สลดช้างตายคาซากไม้ เชียงใหม่ท่วมกระจายวง สถานีขนส่งอ่วม บางจุดน้ำสูง 1-2 ม. โอด หนักสุดในชีวิต.
https://www.matichon.co.th/region/news_4828914
สลดช้างตายคาซากไม้ เชียงใหม่ท่วมกระจายวงกว้าง สถานีขนส่งอ่วม บางจุดน้ำสูง 1-2 ม. โอด หนักสุดในชีวิต
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่ว่า มวลน้ำ 646 ลบ.ม./วินาที ได้ไหลเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ณ สถานีวัดระดับน้ำสะพานนวรัฐ หรือ P1 สูงสุดเมื่อเวลา 02.00 น. วัดระดับน้ำได้ 5.25 เมตร และทรงตัวอยู่จนถึงเวลา 05.00 น. ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับขึ้นมาอีก 2 เซนติเมตร และชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร จนล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. ทรงตัวที่ 5.28 เมตร
โดยในช่วงที่ระดับน้ำขึ้นสูงต่อเนื่องด้วยความเร็วและแรง ทำให้พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายที่เทศบาลนครเชียงใหม่ทำไว้ป้องกันการไหลทะลักเข้าสู่ตัวเมืองพังลงไหลตามกันมาตลอดแนวแม่น้ำปิง ตั้งแต่พนังที่ตำรวจภูรภาค 5 ย่านเชียงใหม่แลนด์ และบริเวณตลาดวโรรส หรือกาดหลวง ทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมผิวถนน ร้านค้า บ้านเรือนประชาชนแบบวงกว้าง ในจุดที่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมมาก่อน ทั้งถนนสายท่าแพ ลอยเคราะห์ ศรีดอนไชย เจริญเมือง แก้วนวรัฐ สี่แยกศาลเด็ก
รวมถึงสถานีขนส่งหนองหอยและถนนหนองหอยตลอดสาย ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักอีกแห่ง แต่ไม่สามารถขวางทางไปของน้ำได้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากติดค้างอยู่ตามถนนและในโรงแรมหลายแห่ง ไม่สามารถเข้าและออกได้ เนื่องจากมีการปิดถนนเกือบทุกเส้นทาง เพราะบางจุดที่เป็นพื้นที่ต่ำน้ำท่วมสูงกว่า 1-2 เมตร รถใหญ่ผ่านไม่ได้ ต้องใช้เรือในการสัญจรเท่านั้น
บริเวณถนนอัษฎาธร หน้าโครงการตลาดจริงใจมาเก็ต สี่แยกที่นอนปีนัง พ่อค้าแม่ค้าที่ขนพืชผักผลไม้ไปขายที่ตลาดเมืองใหม่ ต้องย้ายมาขายริมถนนอัษฎาธร เพราะตลาดเมืองใหม่ที่ตั้งอยู่ริมน้ำปิงระดับน้ำท่วมสูง ขณะที่บริเวณถนนอัษฎาธรเอง น้ำก็เริ่มทะลักท่วม เนื่องจากคลองแม่ข่ามีน้ำท่วมสูงเพราะแม่น้ำปิงหนุน
พ่อค้าแม่ค้าบอกว่า ตั้งแต่นำของมาขายตลาดเมืองใหม่ไม่เคยเจอน้ำท่วมสูงขนาดนี้ ขับรถจาก จ.แม่ฮ่องสอนมาถึงเชียงใหม่เวลา 01.00 น. ก็เข้าตลาดไม่ได้แล้ว พ่อค้าแม่ค้าจึงชวนกันมาเปิดท้ายขายผักบนถนนอัษฎาธรแทน ซึ่งลูกค้าก็โทรมาสอบถามและตามมาซื้อกันที่นี่
ขณะที่ย่านสันป่าข่อย ตำบลวัดเกต ระดับน้ำปิงที่ท่วมสูง ทำให้ชาวบ้านต้องเร่งขนย้ายทรัพย์สินไปไว้บนที่สูง และอพยพออกมาจากบ้านกันแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือและเร่งอพยพชาวบ้านออกไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนจนกว่าระดับน้ำปิงจะลดลง
ที่น่าสลดใจ คือ ควาญช้างของมูลนิธิสุนัขและแมวเชียงรายที่ออกค้นหาช้างที่ลอยไปกับกระแสน้ำแม่แตง ที่โหมเข้าท่วมปางช้าง แม่แตง หรือ Elephant Nature Park มูลนิธิศูนยย์อนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม บ้านกื๊ดช้าง อ.แม่แตง ตั้งแต่เย็นวันที่ 2 ตลุาคม ต่อเนื่องเช้าวันที่ 3 ตุลาคมนั้น เช้านี้มีการพบช้างหลายเชือกนอนตายอยู่กลางกองซากเศษไม้ ที่พัดมากับน้ำ เป็นภาพที่น่าสงสารอย่างมากต่อผู้พบเห็น
ในขณะที่ปางช้างแม่สา อ.แม่ริม ซึ่งประสบกับน้ำแม่สาท่วม ร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากหลายจุดดินสไลด์และอาคารมีความเสี่ยงจะล้มเพราะดินทรุด สะพานจะขาด ไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดขาด
ในขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 06.00 น. วันเดียวกัน นาย
ทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อม น.อ.ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมภารกิจอากาศยานปีกหมุนกองทัพอากาศ ขึ้นบินตรวจสภาพพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ตัวเมืองเชียงใหม่ และเส้นทางแม่น้ำปิงจากตัวเมือง ไปจนถึงอำเภอแม่แตง โดยพบว่าน้ำปิงได้เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ริมตลิ่งและขยายวงกว้างไปในหลายพื้นที่
นอกจากนี้ยังบินสำรวจบริเวณลำน้ำแตง พื้นที่ตำบลกื้ดช้าง อำเภอแม่แตง และบริเวณศูนย์บริบาลช้างของมูลนิธิศูนย์อนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม ที่ถูกน้ำท่วมสูง จนต้องอพยพช้างกว่า 100 เชือก หมา แมวและสัตว์พิการ ป่วย กว่า 3 พันตัวออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย แม่น้ำมีสีแดงเข้ม ไหลเชี่ยวมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของฝนยังคงคลุมอยู่ใน 4 อำเภอ คือ แม่แตง พร้าว แม่ริม และสะเมิง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวเมืองเชียงใหม่ เนื่องจากเป็นต้นน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง โดยศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือรายงาน ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเฉลี่ย 40-60% จากอิทธิพลของความกดอากาศสูงกำลังปานกลางที่แผ่ลงมาปกคลุม
ปภ. เตือน 11 จังหวัด ระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ 6 ต.ค. รีบยกของขึ้นที่สูง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9445606
ปภ. ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง รวม กทม. เฝ้าระวังระดับน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ 6 ต.ค. เป็นต้นไป ยกของขึ้นที่สูงด่วน
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2567 นาย
ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้รับแจ้งจากกรมชลประทานว่า ประเทศไทยตอนบนมีลักษณะอากาศแปรปรวน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
โดยปัจจุบันปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจากการคาดการณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า 1-7 วันข้างหน้า คาดว่าในวันที่ 11 ต.ค. ที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน ประมาณ 2,200 – 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำ Sideflow ประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ร่วมกับคาดการณ์ปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง ประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และรับน้ำเข้าระบบกรมชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ในอัตรา 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราไม่เกิน 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะมีการระบายเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได ส่งผลให้พื้นที่ริมน้ำมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 0.60 – 0.70 เมตร
ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี อ.เมืองสิงห์บุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี วัดไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง ต.โพนางดำ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท วัดเสือข้าม อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และอ.ป่าโมก จ.อ่างทอง อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.เป็นต้นไป
กอปภ.ก. จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ
ตลอดจนประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและบริเวณจุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงเตรียมพร้อมในการขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้พ้นจากแนวน้ำท่วม
นอกจากนี้ ยังได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับประชาชน ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา
วิเคราะห์ม็อบล้มรัฐบาล ยังจุดติดหรือไม่? ปลายทางออกหน้าไหนได้บ้าง?
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/234029
วิเคราะห์ม็อบล้มรัฐบาล การเตรียมเดินลงถนนยังจุดติดอยู่หรือไม่? ปลายทางของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกหน้าไหนได้บ้าง หากม็อบประสบความสำเร็จ?
การเมืองไทยตลอดช่วงเวลานี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ “นางสาวแ
พทองธาร ชินวัตร” ต้องเผชิญกับอุปสรรคคลื่นลมที่ถาโถมเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิติสงคราม ปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ปัญหานโยบายเรือธงที่ไม่ตรงปก รวมถึงปัญหานโยบายอื่น ๆ
ทว่ามีอีกหนึ่งอุปสรรคล่าสุด กับกรณีที่มีการเตรียมปลุกระดมมวลชนขึ้นมาลงถนนต่อต้านรัฐบาลนี้ นำโดย “
นายสนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า จะส่งผลให้เก้าอี้ของรัฐบาลนี้สั่นคลอนหรือไม่?
รศ.ดร.
โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ นาย
สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมพูดคุยในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk
รศ.ดร.
โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมพูดคุยในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk พร้อมวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
เบรก "สนธิ" ลงถนน มอง 3 ประเด็นที่เรียกร้องยังจุดไม่ติด
รศ.ดร.
โอฬาร กล่าวว่า นาย
สนธิเป็นอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรที่มีประสบการณ์ขับไล่รัฐบาลมาหลายคน โดยเฉพาะรัฐบาบในปีกของนาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความสามารถในการสร้างม็อบ และเป็นคนที่อยู่หลังการเมืองมาตลอด เข้าใจการเมืองไทยและคนการเมืองทั้งตื้นลึกหนาบาง ทำให้เกิดความกังวลใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
ทว่าหากดูเหตุผลการลงถนนที่นาย
สนธิพยายามจะอ้างถึง 3 เรื่อง คือ เรื่องค่าแรงพี่น้องชาวพม่า คดีลอบสังหารตน และการคอร์รัปชันของรัฐบาล ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ดูไม่มีเหตุผลมากพอสำหรับการลงถนน จึงมองว่ายังไม่สามารถจุดระดมมวลชนได้
อีกทั้งเงื่อนไขหลังปี 2557 เป็นต้นไป บริบทได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง สังคมได้บทเรียนว่าการชุมนุมแต่ละครั้งคนที่สูญเสียคือประชาชน คนที่ได้อำนาจคือแกนนำ และดีไม่ดีแกนนำไม่ได้อำนาจ ถูกจองจำแทน จึงมองว่าสถานการณ์โดยรวมยังไม่ถือว่าสุกงอมพอ
ด้าน นาย
สติธร กล่าวว่า ในแง่ของผู้นำ ตอนนี้ยังไม่เห็นใครที่มีโอกาสทำให้ม็อบมีพลังได้ เท่ากับ นาย
สนธิ และ นาย
จตุพร พรหมพันธุ์ วึ่งทั้งคู่เป็นตำนานของการเมืองและความขัดแย้งแบบสีเหลือง-แดงของประเทศ ถือว่ายืนหนึ่งทั้งคู่ ซึ่งทั้ง 2 มาในยุคเดียวกัน ปักหลักพักค้างอยู่นาน แบะมีการเลี้ยงกระแสให้สามารถยืนยันต่อสู้กับรัฐบาลได้ จนสถานการณ์สุกงอม
แต่สิ่งที่ทั้งสองมีนอกเหนือจากการเป็นแกนนำ ก็พบว่ากว่าทั้งสองจะสามารถปลุกระดมมวลชนขึ้นมาได้ ต้องมีประเด็น ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นที่นายสนธิหยิบยกขึ้นมานั้นไม่เพียงพอ ส่วนตัวมองว่าแม้เป็นเรื่องของชั้น 14 ก็ยังไม่เพียงพอ
JJNY : สลดช้างตายคาซากไม้│ปภ. เตือน 11 จังหวัด รีบยกของขึ้นที่สูง│วิเคราะห์ม็อบล้มรัฐบาล│ถล่มเป้าหมายฮูตีในเยเมน
https://www.matichon.co.th/region/news_4828914
สลดช้างตายคาซากไม้ เชียงใหม่ท่วมกระจายวงกว้าง สถานีขนส่งอ่วม บางจุดน้ำสูง 1-2 ม. โอด หนักสุดในชีวิต
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่ว่า มวลน้ำ 646 ลบ.ม./วินาที ได้ไหลเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ณ สถานีวัดระดับน้ำสะพานนวรัฐ หรือ P1 สูงสุดเมื่อเวลา 02.00 น. วัดระดับน้ำได้ 5.25 เมตร และทรงตัวอยู่จนถึงเวลา 05.00 น. ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับขึ้นมาอีก 2 เซนติเมตร และชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร จนล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. ทรงตัวที่ 5.28 เมตร
โดยในช่วงที่ระดับน้ำขึ้นสูงต่อเนื่องด้วยความเร็วและแรง ทำให้พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายที่เทศบาลนครเชียงใหม่ทำไว้ป้องกันการไหลทะลักเข้าสู่ตัวเมืองพังลงไหลตามกันมาตลอดแนวแม่น้ำปิง ตั้งแต่พนังที่ตำรวจภูรภาค 5 ย่านเชียงใหม่แลนด์ และบริเวณตลาดวโรรส หรือกาดหลวง ทำให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมผิวถนน ร้านค้า บ้านเรือนประชาชนแบบวงกว้าง ในจุดที่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมมาก่อน ทั้งถนนสายท่าแพ ลอยเคราะห์ ศรีดอนไชย เจริญเมือง แก้วนวรัฐ สี่แยกศาลเด็ก
รวมถึงสถานีขนส่งหนองหอยและถนนหนองหอยตลอดสาย ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักอีกแห่ง แต่ไม่สามารถขวางทางไปของน้ำได้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากติดค้างอยู่ตามถนนและในโรงแรมหลายแห่ง ไม่สามารถเข้าและออกได้ เนื่องจากมีการปิดถนนเกือบทุกเส้นทาง เพราะบางจุดที่เป็นพื้นที่ต่ำน้ำท่วมสูงกว่า 1-2 เมตร รถใหญ่ผ่านไม่ได้ ต้องใช้เรือในการสัญจรเท่านั้น
บริเวณถนนอัษฎาธร หน้าโครงการตลาดจริงใจมาเก็ต สี่แยกที่นอนปีนัง พ่อค้าแม่ค้าที่ขนพืชผักผลไม้ไปขายที่ตลาดเมืองใหม่ ต้องย้ายมาขายริมถนนอัษฎาธร เพราะตลาดเมืองใหม่ที่ตั้งอยู่ริมน้ำปิงระดับน้ำท่วมสูง ขณะที่บริเวณถนนอัษฎาธรเอง น้ำก็เริ่มทะลักท่วม เนื่องจากคลองแม่ข่ามีน้ำท่วมสูงเพราะแม่น้ำปิงหนุน
พ่อค้าแม่ค้าบอกว่า ตั้งแต่นำของมาขายตลาดเมืองใหม่ไม่เคยเจอน้ำท่วมสูงขนาดนี้ ขับรถจาก จ.แม่ฮ่องสอนมาถึงเชียงใหม่เวลา 01.00 น. ก็เข้าตลาดไม่ได้แล้ว พ่อค้าแม่ค้าจึงชวนกันมาเปิดท้ายขายผักบนถนนอัษฎาธรแทน ซึ่งลูกค้าก็โทรมาสอบถามและตามมาซื้อกันที่นี่
ขณะที่ย่านสันป่าข่อย ตำบลวัดเกต ระดับน้ำปิงที่ท่วมสูง ทำให้ชาวบ้านต้องเร่งขนย้ายทรัพย์สินไปไว้บนที่สูง และอพยพออกมาจากบ้านกันแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือและเร่งอพยพชาวบ้านออกไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนจนกว่าระดับน้ำปิงจะลดลง
ที่น่าสลดใจ คือ ควาญช้างของมูลนิธิสุนัขและแมวเชียงรายที่ออกค้นหาช้างที่ลอยไปกับกระแสน้ำแม่แตง ที่โหมเข้าท่วมปางช้าง แม่แตง หรือ Elephant Nature Park มูลนิธิศูนยย์อนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม บ้านกื๊ดช้าง อ.แม่แตง ตั้งแต่เย็นวันที่ 2 ตลุาคม ต่อเนื่องเช้าวันที่ 3 ตุลาคมนั้น เช้านี้มีการพบช้างหลายเชือกนอนตายอยู่กลางกองซากเศษไม้ ที่พัดมากับน้ำ เป็นภาพที่น่าสงสารอย่างมากต่อผู้พบเห็น
ในขณะที่ปางช้างแม่สา อ.แม่ริม ซึ่งประสบกับน้ำแม่สาท่วม ร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากหลายจุดดินสไลด์และอาคารมีความเสี่ยงจะล้มเพราะดินทรุด สะพานจะขาด ไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดขาด
ในขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 06.00 น. วันเดียวกัน นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อม น.อ.ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมภารกิจอากาศยานปีกหมุนกองทัพอากาศ ขึ้นบินตรวจสภาพพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ตัวเมืองเชียงใหม่ และเส้นทางแม่น้ำปิงจากตัวเมือง ไปจนถึงอำเภอแม่แตง โดยพบว่าน้ำปิงได้เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ริมตลิ่งและขยายวงกว้างไปในหลายพื้นที่
