[๑๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี
สมัยนั้นแล ท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่
ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นมิใช่ทำได้ง่าย
ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตนแล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
ธรรม ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
ภิกษุพึงตั้งใจว่า
๑. เราจักแสดงธรรมไปตามลำดับ
๒. เราจักแสดงอ้างเหตุ
๓. เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู
๔. เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม
๕. เราจักไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น
อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่
คนอื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในตนแล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
จาก
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=22&siri=159
อรรถกถาอุทายิสูตรที่ ๙
พึงทราบวินิจฉัยในอุทายิสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อนุปุพฺพิกถํ กเถสฺสามิ ความว่า ยกลำดับแห่งเทศนาอย่างนี้ว่า ศีลในลำดับทาน สวรรค์ในลำดับศีล
หรือบทพระสูตร หรือบทคาถาใดๆ หรือพึงตั้งจิตว่า เราจักกล่าวกถาสมควรแก่บทนั้นๆ แล้วแสดงธรรมแก่ผู้อื่น.
บทว่า ปริยายทสฺสาวี ได้แก่ แสดงถึงเหตุผลนั้นๆ แห่งเนื้อความนั้นๆ. จริงอยู่ ในสูตรนี้ ท่านกล่าวเหตุว่าปริยาย.
บทว่า อนุทฺทยตํ ปฏิจฺจ ได้แก่ อาศัยความเอ็นดูว่า เราจักเปลื้องสัตว์ทั้งหลายผู้ถึงความยากลำบากมาก จากความยากลำบาก.
บทว่า น อามิสนฺตโร ได้แก่ ไม่เห็นแก่อามิส. อธิบายว่า ไม่หวังลาภคือปัจจัย ๔ เพื่อตน.
บทว่า อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ ได้แก่ ไม่กระทบตนและผู้อื่นด้วยการกระทบคุณโดยยกตนข่มผู้อื่น.
ไม่ง่ายจริงๆนะครับ เรื่องการแสดงธรรม โดยเฉพาะเราที่ยังมีกิเลสหนาเป็นกิโล
หลักในการแสดงธรรม
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี
สมัยนั้นแล ท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่
ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นมิใช่ทำได้ง่าย
ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตนแล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
ธรรม ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
ภิกษุพึงตั้งใจว่า
๑. เราจักแสดงธรรมไปตามลำดับ
๒. เราจักแสดงอ้างเหตุ
๓. เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู
๔. เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม
๕. เราจักไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น
อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่
คนอื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในตนแล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
จาก https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=22&siri=159
อรรถกถาอุทายิสูตรที่ ๙
พึงทราบวินิจฉัยในอุทายิสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อนุปุพฺพิกถํ กเถสฺสามิ ความว่า ยกลำดับแห่งเทศนาอย่างนี้ว่า ศีลในลำดับทาน สวรรค์ในลำดับศีล
หรือบทพระสูตร หรือบทคาถาใดๆ หรือพึงตั้งจิตว่า เราจักกล่าวกถาสมควรแก่บทนั้นๆ แล้วแสดงธรรมแก่ผู้อื่น.
บทว่า ปริยายทสฺสาวี ได้แก่ แสดงถึงเหตุผลนั้นๆ แห่งเนื้อความนั้นๆ. จริงอยู่ ในสูตรนี้ ท่านกล่าวเหตุว่าปริยาย.
บทว่า อนุทฺทยตํ ปฏิจฺจ ได้แก่ อาศัยความเอ็นดูว่า เราจักเปลื้องสัตว์ทั้งหลายผู้ถึงความยากลำบากมาก จากความยากลำบาก.
บทว่า น อามิสนฺตโร ได้แก่ ไม่เห็นแก่อามิส. อธิบายว่า ไม่หวังลาภคือปัจจัย ๔ เพื่อตน.
บทว่า อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ ได้แก่ ไม่กระทบตนและผู้อื่นด้วยการกระทบคุณโดยยกตนข่มผู้อื่น.
ไม่ง่ายจริงๆนะครับ เรื่องการแสดงธรรม โดยเฉพาะเราที่ยังมีกิเลสหนาเป็นกิโล