แจกเงินยังไม่ช่วยเท่าไร เพราะถ้าไม่แก้ที่โครงสร้าง GDP ไทยจะโตต่ำ 2.5% ไปยาวๆ
https://brandinside.asia/government-cash-giveaway-do-not-solve-structural-problems/
KKP Research ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย ปรับการขยายตัวของ GDP จาก 2.6% เป็น 2.8%
การปรับคาดการณ์ดังกล่าวมาจากการฟื้นตัวชั่วคราวทางเศรษฐกิจที่มาจากสองปัจจัยสำคัญคือ มาตรการแจกเงินให้กลุ่มเปราะบาง ส่งผลบวกต่อการเติบโตของการบริโภค และการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคส่งออกในสินค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ขณะที่ปัจจัยลบเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยก็ยังคงอยู่ มีทั้งเรื่องสังคมสูงอายุ หนี้ครัวเรือนระดับสูง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมยังเผชิญปัญหาในการแข่งขัน และภาคการลงทุนชะลอตัวตามภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเพียงชั่วคราวในช่วงไตรมาส 4 ถึงกลางปีหน้า หากไม่มีการผลักดันนโยบายแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม เศรษฐกิจไทยจะกลับมามีแนวโน้มโตต่ำกว่า 2.5% ในระยะยาว
การส่งออก
ปรับตัวดีขึ้นจาก 1.3% เป็น 2.3% การส่งออกขยายตัวดีขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวดีขึ้นจากสินค้าบางประเภทที่เปลี่ยนเส้นทางการค้าจากจีนไปสหรัฐฯ โดยตรง เป็นส่งสินค้าจากจีนผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ และการส่งออกที่เป็นตัวเงิน ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่สินค้าบางตัวยังไม่ปรับตัวดีขึ้น
เงินบาทแข็งค่าเร็วขึ้นอาจกระทบปริมาณการส่งออกของสินค้าบางกลุ่ม เช่น สินค้าเกษตร ส่วนเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงชะลอตัว โดยเฉพาะคู่ค้าสำคัญของไทย ส่วนวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มเติบโตช้าลง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลบวกระยะสั้น
การแจกเงินกลุ่มเปราะบาง 14.2 ล้านคน จำนวน 142,000 ล้านบาท หรือ 0.7% ของ GDP กลุ่มเปราะบางได้รับเงินไปใช้จ่ายต่อ ทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับเงินที่แจกให้ประชาชน
ปีงบประมาณ 2024/25 มีการอนุมัติงบจำนวน 150,000-180,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.8-0.9% ของ GDP สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การนำเงินก้อนนี้ไปใช้ยังไม่ชัดเจน รัฐบาลยืนยันจะใช้เงินก้อนนี้เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet อีก 20 ล้านคนที่ลงทะเบียนก่อนหน้า ทำให้การแจกเงินก้อนสอง จะมีการใช้งานในช่วงไตรมาส 2 – 3 ในปี 2025 และช่วยให้เศรษฐกิจไทยได้ใกล้เคียง 3% ในปี 2025
การประกาศนโยบายของรัฐ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การส่งเสริมและปกป้องผู้ประกอบการจากการแข่งขันต่างประเทศ การให้ความช่วยเหลือด้านราคาพลังงานและสาธารณูปโภค การดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม KKP มองว่า ยังมีความกังวลในการดำเนินนโยบาย เพราะหลายนโยบายไม่มีแผนการดำเนินการชัดเจน
ปัจจุบันหนี้สาธารณะปรับสู่ระดับ 70% ของ GDP เป็นระดับสูงสุดตามกฎหมายกำหนดไว้ ต้องมีขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อเพิ่มระดับเพดานหนี้สาธารณะก่อนแผนการใช้นโยบายขาดดุลการคลังที่มากขึ้นในอนาคต
ท่องเที่ยวฟื้นตัวช้าลง ปีหน้าระดับนักท่องเที่ยวเริ่มชะลอลงเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้ผลบวกต่อ GDP จากการท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เศรษฐกิจไทยควรมีแรงขับเคลื่อนอื่นๆ เช่น ภาคการผลิตเพื่อให้เติบโตใกล้เคียง 3%
ปัญหาเชิงโครงสร้างยังเป็นปัญหาเดิมที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ
ทั้งโครงสร้างประชากร ความสามารถในการแข่งขันต้องเผชิญกับความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ตลอดจนการหดตัวลงของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ขณะที่ภาคการผลิตและภาคเอกชนหดตัวรุนแรงที่ 5.7% ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่คาดไว้ และสถานะทางการเงินของครัวเรือนที่อ่อนแอ
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังต่ำกว่าก่อนโควิด การที่เงินบาทแข็งค่าเร็วมาจากปัจจัยระยะสั้น ดังนี้ การอ่อนค่าลงเร็วของดอลลาร์สหรัฐมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าตลาดคาดของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการปรับตัวดีขึ้นของสถานการณ์ทางการเมืองรวมทั้งการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ช่วยหนุนตลาดหุ้นได้ในระยะสั้น ตลอดจนการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ
•
KKP Research: เศรษฐกิจไทยฟื้นช้า ไม่ใช่เพราะโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่เพราะกำลังถดถอย
ที่มา –
KKP Research
เศรษฐกิจจีนเติบโตช้าลง ภาคอสังหาฯ ยังแย่ แถมหลายประเทศเริ่มใช้มาตรการกีดกันทางการค้า
https://brandinside.asia/china-economy-grows-at-the-slowest-pace/
ไตรมาส 3 GDP ของจีนโตอยู่ที่ 4.6% เติบโตลดลงจากไตรมาส 2 อยู่ที่ 4.7% ถือเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดนับจากไตรมาสแรกของปี 2023
อัตราการเติบโตของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า และยังมองว่าตลอดทั้งปีนี้ จีนน่าจะมีเศรษฐกิจขยายตัวที่ 4.8% ลดลงจากที่คาดไว้ที่ 4.9%
อย่างไรก็ตาม จีนได้ดำเนินมาตรการเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตในช่วงปลายเดือนกันยายน มีทั้งลดอัตราดอกเบี้ย ลดต้นทุนในการจำนอง และขยายมาตรการสนับสนุนทางการเงินให้แก่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น แต่นักวิเคราะห์มองว่ายังไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและครัวเรือน และยังลดแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดด้วย
ภาคการส่งอออก
ปลายเดือนที่ผ่านมาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งความต้องการจากต่างประเทศที่ลดลงและหลายประเทศก็ได้พยายามสร้างกำแพงทางการค้าเพื่อกีดกันสินค้าจากจีนไหลเข้าประเทศด้วย จีนเองก็พยายามจะแก้ปัญหา ด้วยการส่งสัญญาณเตรียมปล่อยมาตรการกระตุ้นทางการคลังในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า
ภาคอุตสาหกรรมถือว่าเติบโตได้ดี เนื่องจากมีอัตราที่ขยายตัวที่ 5.4% เทียบกับปีก่อนหน้า เทียบกับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.5% ส่วนการขายปลีกเติบโตขึ้น 3.2% เพิ่มขึ้นจาก 2.1% ของเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งมาจากการใช้นโยบายสนับสนุนการค้าสินค้าอุปโภคบริโภคด้วย ขณะที่ผลสำรวจอัตราการว่างงานในเมืองลดลงจาก 5.3% เป็น 5.1% เทียบจากเดือนก่อนหน้า
ภาคการลงทุน
ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงไม่สดใสเหมือนเดิม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรรวมทั้งการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาริมทรัพย์เติบโตที่ 3.4% ยังไม่เปลี่ยนแปลงจาก 8 เดือนแรกของปี ด้านการลงทุนนับตั้งแต่มกราคมถึงกันยายน ลดลงเป็น 10.1% เทียบรายปี ส่วน 8 เดือนแรกอยู่ที่ 10.2%
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า มาตรการผ่อนคลายที่ประกาศไว้เมื่อปลายเดือนกันยายน อาจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเติบโตและทำให้จีนเติบโตได้ดีทั้งปี แต่ก็ยังไม่แน่ว่ามาตรการกระตุ้นดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความต้องการและช่วยทำให้เศรษฐกิจจีนไม่ต้องเข้าสู่ภาวะชะงักงันได้เหมือนกับที่ญี่ปุ่นเผชิญมาเมื่อทศวรรษ 1990
• จีนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ แก้ปัญหาใหญ่ 3 เรื่อง ตลาดหุ้น การใช้จ่ายครัวเรือน และอสังหาริมทรัพย์
ที่มา –
Nikkei
สวนดุสิตโพลชี้คนมองหลอกลวงออนไลน์น่าห่วงสุด เรียกร้องบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด
https://prachatai.com/journal/2024/10/111117
สวนดุสิตโพลสำรวจ 1,357 คน ส่วนใหญ่พบกับปัญหาภัยสังคม หลอกหลวงออนไลน์น่าห่วงสุด ปัญหาบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด ควรปรับให้ทันสมัย ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน อยากให้ รบ.เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม
20 ต.ค. 2567 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “
ภัยสังคมที่ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไข” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,357 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 ต.ค. 2567 พบว่ากลุ่มตัวอย่างเคยมีประสบการณ์พบกับปัญหาภัยสังคมต่าง ๆ ร้อยละ 93.13 (คนใกล้ตัวพบ ร้อยละ 51.73 และพบด้วยตนเอง ร้อยละ 41.40) โดยมองว่าภัยเรื่องการหลอกลวงออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ น่าเป็นห่วงที่สุด ร้อยละ 77.84 ด้านอุปสรรคในการแก้ปัญหาภัยสังคม คือ การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด ร้อยละ 80.75 และคิดว่าควรเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ร้อยละ 86.10 ทั้งนี้ทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ร้อยละ 72.18 รองลงมาคือ รัฐบาล ร้อยละ 67.60 และตำรวจ ร้อยละ 64.98 สิ่งที่อยากฝากถึงรัฐบาลเกี่ยวกับภัยสังคม คือ ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 62.75
นางสาว
พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เคยพบปัญหาภัยสังคมสูงถึงร้อยละ 93.13 ภัยสังคมที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือภัยสังคมในรูปแบบออนไลน์ โดยมองว่าอุปสรรคสำคัญคือ “
กฎหมายไม่เข้มงวด” ทั้งนี้อาจเพราะรู้สึกว่าผู้กระทำผิดหลายคนสามารถหลบหลีกการถูกลงโทษได้ หรือบทลงโทษไม่รุนแรงพอที่จะยับยั้งการกระทำผิดต่อไปได้ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม แก้ปัญหาทั้งระบบ เพื่อสร้างสังคมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
JJNY : แจกเงินยังไม่ช่วยเท่าไร│ศก.จีนโตช้าลง อสังหาฯยังแย่│โพลชี้คนมองหลอกลวงออนไลน์น่าห่วง│“สี จิ้นผิง” กำชับกองทัพจีน
https://brandinside.asia/government-cash-giveaway-do-not-solve-structural-problems/
KKP Research ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย ปรับการขยายตัวของ GDP จาก 2.6% เป็น 2.8%
การปรับคาดการณ์ดังกล่าวมาจากการฟื้นตัวชั่วคราวทางเศรษฐกิจที่มาจากสองปัจจัยสำคัญคือ มาตรการแจกเงินให้กลุ่มเปราะบาง ส่งผลบวกต่อการเติบโตของการบริโภค และการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคส่งออกในสินค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ขณะที่ปัจจัยลบเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยก็ยังคงอยู่ มีทั้งเรื่องสังคมสูงอายุ หนี้ครัวเรือนระดับสูง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมยังเผชิญปัญหาในการแข่งขัน และภาคการลงทุนชะลอตัวตามภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเพียงชั่วคราวในช่วงไตรมาส 4 ถึงกลางปีหน้า หากไม่มีการผลักดันนโยบายแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม เศรษฐกิจไทยจะกลับมามีแนวโน้มโตต่ำกว่า 2.5% ในระยะยาว
การส่งออก
ปรับตัวดีขึ้นจาก 1.3% เป็น 2.3% การส่งออกขยายตัวดีขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวดีขึ้นจากสินค้าบางประเภทที่เปลี่ยนเส้นทางการค้าจากจีนไปสหรัฐฯ โดยตรง เป็นส่งสินค้าจากจีนผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ และการส่งออกที่เป็นตัวเงิน ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่สินค้าบางตัวยังไม่ปรับตัวดีขึ้น
เงินบาทแข็งค่าเร็วขึ้นอาจกระทบปริมาณการส่งออกของสินค้าบางกลุ่ม เช่น สินค้าเกษตร ส่วนเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงชะลอตัว โดยเฉพาะคู่ค้าสำคัญของไทย ส่วนวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มเติบโตช้าลง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลบวกระยะสั้น
การแจกเงินกลุ่มเปราะบาง 14.2 ล้านคน จำนวน 142,000 ล้านบาท หรือ 0.7% ของ GDP กลุ่มเปราะบางได้รับเงินไปใช้จ่ายต่อ ทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับเงินที่แจกให้ประชาชน
ปีงบประมาณ 2024/25 มีการอนุมัติงบจำนวน 150,000-180,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.8-0.9% ของ GDP สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การนำเงินก้อนนี้ไปใช้ยังไม่ชัดเจน รัฐบาลยืนยันจะใช้เงินก้อนนี้เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet อีก 20 ล้านคนที่ลงทะเบียนก่อนหน้า ทำให้การแจกเงินก้อนสอง จะมีการใช้งานในช่วงไตรมาส 2 – 3 ในปี 2025 และช่วยให้เศรษฐกิจไทยได้ใกล้เคียง 3% ในปี 2025
การประกาศนโยบายของรัฐ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การส่งเสริมและปกป้องผู้ประกอบการจากการแข่งขันต่างประเทศ การให้ความช่วยเหลือด้านราคาพลังงานและสาธารณูปโภค การดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม KKP มองว่า ยังมีความกังวลในการดำเนินนโยบาย เพราะหลายนโยบายไม่มีแผนการดำเนินการชัดเจน
ปัจจุบันหนี้สาธารณะปรับสู่ระดับ 70% ของ GDP เป็นระดับสูงสุดตามกฎหมายกำหนดไว้ ต้องมีขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อเพิ่มระดับเพดานหนี้สาธารณะก่อนแผนการใช้นโยบายขาดดุลการคลังที่มากขึ้นในอนาคต
ท่องเที่ยวฟื้นตัวช้าลง ปีหน้าระดับนักท่องเที่ยวเริ่มชะลอลงเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลให้ผลบวกต่อ GDP จากการท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เศรษฐกิจไทยควรมีแรงขับเคลื่อนอื่นๆ เช่น ภาคการผลิตเพื่อให้เติบโตใกล้เคียง 3%
ปัญหาเชิงโครงสร้างยังเป็นปัญหาเดิมที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ
ทั้งโครงสร้างประชากร ความสามารถในการแข่งขันต้องเผชิญกับความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ตลอดจนการหดตัวลงของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ขณะที่ภาคการผลิตและภาคเอกชนหดตัวรุนแรงที่ 5.7% ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่คาดไว้ และสถานะทางการเงินของครัวเรือนที่อ่อนแอ
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังต่ำกว่าก่อนโควิด การที่เงินบาทแข็งค่าเร็วมาจากปัจจัยระยะสั้น ดังนี้ การอ่อนค่าลงเร็วของดอลลาร์สหรัฐมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าตลาดคาดของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการปรับตัวดีขึ้นของสถานการณ์ทางการเมืองรวมทั้งการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ช่วยหนุนตลาดหุ้นได้ในระยะสั้น ตลอดจนการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ
• KKP Research: เศรษฐกิจไทยฟื้นช้า ไม่ใช่เพราะโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่เพราะกำลังถดถอย
ที่มา – KKP Research
เศรษฐกิจจีนเติบโตช้าลง ภาคอสังหาฯ ยังแย่ แถมหลายประเทศเริ่มใช้มาตรการกีดกันทางการค้า
https://brandinside.asia/china-economy-grows-at-the-slowest-pace/
ไตรมาส 3 GDP ของจีนโตอยู่ที่ 4.6% เติบโตลดลงจากไตรมาส 2 อยู่ที่ 4.7% ถือเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดนับจากไตรมาสแรกของปี 2023
อัตราการเติบโตของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า และยังมองว่าตลอดทั้งปีนี้ จีนน่าจะมีเศรษฐกิจขยายตัวที่ 4.8% ลดลงจากที่คาดไว้ที่ 4.9%
อย่างไรก็ตาม จีนได้ดำเนินมาตรการเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตในช่วงปลายเดือนกันยายน มีทั้งลดอัตราดอกเบี้ย ลดต้นทุนในการจำนอง และขยายมาตรการสนับสนุนทางการเงินให้แก่นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น แต่นักวิเคราะห์มองว่ายังไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและครัวเรือน และยังลดแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดด้วย
ภาคการส่งอออก
ปลายเดือนที่ผ่านมาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งความต้องการจากต่างประเทศที่ลดลงและหลายประเทศก็ได้พยายามสร้างกำแพงทางการค้าเพื่อกีดกันสินค้าจากจีนไหลเข้าประเทศด้วย จีนเองก็พยายามจะแก้ปัญหา ด้วยการส่งสัญญาณเตรียมปล่อยมาตรการกระตุ้นทางการคลังในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า
ภาคอุตสาหกรรมถือว่าเติบโตได้ดี เนื่องจากมีอัตราที่ขยายตัวที่ 5.4% เทียบกับปีก่อนหน้า เทียบกับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.5% ส่วนการขายปลีกเติบโตขึ้น 3.2% เพิ่มขึ้นจาก 2.1% ของเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งมาจากการใช้นโยบายสนับสนุนการค้าสินค้าอุปโภคบริโภคด้วย ขณะที่ผลสำรวจอัตราการว่างงานในเมืองลดลงจาก 5.3% เป็น 5.1% เทียบจากเดือนก่อนหน้า
ภาคการลงทุน
ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงไม่สดใสเหมือนเดิม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรรวมทั้งการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาริมทรัพย์เติบโตที่ 3.4% ยังไม่เปลี่ยนแปลงจาก 8 เดือนแรกของปี ด้านการลงทุนนับตั้งแต่มกราคมถึงกันยายน ลดลงเป็น 10.1% เทียบรายปี ส่วน 8 เดือนแรกอยู่ที่ 10.2%
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า มาตรการผ่อนคลายที่ประกาศไว้เมื่อปลายเดือนกันยายน อาจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเติบโตและทำให้จีนเติบโตได้ดีทั้งปี แต่ก็ยังไม่แน่ว่ามาตรการกระตุ้นดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความต้องการและช่วยทำให้เศรษฐกิจจีนไม่ต้องเข้าสู่ภาวะชะงักงันได้เหมือนกับที่ญี่ปุ่นเผชิญมาเมื่อทศวรรษ 1990
• จีนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ แก้ปัญหาใหญ่ 3 เรื่อง ตลาดหุ้น การใช้จ่ายครัวเรือน และอสังหาริมทรัพย์
ที่มา – Nikkei
สวนดุสิตโพลชี้คนมองหลอกลวงออนไลน์น่าห่วงสุด เรียกร้องบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด
https://prachatai.com/journal/2024/10/111117
สวนดุสิตโพลสำรวจ 1,357 คน ส่วนใหญ่พบกับปัญหาภัยสังคม หลอกหลวงออนไลน์น่าห่วงสุด ปัญหาบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด ควรปรับให้ทันสมัย ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน อยากให้ รบ.เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม
20 ต.ค. 2567 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ภัยสังคมที่ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไข” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,357 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 ต.ค. 2567 พบว่ากลุ่มตัวอย่างเคยมีประสบการณ์พบกับปัญหาภัยสังคมต่าง ๆ ร้อยละ 93.13 (คนใกล้ตัวพบ ร้อยละ 51.73 และพบด้วยตนเอง ร้อยละ 41.40) โดยมองว่าภัยเรื่องการหลอกลวงออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ น่าเป็นห่วงที่สุด ร้อยละ 77.84 ด้านอุปสรรคในการแก้ปัญหาภัยสังคม คือ การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด ร้อยละ 80.75 และคิดว่าควรเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ร้อยละ 86.10 ทั้งนี้ทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ร้อยละ 72.18 รองลงมาคือ รัฐบาล ร้อยละ 67.60 และตำรวจ ร้อยละ 64.98 สิ่งที่อยากฝากถึงรัฐบาลเกี่ยวกับภัยสังคม คือ ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 62.75
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เคยพบปัญหาภัยสังคมสูงถึงร้อยละ 93.13 ภัยสังคมที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือภัยสังคมในรูปแบบออนไลน์ โดยมองว่าอุปสรรคสำคัญคือ “กฎหมายไม่เข้มงวด” ทั้งนี้อาจเพราะรู้สึกว่าผู้กระทำผิดหลายคนสามารถหลบหลีกการถูกลงโทษได้ หรือบทลงโทษไม่รุนแรงพอที่จะยับยั้งการกระทำผิดต่อไปได้ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม แก้ปัญหาทั้งระบบ เพื่อสร้างสังคมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน