JJNY : พริษฐ์ชี้ปัญหาพรรคร่วมขาดเอกภาพ│ชี้ปมชั้น 14 วางแผนดีแต่พลาด│ทีดีอาร์ไอห่วง“โลกเดือด”│รัสเซียเมินเจรจานิวเคลียร์

พริษฐ์ ชี้ ปัญหาพรรคร่วมขาดเอกภาพ กระทบงานสภาล่าช้า รอความชัดเจนจากวงดินเนอร์ค่ำนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4856635
 
 
พริษฐ์  ชี้ ปัญหา พรรคร่วมขาดเอกภาพ กระทบงานสภาล่าช้า-หลายนโยบายรัฐบาลไม่แน่นอน จับตา 6 ประเด็น สังคมรอความชัดเจนจากวงดินเนอร์พรรคร่วมค่ำนี้

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค โดยระบุว่า

จับตา “ดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล” คืนนี้ : 6 คำถาม ที่สังคมเฝ้ารอคำตอบที่ชัดเจน

เย็นนี้ หัวหน้าและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลจะมีการรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ท่ามกลางจุดยืนและความเห็นเชิงนโยบายที่แตกต่างกันระหว่างแต่ละพรรค ซึ่งปรากฎให้เห็นชัดขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังจากพรรคภูมิใจไทยโหวตแตกต่างจากพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นเกี่ยวกับร่างแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ที่ ส.ว. ส่งกลับมาที่สภาในวันที่ 9 ต.ค. เราก็ไม่ได้เห็นการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรอีกเลย โดยมีหลายครั้งที่ประธานเลือกปิดประชุมเร็วกว่าปกติ ซึ่งหลายคนวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะความกังวลของรัฐบาลที่ไม่อยากให้มีภาพปรากฎว่าพรรคร่วมรัฐบาลลงมติอย่างไม่เป็นเอกภาพกัน

ความไม่เป็นเอกภาพดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้สภาฯทำงานได้ล่าช้าลงในการพิจารณาวาระและกฎหมายต่างๆที่ค้างอยู่จำนวนมาก แต่ยังทำให้ชะตากรรมของหลายนโยบายของรัฐบาลที่ประชาชนให้ความสำคัญ มีความไม่แน่นอน

ผมเชื่อว่าประชาชนคาดหวังจะได้คำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลหลังดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลคืนนี้ ในอย่างน้อย 6 ประเด็น:

1. รัฐบาลจะเดินหน้าให้มี #รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร. เสร็จทันก่อนเลือกตั้งครั้งหน้า ตามที่เคยได้สัญญาไว้หรือไม่
– จะมีการมอบหมายพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนหรือไม่ ให้ไปหารือกับสมาชิกวุฒิสภาให้สนับสนุนหลักการสำคัญในร่างแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ของสภาผู้แทนราษฎร?
– จะมีการมอบหมายพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนหรือไม่ ให้ไปโน้มน้าวให้ประธานสภาฯเห็นว่าการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. เพื่อลดจำนวนประชามติจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง ไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ?

2. รัฐบาลจะเดินหน้าต่ออย่างไรเรื่องการ #นิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ?
– พรรคเพื่อไทยจะยืนยันหรือไม่ว่าจะเดินหน้าลงมติเห็นชอบกับรายงานของ กมธ. (ที่ ส.ส. จากพรรคเพื่อไทยเป็นประธาน) เนื่องจากเป็นรายงานที่เพียงเสนอทางเลือกเชิงนโยบายต่างๆ โดยไม่ได้ผูกมัด ครม. ให้เลือกทางใดทางหนึ่ง?
– เมื่อผ่านพ้นการพิจารณารายงานไปแล้ว จะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ในนามของ ครม. หรือ ในนามของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เมื่อไหร่ และมีเนื้อหาที่วางแนวทางเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมคดี 112 ไว้อย่างไร

3. รัฐบาลจะเดินหน้าต่ออย่างไรเรื่องนโยบาย #ดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสสอง
– ตกลงรัฐบาลจะเดินหน้าหรือไม่ ในการแจกเงินหมื่นในเฟสสองให้กับคนอีกหลายสิบล้านคนที่ลงทะเบียนแต่ยังไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 14.5 ล้านคนจากเฟสแรก
– หากเดินหน้า งบประมาณที่จะต้องถูกจัดสรรมา จะไปเบียดบังงบประมาณที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากใช้ในการผลักดันโครงการของกระทรวงที่แต่ละพรรครับผิดชอบอยู่หรือไม่?

4. รัฐบาลจะตกลงกันได้หรือไม่ ว่าร่างกฎหมายของใครจะเป็นร่างหลัก โดยเฉพาะ พ.ร.บ. #ขนส่งทางราง ซึ่งจะต้องมีการลงมติกันในสัปดาห์หน้า?
– เราจะเห็นพรรคเพื่อไทยมีความพยายามกดดัน ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นหรือไม่ ให้หันมาโหวตให้ร่างของเพื่อไทยเป็นร่างหลัก (แทนร่างของ ครม.) ทั้งๆที่ร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นร่างที่พรรคประชาชนมองว่ามีกลไกคุ้มครองผู้ใช้บริการและกลไกตรวจสอบน้อยที่สุด รวมถึงมีช่องโหว่ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนมากที่สุด (ติดตามรายละเอียดได้จากการอภิปรายของ ส.ส. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ)

5. รัฐบาลจะหารือกันเรื่องการอำนวยความยุติธรรมในคดี #ตากใบ หรือไม่
– พรรคร่วมรัฐบาลที่มีฐานในพื้นที่ชายแดนใต้ (และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องดังกล่าวใน กมธ. กฎหมาย) จะมีข้อเสนออย่างไรต่อนายกฯในการดำเนินการให้มีการนำตัวจำเลยและผู้ต้องหาทุกคนมาขึ้นศาลให้ทันก่อนอายุความจะหมดลงในอีก 5 วัน?

6. รัฐบาลจะมีความชัดเจนขึ้นหรือไม่ เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินนโยบายที่เคยมีความเห็นต่างกันระหว่างสองพรรคใหญ่สุดในขั้วรัฐบาล (เช่น นโยบายกัญชา / นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร)?

รอดูกันว่าเราจะได้ความชัดเจนเรื่องไหนบ้าง จากดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลในค่ำคืนนี้.

https://www.facebook.com/paritw/posts/pfbid02PnLnoHWxN13iB8iUFdXUAyELim4uUifFw3AhqSwaF3sGBBLjcky5VoRXYiUaiseXl


 
"กูรูไพศาล"ชี้ปมชั้น 14 วางแผนดีแต่พลาด ตรง"กฎหมายวิธีสบัญญัติ" จับตาจุดพีคที่ศาลฎีกาฯ
https://siamrath.co.th/n/574949
 
วันที่ 21 ต.ค.2567 นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า 
 
วาง แผน เตรียม การ กัน อย่าง ดี แต่พลาดตรง ที่นัก ไสยศาสตร์ ไม่สันทัด กฎ หมายวิธีสบัญญัติ
 
อุตส่าห์วางแผนกันอย่างแยบยล ที่กลับมาแล้วไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ถึงขั้นวางกฎกระทรวง ให้การส่ง นักโทษออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ต้องขออนุญาตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และวางมืองานที่ใจกล้าระดับนายบุญทรง ไปเป็นรัฐมนตรียุติธรรม แต่พลาดตรงที่ ขาดความสันทัดใน"กฎหมายวิธีสบัญญัติ" คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยเฉพาะ 2 มาตราคือ
 
~มาตรา 6 ที่ฝ่ายบริหาร จะออกกฎกระทรวงหรือพระราชกฤษฎีกาโดยขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้ และ
~มาตรา 246 ที่บัญญัติบังคับว่า การพักการลงโทษ โดยให้ผู้ต้องขัง ออกไปอยู่นอกเรือนจำนั้น จะต้องขออนุญาตศาลที่ออกหมายขังก่อน และศาลจะอนุญาตได้เฉพาะจำกัดแค่ 4 กรณีเท่านั้น

ปรากฏว่าพอเอาเข้าจริงกรมราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณ ไปยังโรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ขออนุญาตศาล และ โรงพยาบาลตำรวจก็ไม่เคยถูกประกาศให้เป็นเรือนจำดังนั้นการไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจจึงผิดกฎหมาย ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดทางอาญา และการไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งไม่ใช่เรือนจำ จึงไม่ใช่ถูกจำคุก เมื่อไม่ได้ถูกจำคุก จึงไม่ได้รับประโยชน์ ตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ 2567
 
ดังนั้นกรณีนี้ จึงผิดกฎหมายซ้ำซ้อนเข้าไปอีก คือ
 
-หนึ่ง เป็นการฝ่าฝืนไม่บังคับตามหมายขังของศาล คือไม่ขังจำเลยไว้ในเรือนจำ ผิดกฎหมายที่ส่งตัวออกไปโดยไม่ขออนุญาตศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ
 
~2 ไม่สามารถถือว่าถูกจำคุกแล้ว
ดังนั้นจึงต้องรับโทษจำคุกต่อไป 1 ปี ตามคำพิพากษาและพระบรมราชโองการ เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้ และถ้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทราบเมื่อใด กฎหมายบัญญัติบังคับให้ศาลต้องทำการไต่สวนเมื่อนั้น
 
ถ้าความจริงเป็นเช่นนี้ ศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็มีอำนาจออกหมายจับและออกหมายขังอีกครั้งตามคำพิพากษาและพระบรมราชโองการได้
 
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0LqRrBLFptkk5sc7E8nvqac297TniWRxzYBb7d2xcxMrTWnHHnHSR5saZ8CqS6USnl


   
ทีดีอาร์ไอห่วง “โลกเดือด” ทำภัยพิบัติรุนแรง จัดเวทีถกรับมือ 30 ต.ค.นี้.
https://www.prachachat.net/economy/news-1677795

ทีดีอาร์ไอห่วง “โลกเดือด” ทำภัยพิบัติรุนแรง กระทบเศรษฐกิจ-สังคม เตรียมเปิดข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในเวทีวิชาการประจำปี 30 ตุลาคม 2567 นี้

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงปัญหาอุทกภัยในประเทศไทยในปัจจุบันว่า การที่ภัยพิบัติเช่น น้ำท่วมเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้น สาเหตุหนึ่งมาจากการที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นต่อเนื่องจนเข้าข่าย “โลกเดือด” ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยที่ผ่านมาหลายประเทศได้เร่งปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศ และควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนแล้ว
 
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ภาครัฐทั้งส่วนกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ธุรกิจเอกชนและประชาชนไทยยังให้ความสำคัญค่อนข้างน้อยต่อการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีแนวคิดในบางด้านอยู่บ้าง เช่น การจัดการน้ำเพื่อรับมือภัยแล้งและน้ำท่วม แต่ก็แทบยังไม่มียุทธศาสตร์การรับมือกับผลกระทบในด้านอื่น

ดร.สมเกียรติ ระบุว่า โจทย์สำคัญของประเทศจะทำอย่างไรให้ไทยมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสามารถอยู่รอดได้ในยุค “โลกเดือด” ไม่ว่าจะเป็นการปรับภาคเกษตรให้พร้อมรับมือกับวิกฤตภัยแล้งสลับกับน้ำท่วมฉับพลัน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองเพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป การพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าที่แม่นยำ ตลอดจนการพัฒนาระบบการเงินและเครื่องมือประกันภัยที่จะช่วยในการปรับตัวและกระจายความเสี่ยงจากภัยทางธรรมชาติต่างๆ
 
ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า การปรับตัวให้อยู่รอดในยุคโลกเดือดนอกจากต้องมียุทธศาสตร์ที่เหมาะสมแล้วจะต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม โดยมาตรการต่าง ๆ จะต้องคุ้มครองประชาชนในวงกว้าง ไม่มีกลุ่มใดตกหล่น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความสามารถในการปรับตัวต่ำ และต้องไม่สร้างผลกระทบจากการปรับตัวที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้มาตรการที่ช่วยรับมือกับผลกระทบในพื้นหนึ่ง แต่ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงขึ้นในพื้นที่อื่น หรือเพิ่มความเสี่ยงขึ้นในอนาคต
 
ด้วยเหตุผลเหล่านี้การจัดงานสัมมนาวิชาการประจำปีของทีดีอาร์ไอในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ทีดีอาร์ไอครบรอบ 40 ปี จึงให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว โดยทีมนักวิจัยของทีดีอาร์ไอจะนำเสนอทิศทางด้านนโยบายและมาตรการในการเตรียมการปรับประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่มีภูมิคุ้มกันต่อสภาพภูมิอากาศ ภายใต้หัวข้อ “ปรับประเทศไทย … ให้อยู่รอดได้ในยุคโลกเดือด” เพื่อให้ประเทศไทยมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นธรรมต่อประชาชนกลุ่มต่างๆ มากที่สุด
 
ดร.สุเมธ องกิตติกุล รองประธานทีดีอาร์ไอ ระบุว่า หน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น จำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อภัยธรรมชาติ กลุ่มเปราะบางในเมือง และความสามารถในการตั้งรับปรับตัวของเมือง เพื่อนำไปสู่การลดความเสี่ยงของภัยพิบัติที่จะรุนแรงขึ้น ถ้าไม่สามารถปรับตัวให้ตอบโจทย์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ประชาชนและภาคเศรษฐกิจจะประสบปัญหาความยากลำบากในการใช้ชีวิตและทำธุรกิจมากขึ้น
 
ดร.สุเมธ กล่าวว่า หากประเทศไทยยังอยู่แบบนี้ต่อไป โดยไม่มีการปรับเพื่อเปลี่ยนเมืองให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ก็จะส่งผลต่อการบริหารจัดการของภาครัฐ ทำให้ต้นทุนของภาครัฐในการบรรเทาผลกระทบจากเกิดภัยพิบัติสูงขึ้น ประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของประเทศจะต่ำลงเรื่อย ๆ เพราะงบประมาณในส่วนนี้ที่นำไปบรรเทาผลกระทบสามารถนำไปใช้แก้ไขในปัญหาระยะยาว หรือไปพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ได้
ดังนั้นจะเกิดความเสี่ยงและฉุดรั้งเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ แต่หากมีการวางยุทธศาสตร์ แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด และมีประสิทธิภาพก็จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติในอนาคตได้ ซึ่งข้อเสนอแนะทั้งหมดจะถูกนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของทีดีอาร์ไอ หรือ TDRI Annual Public Conference ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่