สส.ลุงป้อม อยากเป็น "นายกรัฐมนตรี" | ต้องครอบงำ นักการเมือง ข้าราชการ องค์กรอิสระ อดีตปลัด อดีตตุลาการ เพื่ออำนาจ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
| สส.พรรคพลังประชารัฐ
| หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์
| รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
| อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

**** นาย ของ โอ๋ 
ควบคุมการทำงานของทุกคนภายในพรรคพลังประชารัฐ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ไพบูลย์ นิติตะวัน
| เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
| ประธานคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายของพรรคพลังประชารัฐ



พฤติกรรมของหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค พรรคพลังประชารัฐ
ตำแหน่งของหัวหน้าพรรค คือ สส. พรรคพลังประชารัฐ ต้องการขึ้นเป็น "นายกรัฐมนตรีของไทย"

ใช้อำนาจในทางมิชอบ
ครอบงำ บุคคล เพื่อกระทำการบางอย่างต่อเนื่อง

การยื่นยุบพรรคเพื่อไทย และ แกนนำ 6 พรรคร่วมรัฐบาล 

ที่มากกต.ถกคดียุบพรรค
กรณีดังกล่าวมีผู้ร้องที่ถูกระบุว่า เป็นบุคคลนิรนาม, 
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี, 
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ 
และ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 เป็นผู้ยื่นคำร้อง 

นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็น พยานในคดี
 
 
ศาลรัฐธรรมนูญขีดเส้น 15 วันให้ อสส. ตอบกลับปม“ธีรยุทธ”ร้องยุบพรรคเพื่อไทย
โดยอ้างถึงพฤติการณ์ของ นายทักษิณ ทั้งการที่แกนนำ 6 พรรคร่วมรัฐบาล ไปร่วมประชุมกับ นายทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า  เพื่อพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง  
มีการพูดคุยเสนอชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ แต่วันรุ่งขึ้น พรรคเพื่อไทย ได้เสนอชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ จึงทำให้ถูกมองว่า เกิดจาก นายทักษิณ ครอบงำพรรคเพื่อไทย และ 5 พรรคร่วมรัฐบาล
ขณะที่การให้สัมภาษณ์ของ นายทักษิณ หลายครั้งเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล การชี้นำพรรคเพื่อไทย ในการเลือกพรรคร่วมรัฐบาล การนำวิสัยทัศน์ที่ นายทักษิณ ได้แสดงไว้เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 มาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล 
โดยผู้ร้องเห็นว่า เข้าข่ายขัดมาตรา 29 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ห้ามมิให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการใด อันเป็นการควบคุมครอบงำ หรือ ชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม  
และการที่พรรคเพื่อไทย และ 5 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค กระทำการอันเป็นการควบคุมครอบงำชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมือง ไม่ว่าทางตรง หรือ ทางอ้อม ก็เข้าข่ายขัดมาตรา 28 
ทั้งนี้หากการสอบสวนพบว่า เป็นความผิดก็จะเป็นเหตุให้ นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอต่อ กกต. ให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ตามมาตรา 92 (3) ของกฎหมายเดียวกันได้

สำหรับ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา และ พรรคประชาชาติ 


                                     

                          
...กระบวนการพิจารณายุบพรรคเมือง ในมือของคณะกรรมการที่ นายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งขึ้น ต้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่สามารถขอขยายได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะแล้วเสร็จ  ก่อนจะส่งมาให้นายทะเบียนฯ พิจารณา และส่งให้ “7 อรหันต์ กกต.” พิจารณาตัดสิน ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะจบกระบวนการในชั้น กกต.

ประเด็นที่ต้องลุ้นคือ 7 อรหันต์ กกต. จะมีมติให้ส่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” พิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาล หรือไม่เท่านั้น...  
ดีไม่ดี “ศาลรัฐธรรมนูญ” อาจจะชี้ขาดคำร้องในลักษณะเดียวกัน ของ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ออกมาเสียก่อน โดยที่ กกต.ไม่จำเป็นต้องมีมติในคำร้องดังกล่าวออกมาเลย ก็เป็นไปได้...  
                               ++++++++
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่