพียงพอแล้วที่จะชี้ หรือมีมติเรื่องนี้ได้ก็ลงมติได้เลย
คลังคาด ศก.ไทยปีนี้ 2.7% ปี 68 โต 3% รับแรงบวกบริโภคเอกชน-ส่งออก-ท่องเที่ยว-ลงทุน
https://siamrath.co.th/n/577345
คลังเผยเศรษฐกิจไทยปี 67 คาดขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 นำโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกสินค้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 68 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี จากปัจจัยบวก 4 ด้านหลักคือการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ย้ำต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกอย่างใกล้ชิด”
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นาย
พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.2 ถึง 3.2) คงเดิมจากประมาณการครั้งก่อนและนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.9 ต่อปี นำโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี 2567 คาดว่าจะมีจำนวน 36.0 ล้านคน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.6 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.1 ถึง 5.1) เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน แม้จะเผชิญแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจากสถานการณ์อุทกภัย แต่ผลจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐได้ชดเชยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนมากขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.9
(ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.4 ถึง 3.4) เนื่องจากมีสัญญาณฟื้นตัวดีกว่าคาดในไตรมาสที่ 2 และ 3 จากโอกาสของผู้ประกอบการไทยแทนที่สินค้าจีนที่ถูกปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.6 ถึง 2.6) และการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 0.8 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.3 ถึง 1.3) อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าหดตัวที่ร้อยละ -1.9 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -2.4 ถึง -1.4) เนื่องจากการหดตัวของการลงทุนด้านเครื่องจักรเครื่องมือโดยเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์สันดาปที่ลดลง ซึ่งต้องจับตาการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างใกล้ชิด
ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 0.4 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -0.1 ถึง 0.9) ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 10.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP
JJNY : แถลงค้าน‘การเมือง’ครอบงำ‘แบงก์ชาติ’│สว.หมอเกศ ระทึก!│คลังคาด ศก.ไทยปีนี้ 2.7%│เกาหลีเหนือยืนยันทดสอบไอซีบีเอ็ม
https://www.isranews.org/article/isranews-news/132985-politics-bot-Chairman-Board-news-news-new.html
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค. กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ 227 คน ในจำนวนนี้เป็นอดีตผู้ว่าการ ธปท. 4 คน ได้แก่ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล , ดร.ธาริษา วัฒนเกส ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ ดร.วิรไท สันติประภพ รวมถึงนายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านการครอบงำธนาคารแห่งประเทศไทยโดยกลุ่มการเมือง
โดยแถลงการณ์ฉบับนี้ มีเนื้อหาว่า
ในวันที่ 4 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมเพื่อคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสองท่านในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลได้เสนอชื่อบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมและภาคส่วนต่างๆ ในสังคมมีความกังวลอย่างยิ่งถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศถูกครอบงำโดยฝ่ายการเมืองซึ่งอาจเน้นเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น เพื่อแสดงผลงานที่รวดเร็วเพราะมีความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจดำรงตำแหน่งได้ไม่ยืนยาวนัก ในขณะที่การเน้นผลระยะสั้นนั้นอาจก่อให้เกิดผลเสียหายรุนแรงต่อเสถียรภาพและการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
การรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจเป็นภารกิจหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งตามหลักสากลธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ อันนำไปสู่ความมั่นคงที่ยั่งยืนในระยะยาว
บทบาทของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยครอบคลุมภารกิจสำคัญหลายด้าน
ได้แก่ การกำกับดูแลการบริหารงานภายในองค์กร การบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศ และการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการนโยบายที่สำคัญ เช่น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน หรือคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินของประเทศ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและต้องการการกำกับดูแลที่โปร่งใสและปราศจากผลประโยชน์ทางการเมือง
หากประธานกรรมการหรือคณะกรรมการใช้อำนาจที่มีตอบสนองผลประโยชน์ระยะสั้นของฝ่ายการเมือง จะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และอาจเกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขหรือย้อนกลับได้
นอกจากนี้ หากการครอบงำครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็มีแนวโน้มว่าฝ่ายการเมืองจะใช้วิธีเดียวกันในการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงกลางถึงปลายปีหน้า โดยส่งบุคคลที่มีความสนิทชิดใกล้ทางการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมขอเรียกร้องให้คณะกรรมการคัดเลือกที่กำลังจะทำการพิจารณาในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล โดยไม่ยอมรับแรงกดดันจากการเมือง เพื่อรักษาสถาบันที่สำคัญอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยที่สังคมไทยในอดีตได้ร่วมกันพัฒนาและปกป้องมาอย่างดี
