นักโทษประหารในไทยที่มีไม่ค่อยมีใครรู้จัก

นักโทษที่จะกล่าวถึงในกระทู้นี้เป็นนักโทษที่ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าซึ่งไม่ได้มีช่องใดเล่าหรือมีข้อมูลในเว็บเพราะนักโทษเหล่านี้มีรายละเอียดคดีที่ค่อนข้างสั้น หรือเคยรู้จักมากแต่ตอนนี้ไม่ค่อยรู้จักล่ะ ผมจะเอามาบางรายซึ่งผมค้นได้นะครับ
ข้อมูลนี้จะเป็นข้อมูลที่ผมมีนะครับ ซึ่งในนี้จะไม่มีนช.(พลทหาร)บัณฑิต รักษ์พันธ์ที่ก่อเหตุฆ่ายัดโพรงไม้เพราะผมยังหาข้อมูลไม่เสร็จครับ)
รายละเอียดคดีจะสั้นนะครับ
1.รายที่ 157 นช.บุญมี ดวงภูเขียว หมายเลขประจำตัว ๙๗๖/๐๘ อายุ 28 ปี และรายที่ 158 นช.ถนอม โรจนภัทร์ภาษิต หมายเลขประจำตัว๒๑๓๓/๐๘ อายุ 31 ปี

บุญมี ดวงภูเขียว ถนอม โรจนภัทร์ภาษิต สองมือปืนรับจ้างมือฆ่าประมงโท รายแรกของขอนแก่น

บุญมีและถนอมทั้งสองเป็นพลทหารสังกัดมณฑลทหารบก ทั้งสองได้ถูกนางถนอมศรี วัชรางกูร ภรรยาของวิสุทธิ์ วัชรางกูร จ้างวานฆ่าสามีของตน(วิสุทธิ์) ซึ่งเป็นประมงจังหวัดโท โดยมีเงินค่าจ้างจำนวน 2,000 บาท

ในช่วงค่ำของวันที่ 18 มกราคม 2508 ขณะที่วิสุทธิ์กลับจากการกินเลี้ยงแล้วนั่งรถสามล้อกลับบ้าน
ทั้งสองได้สังหารวิสุทธิ์ที่หน้าบ้านของเขาในเทศบาลเมืองขอนแก่นเมื่อเวลา 23.00 น. ถัดจากนั้นถนอมศรีได้แจ้งความเท็จว่าสามีถูกโจรปล้น
ศาลได้ตัดสินถนอมศรีจำคุก 12 ปี เนื่องจากให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวนและพิจารณาคดี ส่วนถนอมกับบุญมีรับโทษประหาร

ในวันที่ 18 มีนาคม 2511 ทั้งสองถูกนำตัวมาเพื่อทำขั้นตอนต่างๆก่อนการประหารชีวิต
อาหารมื้อสุดท้าย: เจ้าหน้าที่จัดอาหารมื้อสุดท้ายให้ทั้งสองในเวลา  แต่ทั้งคู่ไม่แตะต้องอาหารได้แต่นั่งสงบนิ่งตาเหม่อลอย 

นายเพี้ยน คนแรงดี(จริงๆคือนามสกุลคุณแรงดี) ทำหน้าที่ประหารนายบุญมี โดยเป็นการประหารก่อนที่เพี้ยนจะพักการทำหน้าที่ไปจนถึงปี 2517 เนื่องจากนายเพี้ยนเป็นโรคหัวใจ พอสุขภาพดีขึ้นก็กลับมาทำหน้าที่เพชฌฆาต

นายมุ่ย จุ้ยเจริญ ทำหน้าที่ประหารนายถนอม

บุญมีและถนอมถูกประหารเมื่อเวลา 18.00 น. และเป็นคนแรกที่ถูกประหารจากการถูกศาลจังหวัดขอนแก่นตัดสินประหาร(สองคนแรกจากขอนแก่นและยังเป็นรายล่าสุดอยู่)

2.ฟ่อน พิทักษ์ โจรเหี้ยม ทรชน

นช.ฟ่อน พิทักษ์ หมายเลขประจำตัว ๓๖๕/๑๑ นับเป็นนักโทษประหารด้วยการยิงเป้ารายที่ 162

นักโทษรายนี้ก่อคดีที่ฉวางแต่ถูกตัดสินโดยศาลจังหวัดสุราษ

คดีนี้ถือว่าค่อนข้างเลวร้ายถึงจะไม่ยาวก็ตาม

ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2510 ที่อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช นายฟ่อนได้ร่วมกับพรรคพวกอีก 2คน บุกเข้าปล้นบ้านของนายคร้าวกับนางยก และฆ่าทั้งคู่ โดยได้เงินไป 300 บาท กับหวายจำนวน 30 ยก เมื่อปล้นเสร็จแล้ว กลุ่มโจรได้ทำการชั่ว โดยการจับตัวนางสาวปรานีหลานสาวผู้ตายไปย่ำยีมากถึง 12 ครั้ง

ฟ่อนถูกจับกุมได้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนพวกอีก 2 คน จับกุมตัวไม่ได้ ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีตัดสินประหารฟ่อน และย้ายตัวฟ่อนจากเรือนจำจังหวัดสุราฎร์ธานีไปยังเรือนจำกลางบางขวาง ฟ่อนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฟ่อนฎีกา แต่ศาลฎีกาก็พิพากษายืนประหาร ฟ่อนจึฃทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าขอลดโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวก็ตกลงมาในวันที่ 10 ตุลาคม 2513

จุดจบทรชน

วันที่ 27 ตุลาคม 2513 เรือนจำกลางบางขวางได้จัดการประหารฟ่อน โดยให้ฟ่อนอาบน้ำชำระร่างกายแล้วจัดหาอาหารมื้อสุดท้าย พร้อมกับนิมนต์พระมาเทศน์ให้ฟัง
ฟ่อนได้เซ็นชื่ออุทิศดวงตาให้กับสภากาชาดไทย
ในเวลา 17.30 ฟ่อนถูกนำตัวเข้าสถานที่หมดทุกข์
ในเวลา 17.35 นายประเสริฐ ฤทธิ์จินดา พัสดีได้โบกธงแดงเป็นสัญญาณประหาร นายมุ่ย จุ้ยเจริญได้เหนี่ยวไกเบล็กมันรวม10นัด ฟ่อนตายสนิท หลังจากที่ตรวจศพนักโทษ นายแพทย์เรือนจำกลางบางขวางได้ผ่าเอาตาของฟ่อนไปเก็บที่ศูนย์ดวงตาของสภากาชาดไทย

3. ดีน หรือ เดน เหล้หวัน 
นช.ดีน หรือ เดน เหล้หวัน อายุ 30 ปี หมายเลขประจำตัว๔๘๘/๑๑ นักโทษประหารรายที่ 163



ดีนได้ร่วมกับพวกฆ่าชิงทรัพย์นายลิขิต หรือ เกียรติ แซ่ลี้ ที่ตลาดอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เทื่อปี 2509 เขาให้การปฎิเสธ ดีนถูกศาลจังหวัดนครศรีธรรมตัดสินประหาร โดยดีนได้สู้คดีทั้งสามศาล แต่ศาลฎีกาพิพากษาประหาร

ในเวลา 17.00 น.ของวันที่ 21 มกราคม 2514 พี่เลี้ยงได้เบิกตัวเขาออกจากหมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 นำตัวนั่งรถเข็นไปยังศาลาพักแล้วอ่านคำสั่งประหารชีวิตให้ฟังพร้อมกับให้เซ็นทราบในคำสั่ง เขาได้ร้องขอกระดาษจากเจ้าหน้าที่เพิ่อเขียนพินัยกรรมและจดหมายถึงญาติพี่น้องโดยใช้เวลาเพียง 5 นาที
ดีนถูกนำตัวเขาห้องประหาร และถูกประหารชีวิตเมื่อเวลา 17.30 โดยใช้กระสุนจำนวน 8 นัด นายมุ่ย จุ้ยเจริญทำหน้าที่เพชฌฆาต หลังจากการประหารสภากาชาดได้ผ่าตัดเอาดวงตาเขาไปใช้ทำประโยชน์ต่อไป(ยินยอมบริจาคดวงตา)

4. น้อย หรือ พิทักษ์ วิลากลาง อายุ 29 ปี และ มนัส อนุจะนำ อายุ 22 ปี (อายุตามหนังสือพิมพ์วันวันที่ประหารชีวิต)  ห้านักโทษ ฆ่าแขวนคอที่คุกเชียงใหม่
 
นช. น้อย หรือพิทักษ์ วิลากลาง หมายเลขประจำตัว ๓๘/๑๖ และ นช.มนัส อนุจะนำ หมายเลขประจำตัว ๓๙/๑๖ รายที่ 184 และ 185



ก่อนจะเริ่มคดีนี้ต้องย้อนประวัติของน้อยหรือพิทักษ์ก่อน
นช.น้อยได้ติดคุกในคดีฆ่าคนตายและรับโทษจำคุก 15 ปีที่เรือนจำจังหวัดลำพูน แต่ว่าในวันที่ 8 ตุลาคม 2514 น้อยและนช.แดง ปิยะดาได้ร่วมกับพวกวางแผนแหกคุก โดยได้จับตัวนายสมชาย สิขัณฑกสมิต พัศดีเรือนจำจังหวัดลำพูนเป็นตัวประกัน โดยตำรวจสามารถช่วยเหลือสมชายออกมาได้โดยรับข้อต่อรองที่จะย้ายนักโทษผู้วางแผนทั้งหมดมาเรือนตำจังหวัดเชียงใหม่

เหยื่อ: นช.พิณ พีระพงษ์ นักโทษคดีลักทรัพย์ถูกตัดสินโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน เขาชอบทำตัวเป็นสายให้ผู้คุมและคอยยุแหย่ให้จับผิดคนอื่นไปเรื่อย ทำให้ไม่เป็นที่ชอบของเดื่อนักโทษและมักจะมีปัญหาอยู่เสมอ

วันเกิดเหตุ24or25/12/1971
จากการสืบสวนของทางเรือนจำคือ
น้อย,อนุสรณ์ วิเศษศิริ,มนัส อุนจะนำ,ประสาน เอี่ยมสินธุ์,อนุศักดิ์ แสนสวน เพื่อนร่วมห้องขังของพิณที่ตึกขัง4 ห้องหมายเลข 3 ได้บอกให้พิณเขียนจดหมายลาตายแต่เขาไม่ยอม ทั้งห้าจึงทำร้ายพิณแล้วบังคับให้ดื่มน้ำล้างเท้าของทั้งห้า ด้วยความกลัวพิณจึงอฝยอมกิน หลังจากดื่มน้ำล้างเท้า ทั้งห้านำจดหมายที่มีใจความว่าพิณจะขอลาตายโดยการผูกคอ แต่พิณไม่ยอมทั้งห้าจึงบังคับให้พิณกินจดหมานแต่เขาก็ไม่ยอม นักโทษทั้งสี่จึงจับพิณขึงผืดแล้วน้อยใช้ผ้าขาวม้ารัดคอพิณจนตสยแล้วนำศพไปแขวนออำพรางกับลูกกรงห้องขัง แล้วแจ้งให้นานแพทย์มาตรวจศพโดยแพทย์ลงความเห็นว่าพิณผูกคอเอง

หลังจากเรื่องแดง
มีเพื่อนนักโทษหลายคนเป็นพยานว่าเห็นนักโทษทั้งห้ารุมสังหาพิณ และยังมีคนแจ้งว่านช.แดง ปิยะดาเป็นผู้บงการและเป็นคนเขียนจดหมายปลอม โดยแรงจูงใจคาดว่ามาจากพิณทำข้าวสารตกลงน้ำอาบของแดง ซึ่งแดงต้องการเป็นขาใหญ่ในคุกจึงเอาเรื่องนี้มาข่มขู่และาพิณเพื่ออวดศักดิดาซึ่งพิณได้ขอโทษมาแล้วหลายคร้ง
ฝั่งคำสารภาพของน้อย
น้อยให้การอย่างไม่สะทกสะท้านว่า พิณไม่ได้นอนในห้องที่เกิดเหตุ แต่วันเกิดเหตุพิณมาขอนอนด้วย แต่เขาไม่นอมจึงเกิดการชกต่อยกัน โดยก่อนหน้านี้เขามีเรื่องกับเพื่อนนักโทษเรื่องน้ำดื่ม  น้อยได้สั่งให้ลูกน้องของเขาปีนขึ้นไปบนขื่อแล้วปล่อยก้อนหินตกใส่หัวพิณจนสลบแล้วทั้งห้าก็ช่วยกันฆ่ารัดคอพิณโดยแขวนได้กับขื่อแล้วปล่อยให้ตาย

ทางตำรวจเชียงใหม่กับเจ้าหน้าที่เรือนจำได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของน้อยเป็นการกระำที่ถือว่าโหดเหี้ยมที่สุดโดยไม่เข็ดหลาบต่อโทษฑัณฑ์ จึงนำเสนอสำนวนและประวัติส่งให้คณะปฎิวัติพิจารณาโทษ(หัวหน้าคณะปฎิวัติคือจอมพลถนอม)
ส่วนนักโทษคนอื่นๆจะพิจารณาตามความหนักเบา

ในวันที่ 2 มกราคม นายวิศิษฐ์ ไชยพร ผู้ว่าเชียงใหม่ กล่าวว่าเขายังไม่ได้รับรายงาน
เขาให้ความสนใจในคดีนี้และกล่าวว่า"ผมเป็นคนชอบเด็ดขาดเหมือนกัน เมื่อผิดจริง จะเอาไว้ทําไม เลี้ยงไม่ได้แล้ว ขึ้นเอาไว้เรือนจํากลางเชียงใหม่ก็จะต้องมีเรื่องเดือดร้อนอีกต่อไป อย่างยากที่จะจบสิ้น ถ้าเรื่องมาถึงผมเห็นว่าเป็่นการสมควรแล้วก็จะรีบเสนอ ไปทางนครหลวง อย่างไม่ชักช้า"

ซึ่งผลก็คือคณะปฎิวัติไม่น่าจะพิจารณาเรื่อฃหรือไม่ก็ถูกส่งกลับเพราะทั้งห้าไม่ได้ถูกคณะปฎิวัติใช้คำสั่งประหารแต่อย่างใด หากถูกคำสั่งประหารจริง น้อยน่าจะถูกยิงเป้าที่คุกเชียงใหม่
เกร็ดน่ารู้ เรือนจำกลางเชียฃใหม่เคยมีประหารด้วยการยิงเป้าครั้งเดียสคือนช.ดอน เกิดเป็งคดีย่ำยีแล้วฆ่าเด็กที่ริมแม่น้ำปิงโดนถูกประหารตามมาตรา 21  เมื่อปี 2520 
การพิจารณาคดี
คดีถูกพิจารณาในศาลทหารทำหน้าที่เป็นศาลพลเรือน ไม่มีอุทธรณ์ฎีกา มีชั้นเดียว แต่โทษประหารขออภัยโทษได้

ในวันที่ 29 ธันวาคม 2515 ช่วงบ่าย
ศาลมณฑลทหารบกที่ 7 จังหวัดเชียงใหม่ (ศาลจังหวัดเชียฃใหม่) ได้พิพากษาประหารจำเลยทั้ง5 (คนที่ไปรุมฆ่าพิณ) โดยไม่มีการลดหย่อนโทษ โดยเห็นว่าการกระทำการโดยส่อจิตใจอาชญกรโดยแท้ 
ภาพประกอบ

ทั้งห้าได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2516 ฎีกาของมนัสและน้อยถูกยก ส่วนประสาน,อนุศักดิ์ และอนุสรณ์ไม่มีชื่อในทำเนียบผู้ถูกประหารแปลว่า ร อ ด
ในวันที่ 25 มกราคม น้อยและมนัสถูกนำไปตัวไปยังเรือนจำกลางบางขวางและถูกประหารชีวิตในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2515 พร้อมนักโทษอีก3 คน

น้อยถูกประหารชีวิตเมื่อเวลา 17.35 น. โดยนายมุ่ย จุ้ยเจริญ
มนัสถูกประหารเมื่อเวลา 17.46 โดยนายเพี้ยน คนแรงดี

5. ชาญ เอ่งฉ้วน รักต้องฆ่า 

นช.ชาญ หรือไข่ เอ่งฉ้วน อายุประมาณ 37 ปี หมายเลขประจำตัว๓๑/๑๕ รายที่ 188


อันนี้ข่าวของคดี เอาไว้อ่านประกอบ

นายชาญเป็นราษฎรบ้านเลขที่ 139 ตำบลไฝไทย อำเภอเมืองกระบี่  เขาได้หลงรักนางสาวประเสริฐ สายนุ้ย หลานสาวนายบำรุง บูก๋ง คนในหมู่บ้านเดียวกัน เขาได้ส่งคนไปสู่ขอนางสาวประเสริฐ แต่ว่านายบำรุง ผู้เป็นพ่อตาไม่ยอม
ความรักแปรเป็นความแค้น คนที่ไม่เกี่ยวข้องจะต้องเป็นเหยื่อของเขา

ในช่วงเช้าของวันที่ 8 กันยายน 2514 ระหว่างที่นางสาวสุเมตตา นูก๋ง ลูกสาวของบำรุง วัย 15 ปี กำลังถือกระเป๋าเข้าโรงเรียนอำมาตย์กุล ชาญได้ระบายแค้นโดยการใช้ปืนที่ไม่มีในอนุญาตกระหน่ำยิงเธอจนเสียชีวิจที่หน้าประตูโรงเรียน ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอกระบี่ได้จับกุมชาญในทันที เขาให้การีบสารภาพทุกข้อหา
ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2514 ศาลจังหวัดกระบี่ได้ตัดสินประหารชาญในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดนไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่มีการลดหย่อนโทษ เมื่อเขาฟังคำพิพากษาเขาถึงกับหน้าถอดสี โดยในศาลมีครูและนักเรียนหขอฃโรงเรียนอำมาตย์กุลหลายคนไปฟังคำพิพากษา

ศาลได้สู้คดีถึง3ศาลและศาลฎีกาได้พิพากษายืนประหาร เขาทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้า แต่ก็ถูกสั่งยกในปีพ.ศ. 2516 

ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2517  เรือนจำกลางบางขวางได้เบิกตัวนักโทษจำนวน5คนได้แก่ น้อยและมนัส ฆ่าเพื่อนนักโทษที่เชียงใหม่,สมจิตร สำเนียงดี ปล้นฆ่า ,สม จันทร์ติ๊บ ปล้นฆ่าที่เชียงราย ถูกศาลทหารตัดสิน และชาญ เอ่งฉ้วน
ชาญถูกประหารชีวิตเมื่เวลา  18.35 น. โดยนายมุ่ย จุ้ยเจริญ 

บทปิดท้าย
ถ้าผมเจอข้อมูลของบัณฑิตหรือรายอื่นๆที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักผมจะเอามาเผยแพร่ในอนาคต ใบ้ว่ามี2 วิเชียรคดีฆ่า แล้วก็มีบัณฑิต รักษ์พันธ์ ส่วนพ่อค้ายาก็จะมีเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่