ฅนตื่นธรรม คือ มารร้าย และ สัญญาณภัยในความพินาศของพระพุทธศาสนา อย่างแท้จริง

น่าสังเวชใจและน่าสงสารอย่างถึงที่สุด
ที่ชาวพุทธเรานั้นตาไร้แวว และมืดบอด
กันมาก จนสามารถให้บุคคลที่กลวงเปล่า
เมาในธรรม เช่นนี้มาชักจูงจมูกคนได้มากมาย

การที่คนๆนึงเอาตำรา เอาทฤษฏี ที่จำๆมา
มาผสมเคล้าเข้ากับวาจาเผ็ดร้อน
ที่พร้อมจะเสียดสี ถล่ม ทุบหัวคนอื่น
โดยอ้างว่า ตนเอง กำลัง จรรโลงโลก จรรโลงธรรม
มันสามารถทำให้คนตื่นจริงๆหรือ
แล้วคนที่ฟังได้อะไรกลับมา จากสิ่งเหล่านั้น
นอกจาก ถูกเพิ่มพูน ทิฏฐิมานะกลับมา
หลงว่าตัวเองนั้นถูก หลงว่าตัวเองนั้นตื่น
เเต่สิ่งที่เขาสอนๆจากการจำมานั้น
มันชำระใจคน ได้จริงๆหรือ
มันปลุกเมตตา ยกภพยกภูมิในใจคนได้จริงๆหรือ
หากแต่เสี้ยมให้กำเริบเสิบสานในอัตตามานะ
ยกเอาพระธรรมคำสอน เอาพระไตรปิฏกไปทุบหัวกดหัวคนอื่น ตัวเองถูกคนอื่นผิดหมด
พระพุทธเจ้าจะให้คะแนน ลูกหลาน ที่อะไร
ที่เขาเอาคำสอนที่ทรงเอาเลือดเนื้อแลกมา
ไปเบียดเบียนดูถูกเหยียบย่ำคนอื่นและยกตนว่าตัวเองนั้นเหนือคนอื่นหรือ

คนที่พูดธรรมได้มากมาย แต่กระแสที่จะพุ่งไปชำระใจใครมันไม่มีไม่เกิด มันจะเป็นมรรค ได้ยังไง

ตอนโปรดองคุลิมาล ทรงตรัส เเค่ อหิงสกะ ที่เป็นชื่อเดิมของมหาโจร เพียงเท่านี้ก็สามารถทำมหาโจรหลั่งน้ำตาออกมาได้ ไม่มีสักประโยคที่จะทรงตำหนิว่า
ความชื่อของ อหิงสกะนั้นผิด ไม่เคยเลยจะตำหนิ อหิงสกะว่าเลวที่ฆ่าคนต้องมากมาย
ไม่เคยเลยที่จะตำหนิว่า อหิงสกะนั้นโง่ ไปเชื่ออาจารย์หลอก
ไม่เคยเลยที่จะเอาตรัสว่าคำสอน ที่พระองค์ทรงพบนั้น
ว่าเป็นเลิศ
แล้วอะไรมันคือธรรมแท้ๆ อะไรมันคือการจรรโลง
ถ้าการพูดบัญญัติมากมายแต่ปลุกใจคนให้เกิดสำนึกในความเลวไม่ได้ มันจะมีประโยชน์อะไร

ศาสนามากมายบนโลก พินาศไปไม่ใช่เพราะคนนอก
แต่เพราะคนในที่หลงว่าจรรโลงทั้งที่ตัวเองกำลังทำลาย เอาพระธรรมคำสอนมารับใช้สนองอีโก้ มานะตัวเอง เอามาแสวงหาลาภสักการะตัวเอง
และบอกว่าตนกำลังเจริญกุศล จนดำเนินไปถึงกาลเสื่อม เพื่อธรรมนั้นจะดำเนินต่อ

บุคคลดังกล่าวนี้
เป็นผู้ซึ่งไม่เคยได้ชิมลิ้มรสสิ่งใดทั้งสิ้น
ไอ้ที่เขาจำๆมาทั้งหลายแหล่มาพูด
แต่ถ้ามันอ่านตัวเองไม่ออก
มันก็แค่ความเลวที่พ่นออกมาทั้งนั้น