พร้อมกันนี้เราขอเชิญชวนภาคส่วนอื่นในสังคมร่วมแสดงจุดยืนโดยการร่วมลงนามในด้านล่างของแถลงการณ์นี้ เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยให้หลุดพ้นจากผลประโยชน์ระยะสั้นทางการเมืองและสามารถรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รวมทั้งธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาของนานาอารยะประเทศ
สำหรับรายชื่อ 227 นักวิชาการ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ประกอบด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. ,ดร.ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการ ธปท. ,ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. , ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ,ดร.อัจณา ไวความดี อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และอดีตรองผู้ว่าการ ธปท. ,นายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ดร.สมชัย จิตสุชน (ในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับต้นสังกัด) ,รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตรองศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ผศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ,รศ.ดร.ดาว มงคลสมัย อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.วณี จีรแพทย์ อดีตคณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ,ศ.สุขุม อัตวาวุฒิชัย อดืตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.ธวัชชัย ยงกิตติกุล อดีตคณบดี คณะพัฒนาเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ,ผศ.ดร.วิศาล บุปผเวส อดีตคณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า
รศ.ดร.นิพิฐ วงศ์ปัญญา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.เกรียงไกร เตชกานนท์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ,รศ.ดร.กัญญา นิธังกร อดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นต้น
สว.หมอเกศ ระทึก! กกต. ถกคุณสมบัติจบนอกวันนี้ ส่งศาลรธน.ชี้ขาดหรือไม่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9484040
สว.หมอเกศกมล ระทึก! กกต. ถก คุณสมบัติจบนอก วันนี้ ชี้ หากพยานหลักฐานเพียงพอ ลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดหรือไม่
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2567 ที่โรงแรมเซนทราไลฟ์ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามกรณีวุฒิการศึกษาของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. ว่า ทางกกต.รับเป็นสำนวนและมีการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว
ซึ่งวันนี้ (31 ต.ค.) ได้นำเข้าสู่ที่ประชุมกกต.เพื่อพิจารณาว่า สำนวนที่เสนอมานั้น จากการสืบสวน ไต่สวนมีพยานหลักฐานเป็นอย่างไร มีความเห็นเช่นไร กกต.เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร จำเป็นต้องสืบสวนไต่สวนเพิ่มเติมหรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจลงมติ ขณะนี้ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะกรรมการมี 7 คน และเรื่องเพิ่งจะเข้าที่ประชุมวันนี้
นายอิทธิพร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หลังเรื่องเข้าที่ประชุมแล้ว หากที่ประชุมมีมติ ก็จะต้องทำคำวินิจฉัย และทำคำร้องเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอพูดอะไร เพราะยังไม่ผ่านการประชุมพิจารณาของกกต. ซึ่งกระบวนการจะใช้เวลาไม่นาน ยกเว้นว่า กกต.จะเห็นว่า มีบางประเด็นที่อยากให้มีการสืบสวน ไต่สวน หรือหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม อาจจะมีมติให้ไปหาหลักฐานมาก่อน แต่หากเห็นว่า เพียงพอแล้วที่จะชี้ หรือมีมติเรื่องนี้ได้ก็ลงมติได้เลย
คลังคาด ศก.ไทยปีนี้ 2.7% ปี 68 โต 3% รับแรงบวกบริโภคเอกชน-ส่งออก-ท่องเที่ยว-ลงทุน
https://siamrath.co.th/n/577345
คลังเผยเศรษฐกิจไทยปี 67 คาดขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 นำโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกสินค้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 68 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี จากปัจจัยบวก 4 ด้านหลักคือการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ย้ำต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกอย่างใกล้ชิด”
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.2 ถึง 3.2) คงเดิมจากประมาณการครั้งก่อนและนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 1.9 ต่อปี นำโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี 2567 คาดว่าจะมีจำนวน 36.0 ล้านคน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.6 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.1 ถึง 5.1) เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน แม้จะเผชิญแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจากสถานการณ์อุทกภัย แต่ผลจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐได้ชดเชยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนมากขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.9
(ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.4 ถึง 3.4) เนื่องจากมีสัญญาณฟื้นตัวดีกว่าคาดในไตรมาสที่ 2 และ 3 จากโอกาสของผู้ประกอบการไทยแทนที่สินค้าจีนที่ถูกปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.6 ถึง 2.6) และการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 0.8 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0.3 ถึง 1.3) อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าหดตัวที่ร้อยละ -1.9 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -2.4 ถึง -1.4) เนื่องจากการหดตัวของการลงทุนด้านเครื่องจักรเครื่องมือโดยเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์สันดาปที่ลดลง ซึ่งต้องจับตาการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างใกล้ชิด
ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 0.4 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -0.1 ถึง 0.9) ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 10.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP