Venom: The Last Dance
ถ้าสปีลเบิร์กกำกับหนังฮีโร่ มันก็คงจะออกมาประมาณนี้ เป็นภาคที่ชอบที่สุด
เต็มไปด้วยโมเมนท์มิตรภาพ นี่แหล่ะแอนตี้ฮีโร่ที่โรแมนติกและจริงใจ
1.
เรื่องราวเกิดขึ้นต่อจากภาค 2 หลังจากโค่นคลีตัส คาซาดี้และคาร์เนจไปแล้ว
เอ็ดดี้และเวน่อมต้องไปอยู่ที่แมกซิโกเพื่อหลบหนีกองกำลังพิเศษของรัฐบาล แถมยังโดน “นัล”(Knull)
ลาสบอสผู้ให้กำเนิดเวน่อมจากนอกโลกได้ส่ง “ซิโนเฟจ” (Xenophage)
ซิมไบโอตที่เป็นนักฆ่าเหนือซิทไบโอตทุกตัว มาเก็บน้องเวน่อมอีกด้วย
2.
ชอบการ “ด่ากันอย่างห่วงใย” ของคู่เพื่อนคู่นี้มาก เปิดเรื่องมาด้วยความโบรแมนซ์ของคู่บัดดี้อย่างเอ็ดดี้และเวน่อม
ที่ผ่านการอยู่ด้วยกันมาปีกว่าๆแล้ว เรียนรู้นิสัยใจคอกันมาอย่างดีแล้ว หนังใช้ความเป็น Road movie
เพื่อสร้างโมเมนต์ให้เราผูกพันกับมิตรภาพของทั้งคู่มากขึ้น โดยมี “ครอบครัวคลั่งเอเลี่ยน”
เป็นผงชูให้คู่นี้กลมกล่อม ก่อนจะซาบซึ้งกินใจในตอนท้าย
3.
การปรากฏตัวของตัวร้ายอย่างซิโนเฟจ ก็ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศหนังเอเลี่ยนของสปีลเบิร์กหรือ stranger things
มากกว่าฉากต่อสู้แบบหนังฮีโร่ทั่วๆไป #กำลังคิดว่าถ้าสปีลเบิร์กกำกับหนังฮีโร่ มันก็คงจะออกมาประมาณนี้
มันมีทั้งเรื่องความผูกพัน ความห่วงใยและช่วยเหลือเด็กๆ และระเบิดกองทัพครบ 55555
4.
ชอบการเปรียบที่ว่า “เวน่อมอยากไปเห็นเทพีเสรีภาพสักครั้งในชีวิต”
ไม่ต่างอะไรกับพวกซิมบิโอตอย่างเวน่อมที่เดินทางข้ามดาวหนีกองกำลังของ “นัล”(Knull)
หวังจะมาสร้างชีวิตใหม่ที่อิสระ บนโลกมนุษย์แห่งนี้
5.
และถึงแม้จะเป็นการสั่งลาเวน่อมครั้งสุดท้าย พี่โซนี่แกก็ไม่วายปูอะไรใหม่ๆให้ใช้ในจักรวาลสไปเดอร์แมนขึ้นมาอีกอยู่ดี 555555
อย่างตอนจบของเรื่องมีฉากระหว่างเอนเครดิต 1 ตัว และฉากหลังเครดิตอีก 1 ตัว
(ซึ่งมองว่าดูแค่ตัวแรกก็พอ ตัวที่สองไม่ต้องดูก็ได้เป็นมีผลอะไร 555555)
6.
สรุปนะ ภาคนี้เราไม่มองว่าเป็นหนังแนวฮีโร่เลย เราชอบที่มันมีความเป็นจดหมายรักถึงเอเลี่ยนและเสรีภาพผ่านมิตรภาพของคู่นี้มากกว่า
มันมีตอนจบที่ดีและปูทางไปสู่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
และแน่นอน เราชอบตัวร้ายอย่าง “ซิโนเฟจ”มาก เอเลี่ยนที่กินคนและพ่นเลือดออกมาทางหลังหัว โคตรเท่อ่ะ 55555555
#VenomTheLastDance
แมวตัวนั้นนั่งดูหนังตรงแถวc
[SR] Venom: The Last Dance #รีวิวหนัง เป็นภาคที่ชอบที่สุด ถ้าสปีลเบิร์กกำกับหนังฮีโร่ มันก็คงจะออกมาประมาณนี้
ถ้าสปีลเบิร์กกำกับหนังฮีโร่ มันก็คงจะออกมาประมาณนี้ เป็นภาคที่ชอบที่สุด
เต็มไปด้วยโมเมนท์มิตรภาพ นี่แหล่ะแอนตี้ฮีโร่ที่โรแมนติกและจริงใจ
1.
