JJNY : วันนอร์กังวลหลังไฟใต้เกิดถี่│โพลชี้พรีเซ็นเตอร์ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ│‘ไข่เป็ด’ขึ้นราคา│ญี่ปุ่นพบไข้หวัดนกรุนแรง

วันนอร์ กังวล หลังไฟใต้เกิดถี่ อาจโยงคดีตากใบใกล้หมดอายุความ หวังตร.จับผู้ต้องหาส่งศาลก่อน 25 ต.ค.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4855410
 
วันนอร์ กังวล หลังไฟใต้เกิดถี่ขึ้น อาจเชื่อมโยงคดีตากใบใกล้หมดอายุความ หวังให้ตำรวจจับผู้ต้องหาส่งศาลก่อน 25 ต.ค. แนะการข่าวเจ้าหน้าที่ต้องดี ใช้กำลังภาคประชาชนช่วย ดีกว่าทหาร-ตำรวจ ที่ระงับเหตุได้ชั่วคราว
 
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะคนพื้นที่ จ.ยะลา กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบรายวันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ตนมีความกังวลอยากให้พื้นที่ทุกภาคส่วนของประเทศไทยเกิดความสงบ มีสันติสุข ซึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีความพยายามของทุกฝ่าย แต่ก็ยังไม่สงบ เนื่องจากยังมีความเห็นที่แตกต่างระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนบางส่วน ขณะที่รัฐบาลก็พยายามแก้ไขด้วยการพูดคุยสันติสุข ซึ่งมาเลเซียก็รับที่จะเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้มีการพูดคุยกัน แต่ความคืบหน้ายังน้อยมาก
 
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องการข่าวเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าการข่าวดีก็สามารถระงับเหตุได้ นอกจากนี้ต้องอาศัยประชาชนให้ความร่วมมือในการดูแลความสงบ เพราะประชาชนรู้ดีกว่า
 
การใช้กำลังทหาร-ตำรวจ อย่างเดียว ไม่สามารถระงับได้อย่างถาวร ทำได้เป็นการชั่วคราว ผมอยากให้องค์กรภาคประชาชน เช่น อ.ส. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฝึกฝนให้คนเหล่านี้ได้ทำงานในการรักษาความสงบร่วมกับทางราชการ ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ แต่การใช้กำลังที่เป็นการต่อสู้ ควรใช้ในยามเกิดภัยสงคราม ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่ภัยสงคราม เป็นเรื่องการก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์บางอย่าง ก็คงต้องแก้ไขอย่างเหมาะสม แต่สำคัญคือต้องแก้เรื่องการข่าว และการใช้กำลังของพื้นที่ ใช้ให้เยอะกว่าการใช้ทหารและตำรวจ ซึ่งเป็นคนนอกพื้นที่ ซึ่งไม่ค่อยชำนาญพื้นที่ และต้องรีบทำให้การพูดคุย ให้หาข้อยุติได้โดยเร็ว”นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว
 
เมื่อถามว่า คดีตากใบที่เหลือไม่กี่วันจะหมดอายุความ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างถี่ มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า อาจจะเชื่อมโยงหรือไม่เชื่อมโยงก็ได้ เพราะก่อนคดีตากใบจะหมดอายุก่อนหน้าเป็นปี สถานการณ์ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ช่วงนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 วัน คดีจะหมดอายุความ ทุกคนก็อยากให้ผู้มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจับกุมผู้ที่มีหมายจับ มาส่งศาลก่อน 25 ตุลาคม ถ้าจับได้ ความคลี่คลายในเรื่องความเห็นต่าง อาจจะลดลงไปก็ได้ มันอาจจะเกี่ยวข้องบ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นก่อนอยู่แล้วแต่ช่วงนี้ถี่มากขึ้น อาจเพราะประชาชนในพื้นที่อยากแสดงออกให้เจ้าหน้าที่มีความเข้มแข็งในการจับผู้ที่มีหมายจับ ถ้าตำรวจใช้ความพยายามจริงๆ ก็น่าจะจับได้บ้าง 
 


โพลชี้ สินค้าที่ใช้ดารา อินฟลูเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของปชช.
https://www.matichon.co.th/entertainment/thai-entertainment/news_4855353

โพลชี้ สินค้าที่ใช้ดารา อินฟลูเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของปชช. แถมไม่เชื่อว่าดารา อินฟลู ใช้สินค้าที่พรีเซ็นเตอร์จริง และถ้าถูกหลอก ร้องสื่อได้รับความเป็นธรรมเร็วที่สุด
 
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ใครจะคุ้มครองผู้บริโภค” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-16 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าของดารา และอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คนดัง
 
จากการสำรวจเมื่อถามถึงการโฆษณาสินค้าของดารา อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.21 ระบุว่า ไม่ส่งผลเลย รองลงมา ร้อยละ 22.98 ระบุว่า ส่งผลมาก ร้อยละ 19.01 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผล และร้อยละ 15.80 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผล
ด้านความเชื่อของประชาชนที่มีต่อดารา อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ใช้สินค้าจากการโฆษณาจริง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.29 ระบุว่า ไม่เชื่อว่าใช้สินค้านั้นจริง รองลงมา ร้อยละ 22.98 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นเป็นบางครั้ง ร้อยละ 20.53 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นเฉพาะตอนโฆษณา ร้อยละ 3.89 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นจริง และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 
ด้านความรู้สึกของประชาชนต่อการโฆษณาสินค้าที่มีของแถมจำนวนมาก และ/หรือ ลดราคาเยอะ ๆ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.12 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า คุณภาพสินค้าอาจไม่ดี รองลงมา ร้อยละ 30.23 ระบุว่า เป็นแค่วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ร้อยละ 23.89 ระบุว่า ไม่คิดจะซื้อสินค้าที่โฆษณาแบบนี้ ร้อยละ 19.47 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า มีเงื่อนไขอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า ร้อยละ 19.24 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า ต้นทุนสินค้าน่าจะถูกมาก ร้อยละ 17.94 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า สินค้านั้นอาจใกล้หมดอายุการใช้งาน ร้อยละ 8.63 ระบุว่า จะขอเปรียบเทียบคุณภาพกับสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงก่อนตัดสินใจ ร้อยละ 8.17 ระบุว่า จะขอเปรียบเทียบราคากับสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงก่อนตัดสินใจ ร้อยละ 7.02 ระบุว่า จะลองสั่งมาใช้ดู ร้อยละ 4.27 ระบุว่า ถ้าเป็นสินค้าที่ใช้เป็นประจำ จะซื้อสินค้านั้นทันที ร้อยละ 2.14 ระบุว่า สนใจที่จะซื้อสินค้านั้นทันที (แม้ว่าจะไม่เคยใช้ก็ตาม) และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 
สำหรับการร้องเรียนจากการถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวงให้ซื้อสินค้าหรือลงทุน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.22 ระบุว่า ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ไม่ร้องเรียนใด ๆ ร้อยละ 15.50 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสื่อ ร้อยละ 12.06 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับศิลปิน ดารา หรือจิตอาสาคนดัง เช่น หนุ่ม กรรชัย กัน จอมพลัง บุ๋ม ปนัดดา เป็นต้น ร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (ไม่รวม สคบ.) ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับทนายคนดัง ร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับนักการเมือง
 
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการร้องเรียนที่ได้รับความเป็นธรรมเร็วที่สุดจากการถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวงให้ซื้อสินค้าหรือลงทุน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 24.81 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสื่อ รองลงมา ร้อยละ 23.05 ระบุว่า ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ร้อยละ 15.88 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับศิลปิน ดารา หรือจิตอาสาคนดัง เช่น หนุ่ม กรรชัย กัน จอมพลัง บุ๋ม ปนัดดา เป็นต้น ร้อยละ 15.80 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และไม่ร้องเรียนใด ๆ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 1.91 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับทนายคนดัง ร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (ไม่รวม สคบ.) ร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ร้อยละ 0.07 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับนักการเมือง และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


 
สุดอั้น ‘ไข่เป็ด’ ขึ้นราคา 10 สตางค์ เป็นฟองละ 5.20 บาท มีผล 21 ต.ค.นี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4855100

สุดอั้น ‘ไข่เป็ด’ ขึ้นราคา 10 สตางค์ เป็นฟองละ 5.20 บาท มีผล 21 ต.ค.นี้
  
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 สมาคมผู้เลี้ยงเป็ดไข่ได้ออกประกาศเพื่อแจ้งสมาชิกเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาไข่เป็ดหน้าฟาร์ม โดยมีรายละเอียดว่า
  
สมาคมขอแจ้งราคาไข่เป็ด ณ หน้าฟาร์มเกษตรกร ประกาศปรับราคาไข่เป็ดขึ้นอีก 10 สตางค์ เป็นราคาฟองละ 5.20 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงราคาสมาคมจะแจ้งให้ทราบต่อไป
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปรับราคาครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 6 หลังจากก่อนหน้านี้ได้ปรับไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ปรับขึ้นฟองละ 20 สตางค์ วันที่ 6 พฤษภาคม 2567 ฟองละ 20 สตางค์ วันที่ 20 พฤษภาคม ขึ้นฟองละ 10 สตางค์ วันที่ 3 มิถุนายน 2567 อีก 10 สตางค์ และวันที่ 23 สิงหาคม 2567 อีก 10 สตางค์ ซึ่งราคาอยู่ที่ฟองละ 5.10 บาท
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่