84000พระธรรมขันธ์
ไม่ใช่เรื่องของกล่องศาสนา
เป็นเรื่องของการยกภพภูมิทั้งนั้น

พญามารที่แท้จริงของพระพุทธองค์
จะไม่ได้มาพร้อมพญาช้างและเหล่าอสูรใดๆ
แต่จะมาในคาบของผู้ที่กล่าวว่าตัวเองจรรโลง
แต่กำลังทำลายโดยเอาพระธรรมนั้นเป็นอาวุธ

กลียุคกึ่งพุทธกาล
อย่าให้ชาวพุทธอย่างเราๆท่านๆต้องเป็นจิ๊กซอว์ของมารเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
จขกท ก็ยังพิจารณาสิ่งที่ปรากฏเป็นเรื่องโลกๆอยู่ ยังเป็นอามิสทายาทอยู่

หากพิจารณาธรรมชาติที่โลกนั้นเป็นอยู่ อย่างที่ตถาคตชี้ทางไว้ ย่อมไม่เน้นหยิบเอาสภาพสัตว์เหล่าใดมาเน้นติเตียน เพื่อทิฐิตน พวกตน คนของตน ศาสนาตนนั้นพอกพูน

แต่ให้เน้นมาที่ การฟังธรรมใดก็ตามหากผู้ฟังธรรม พิจารณาธรรม ไม่ได้โยนิโสมนสิการเพื่อเห็นสภาพฉันทะที่มันเคลื่อนไปใส่ใจในสิ่งที่กระทบผัสสะได้ล่ะก็

ยังไงก็เป็นอามิสทายาท

ตถาคตมิได้ปฏิเสธหรือผลักไสผู้เห็นผิดนอกลู่นอกทางหรือคนนอกศาสนาใดๆ ท่านไม่เป็นผู้ขวางโลก

แต่อนุโลมไปตามที่โลกนี้ ธรรมชาตินี้เป็นไป

ผู้คน สัตว์ทั้งหลาย นั้นต่างธาตุ ต่างผัสสะ ต่างเวทนา ฉันทะ ต่างความดำริ

มีใครสามารถควบคุมให้คนทั้งโลกเห็นพ้อง มีพฤติกรรม พฤติการณ์ ไปในหนทางเดียวกันได้ทั้งหมด ที่ควบคุมไม่ได้เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาใช่หรือไม่

แต่ที่ใจมันร้อนรนแสวงหาความถูกต้อง ให้มันดี ให้มันได้ดั่งใจ ก็เพราะทิฐิที่ต่างกัน เมื่อไปผัสสะทิฐิที่ต่างกัน อาการแสวงหาดิ้นรนมันจึงเกิด เกิดวิภวตัณหา

นี่ล่ะจึงเรียกว่าเป็นอามิสทายาท เพราะไม่ได้เห็นธรรม เห็นโลกที่เคลื่อนไหว มีกระแสปรวนแปร ไม่มีว่างเว้น ว่ามันเป็นเช่นนี้ๆ เป็นไปตามสภาพปฏิจจสมุปบาท


=====

ทีนี้ การฟังธรรม หากฟังไม่เป็นมันก็จะมีอาการเพ่งโทษจับผิดเจือ เพือสนองทิฐิในตนให้งอกงาม อันไม่ได้เป็นไปเพื่อล่วงสู่หนทางนำออก (การเสวนาใดๆความรู้ใดๆไม่เป็นไปเพื่อหนทางนำออก สิ่งนั้นคือเดรฉานกถา ไม่ควรถือครองหวังเป็นที่พึ่งพิง)

สังเกตุให้ดี ความมันส์ จะบังเกิด เมื่อผัสสะเราไปกระทบกับทิฐิความต่างใดๆเกิดขึ้น อาการกวัดแกว่งจะสำแดงฤทธิเดช ซึ่งจะไม่สามารถสังเกตุสภาพนี้ได้ หากเป็นผู้โหนลูกตุ้มที่กวัดแกว่งนี่อยู่

สลัดออก กระโจนออกจากลูกตุ้มจึงจะชัดเจนในสภาพที่กวัดแกว่งแส่ส่ายแห่งจิต อันอาศัยสภาพก้อน ต่อม ที่มันอาศัยรับรู้สภาพเหล่านี้ภายใต้ ร้อน เย็น อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ขันธ์ทุกๆอนู ทุกเซลล์ ที่แทรกอยู่ทั่วทุกมุม ไม่เคยว่างเว้นจากธรรมชาตินี้

เช่นนี้แล้ว ยังจะเห็นการกล่าวธรรมใดๆ ออกมาจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล ใด หรือไม่

ยังจะต้องตีออกชกหัว กับความเห็นต่างอันเป็นเพียงผัสสะที่มากระทบอยู่อีกหรือไม่

ยังมีศาสนา  ลัทธิความต่างใดๆอยู่หรือไม่ ?

ยังมีการให้ราคากับคำพูดหลากหลาย ต่างภาษา ต่างนัยยะ อยู่รึไม่?

ความแตกต่างแห่งธรรมจากสัตว์ใดๆ ยังมีอยู่อยู่หรือไม่?

…….?
…..?

สรรพสิ่งเสมอเหมือน ไร้ความต่าง

นี่คือรสแห่งสามัคคีธรรม ที่พ้นจากความต่างใดๆอันโลกนิยามและให้ราคาไว้นับไม่ถ้วน

======

ส่วนเรื่องบุคลิกลีลา การแสดงธรรมของแต่ละคนนั้นว่าไม่ได้

จขพ ต้องเข้าใจ ”สภาพวิบากให้ผล“ ซึ่งวิบากที่ให้ผลออกมาเป็นบุคลิก นิสัย หรือวาสนา แต่ละคนนั้นต่างกันไป

หากไม่เข้าใจ จะเอาทิฐิ เอาสัญญา เวทนา ในตน ไปตัดสินว่าคนผู้นี้มีคุณธรรม ไม่มีคุณธรรม ไม่ได้

พระอรหันตสาวก ในสมัยพุทธกาล ยังมีนิสัยในการเรียกพระอรหันต์รูปอื่นๆ ว่า ”คนถ่อย“

แต่ตถาคตท่านก็ไม่ได้ติเตียน เพราะเข้าใจเหตุแห่งวิบาก เข้าใจในสภาพวาสนาของพระท่านนั้น ว่าเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้

ในเมื่อวิบากใดๆเป็นสิ่งที่ไม่สามารถไปฉุดไปรั้งได้ สิ่งที่นักภาวนาควรกระทำต่อวิบากที่กระทบเหล่านั้นคือ

”สังเกตุดูสภาพทุกขัง ที่มันทนอยู่ไม่ได้นาน แปรปรวนไปตามเหตุปัจจัย“ แค่นั้น

เห็นจิตที่มันเคลื่อนสัดส่ายไปตามเวทนา สัญญา ที่มันระลึกได้ว่า เสียงเช่นนี้ โทนแบบนี้ สีหน้าแบบนี้ เป็นเสียงที่ไม่น่ายินดีเลย ไม่ชอบใจเลย หยาบคายจังเลย

ได้ยิน อะไร ฟวยๆ เอี๊ยๆ กี่ทีๆๆ มันก็กายเคลื่อนจิตเคลื่อนอาการแบบเดิมๆ ห้ามไม่ได้เลย…..วั๊บบ

เนี่ย เห็นแบบนี้ถึงเรียกว่าเป็นนักภาวนาชั้นเลิศ

แค่เฉลียว แค่หมั่นสังเกตุ ไม่ว่าธรรมะสายฮาดคอร์ หรือถ้วยชามกะละมังแตก เอามาฟังธรรมซึ่งหน้าได้หมด

พร้อมจะลองอีกสักตั้งมั้ยล่ะ

ลุยเลยสิรอไร!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่