เรื่องราวเกิดขึ้นต่อจากภาค 2 หลังจากโค่นคลีตัส คาซาดี้และคาร์เนจไปแล้ว
เอ็ดดี้และเวน่อมต้องไปอยู่ที่แมกซิโกเพื่อหลบหนีกองกำลังพิเศษของรัฐบาล แถมยังโดน “นัล”(Knull)
ลาสบอสผู้ให้กำเนิดเวน่อมจากนอกโลกได้ส่ง “ซิโนเฟจ” (Xenophage)
ซิมไบโอตที่เป็นนักฆ่าเหนือซิทไบโอตทุกตัว มาเก็บน้องเวน่อมอีกด้วย
2.
ชอบการ “ด่ากันอย่างห่วงใย” ของคู่เพื่อนคู่นี้มาก เปิดเรื่องมาด้วยความโบรแมนซ์ของคู่บัดดี้อย่างเอ็ดดี้และเวน่อม
ที่ผ่านการอยู่ด้วยกันมาปีกว่าๆแล้ว เรียนรู้นิสัยใจคอกันมาอย่างดีแล้ว หนังใช้ความเป็น Road movie
เพื่อสร้างโมเมนต์ให้เราผูกพันกับมิตรภาพของทั้งคู่มากขึ้น โดยมี “ครอบครัวคลั่งเอเลี่ยน”
เป็นผงชูให้คู่นี้กลมกล่อม ก่อนจะซาบซึ้งกินใจในตอนท้าย
3.
การปรากฏตัวของตัวร้ายอย่างซิโนเฟจ ก็ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศหนังเอเลี่ยนของสปีลเบิร์กหรือ stranger things
มากกว่าฉากต่อสู้แบบหนังฮีโร่ทั่วๆไป #กำลังคิดว่าถ้าสปีลเบิร์กกำกับหนังฮีโร่ มันก็คงจะออกมาประมาณนี้
มันมีทั้งเรื่องความผูกพัน ความห่วงใยและช่วยเหลือเด็กๆ และระเบิดกองทัพครบ 55555
4.
ชอบการเปรียบที่ว่า “เวน่อมอยากไปเห็นเทพีเสรีภาพสักครั้งในชีวิต”
ไม่ต่างอะไรกับพวกซิมบิโอตอย่างเวน่อมที่เดินทางข้ามดาวหนีกองกำลังของ “นัล”(Knull)
หวังจะมาสร้างชีวิตใหม่ที่อิสระ บนโลกมนุษย์แห่งนี้
5.
และถึงแม้จะเป็นการสั่งลาเวน่อมครั้งสุดท้าย พี่โซนี่แกก็ไม่วายปูอะไรใหม่ๆให้ใช้ในจักรวาลสไปเดอร์แมนขึ้นมาอีกอยู่ดี 555555
อย่างตอนจบของเรื่องมีฉากระหว่างเอนเครดิต 1 ตัว และฉากหลังเครดิตอีก 1 ตัว
(ซึ่งมองว่าดูแค่ตัวแรกก็พอ ตัวที่สองไม่ต้องดูก็ได้เป็นมีผลอะไร 555555)
6.
สรุปนะ ภาคนี้เราไม่มองว่าเป็นหนังแนวฮีโร่เลย เราชอบที่มันมีความเป็นจดหมายรักถึงเอเลี่ยนและเสรีภาพผ่านมิตรภาพของคู่นี้มากกว่า
มันมีตอนจบที่ดีและปูทางไปสู่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
และแน่นอน เราชอบตัวร้ายอย่าง “ซิโนเฟจ”มาก เอเลี่ยนที่กินคนและพ่นเลือดออกมาทางหลังหัว โคตรเท่อ่ะ 55555555
#VenomTheLastDance
แมวตัวนั้นนั่งดูหนังตรงแถวc
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้