นักวิทยาศาสตร์อ้างว่าพฤติกรรมทั่วไปของการมี
เพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันนำไปสู่ความผูกพันและความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีขึ้น
จากการศึกษาพบว่าลิงตัวผู้ส่วนใหญ่จะแกว่งรสนิยมทางเพศไปมาได้สองทางและเป็นเพศที่ชอบรักร่วมเพศ
การวิเคราะห์ลิงแสมป่าในเปอร์โตริโกพบว่า ตัวผู้จะขึ้นคร่อมกันและแสดงพฤติกรรมรักร่วมเพศมากกว่าตัวเมียหลายเท่า!
ลิงเกือบสามในสี่ตัวที่นักวิจัยติดตามแสดงให้เห็นพฤติกรรมทางเพศแบบตัวผู้ต่อตัวผู้ และนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าสิ่งนี้ช่วยสร้างพันธะทางสังคมที่แน่นแฟ้นและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่คอยสนับสนุนกัน
ลิงที่รักร่วมเพศกันมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือกันในการต่อสู้ เช่นเดียวกัน
การศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ที่
Imperial College London ท้าทายสมมติฐานที่หลายคนเชื่อว่าการรักร่วมเพศในธรรมชาตินั้นพบได้ยากและส่งผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งรวมถึงการรักร่วมเพศในมนุษย์เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ
ศาสตราจารย์
Vincent Savolainen หัวหน้าคณะผู้จัดทำผลการศึกษากล่าวกับ
The Telegraph ว่า "ลิงแสมส่วนใหญ่เป็นพวกรักร่วมเพศ"
"อย่างไรก็ตาม เรายังสังเกตเห็นว่าลิงแสมมีพฤติกรรมรักร่วมเพศมากกว่าพฤติกรรมรักต่างเพศอีกด้วย”
รักร่วมเพศ '6.4 เปอร์เซ็นต์ถ่ายทอดทางพันธุกรรม'
• การศึกษาครั้งนี้ติดตามตัวผู้ 236 ตัวภายในอาณานิคมลิงแสมจำนวน 1,700 ตัวที่อาศัยอยู่อย่างอิสระบนเกาะเขตร้อน
Cayo Santiago เป็นเวลา 3 ปี และยังเข้าถึงบันทึกสายตระกูลที่ย้อนกลับไปได้ถึงปี พ.ศ. 2500 อีกด้วย
มีการติดตามตัวผู้แต่ละตัวในการศึกษา และบันทึกจำนวนครั้งของ "การติด" ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
ตัวผู้ร้อยละ 72 มีการร่วมเพศแบบเพศเดียวกัน ในขณะที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 46) พบว่าร่วมเพศแบบเพศเมีย
ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์เคยเห็นหลักฐานพฤติกรรมรักร่วมเพศในสิ่งมีชีวิตหลายพันสายพันธุ์ และยังมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
บางคนตั้งสมมติฐานว่าผู้ชายเป็นผู้มีเพศสัมพันธ์ได้ทุกที่กับเพศใดก็ได้ ในขณะที่ทฤษฎีอื่นๆ เน้นไปที่การสร้างความเหนือกว่าผู้อื่นและการลดความตึงเครียด
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าแนวโน้มของการเป็นไบเซ็กชวลส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างลิงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจริงๆ
บันทึกประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าความรักร่วมเพศก็เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมซึ่งมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น!
นักวิจัยพบว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศในเพศชายมีความสามารถในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
6.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นหลักฐานแรกที่บ่งชี้ว่ารักร่วมเพศมีทางพันธุกรรมในไพรเมต
เนื่องจากเรามีบรรพบุรุษร่วมกัน'
นักวิทยาศาสตร์ยังแนะนำว่า เนื่องจากทั้งลิงแสมและมนุษย์ต่างก็แสดงลักษณะของรักร่วมเพศ พฤติกรรมดังกล่าวจึงน่าจะมีรากฐานทางวิวัฒนาการที่ลึกล้ำ
“พฤติกรรมรักร่วมเพศแพร่หลายในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆ และมักจะเป็นตัวผู้ที่แสดงพฤติกรรมนี้มากกว่าและบ่อยกว่าเพศเมียมากๆ ดังนั้นจึงมีมาตั้งแต่ก่อนที่ลิงแสมและมนุษย์จะแยกออกจากกัน” ศาสตราจารย์ Savolainen กล่าว
ลิงทุกสายพันธุ์ส่วนใหญ่ ตัวผู้จะแกว่งรสนิยมทางเพศไปมาได้สองทาง!
จากการศึกษาพบว่าลิงตัวผู้ส่วนใหญ่จะแกว่งรสนิยมทางเพศไปมาได้สองทางและเป็นเพศที่ชอบรักร่วมเพศ
การวิเคราะห์ลิงแสมป่าในเปอร์โตริโกพบว่า ตัวผู้จะขึ้นคร่อมกันและแสดงพฤติกรรมรักร่วมเพศมากกว่าตัวเมียหลายเท่า!
ลิงเกือบสามในสี่ตัวที่นักวิจัยติดตามแสดงให้เห็นพฤติกรรมทางเพศแบบตัวผู้ต่อตัวผู้ และนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าสิ่งนี้ช่วยสร้างพันธะทางสังคมที่แน่นแฟ้นและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่คอยสนับสนุนกัน
ลิงที่รักร่วมเพศกันมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือกันในการต่อสู้ เช่นเดียวกัน
การศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ที่ Imperial College London ท้าทายสมมติฐานที่หลายคนเชื่อว่าการรักร่วมเพศในธรรมชาตินั้นพบได้ยากและส่งผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งรวมถึงการรักร่วมเพศในมนุษย์เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ
ศาสตราจารย์ Vincent Savolainen หัวหน้าคณะผู้จัดทำผลการศึกษากล่าวกับ The Telegraph ว่า "ลิงแสมส่วนใหญ่เป็นพวกรักร่วมเพศ"
"อย่างไรก็ตาม เรายังสังเกตเห็นว่าลิงแสมมีพฤติกรรมรักร่วมเพศมากกว่าพฤติกรรมรักต่างเพศอีกด้วย”
รักร่วมเพศ '6.4 เปอร์เซ็นต์ถ่ายทอดทางพันธุกรรม'
• การศึกษาครั้งนี้ติดตามตัวผู้ 236 ตัวภายในอาณานิคมลิงแสมจำนวน 1,700 ตัวที่อาศัยอยู่อย่างอิสระบนเกาะเขตร้อน Cayo Santiago เป็นเวลา 3 ปี และยังเข้าถึงบันทึกสายตระกูลที่ย้อนกลับไปได้ถึงปี พ.ศ. 2500 อีกด้วย
มีการติดตามตัวผู้แต่ละตัวในการศึกษา และบันทึกจำนวนครั้งของ "การติด" ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
ตัวผู้ร้อยละ 72 มีการร่วมเพศแบบเพศเดียวกัน ในขณะที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 46) พบว่าร่วมเพศแบบเพศเมีย
ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์เคยเห็นหลักฐานพฤติกรรมรักร่วมเพศในสิ่งมีชีวิตหลายพันสายพันธุ์ และยังมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
บางคนตั้งสมมติฐานว่าผู้ชายเป็นผู้มีเพศสัมพันธ์ได้ทุกที่กับเพศใดก็ได้ ในขณะที่ทฤษฎีอื่นๆ เน้นไปที่การสร้างความเหนือกว่าผู้อื่นและการลดความตึงเครียด
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าแนวโน้มของการเป็นไบเซ็กชวลส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างลิงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจริงๆ
บันทึกประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าความรักร่วมเพศก็เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมซึ่งมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น!
นักวิจัยพบว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศในเพศชายมีความสามารถในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ 6.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นหลักฐานแรกที่บ่งชี้ว่ารักร่วมเพศมีทางพันธุกรรมในไพรเมต
เนื่องจากเรามีบรรพบุรุษร่วมกัน'
นักวิทยาศาสตร์ยังแนะนำว่า เนื่องจากทั้งลิงแสมและมนุษย์ต่างก็แสดงลักษณะของรักร่วมเพศ พฤติกรรมดังกล่าวจึงน่าจะมีรากฐานทางวิวัฒนาการที่ลึกล้ำ
“พฤติกรรมรักร่วมเพศแพร่หลายในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆ และมักจะเป็นตัวผู้ที่แสดงพฤติกรรมนี้มากกว่าและบ่อยกว่าเพศเมียมากๆ ดังนั้นจึงมีมาตั้งแต่ก่อนที่ลิงแสมและมนุษย์จะแยกออกจากกัน” ศาสตราจารย์ Savolainen กล่าว