นอกจากนี้ยังบินสำรวจบริเวณลำน้ำแตง พื้นที่ตำบลกื้ดช้าง อำเภอแม่แตง และบริเวณศูนย์บริบาลช้างของมูลนิธิศูนย์อนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม ที่ถูกน้ำท่วมสูง จนต้องอพยพช้างกว่า 100 เชือก หมา แมวและสัตว์พิการ ป่วย กว่า 3 พันตัวออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย แม่น้ำมีสีแดงเข้ม ไหลเชี่ยวมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของฝนยังคงคลุมอยู่ใน 4 อำเภอ คือ แม่แตง พร้าว แม่ริม และสะเมิง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวเมืองเชียงใหม่ เนื่องจากเป็นต้นน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง โดยศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือรายงาน ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเฉลี่ย 40-60% จากอิทธิพลของความกดอากาศสูงกำลังปานกลางที่แผ่ลงมาปกคลุม
ปภ. เตือน 11 จังหวัด ระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ 6 ต.ค. รีบยกของขึ้นที่สูง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9445606
ปภ. ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง รวม กทม. เฝ้าระวังระดับน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ 6 ต.ค. เป็นต้นไป ยกของขึ้นที่สูงด่วน
เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2567 นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้รับแจ้งจากกรมชลประทานว่า ประเทศไทยตอนบนมีลักษณะอากาศแปรปรวน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
โดยปัจจุบันปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจากการคาดการณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า 1-7 วันข้างหน้า คาดว่าในวันที่ 11 ต.ค. ที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน ประมาณ 2,200 – 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำ Sideflow ประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ร่วมกับคาดการณ์ปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง ประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และรับน้ำเข้าระบบกรมชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ในอัตรา 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราไม่เกิน 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะมีการระบายเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได ส่งผลให้พื้นที่ริมน้ำมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 0.60 – 0.70 เมตร
ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี อ.เมืองสิงห์บุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี วัดไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง ต.โพนางดำ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท วัดเสือข้าม อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และอ.ป่าโมก จ.อ่างทอง อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.เป็นต้นไป
กอปภ.ก. จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ
ตลอดจนประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและบริเวณจุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงเตรียมพร้อมในการขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้พ้นจากแนวน้ำท่วม
นอกจากนี้ ยังได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับประชาชน ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา
วิเคราะห์ม็อบล้มรัฐบาล ยังจุดติดหรือไม่? ปลายทางออกหน้าไหนได้บ้าง?
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/234029
วิเคราะห์ม็อบล้มรัฐบาล การเตรียมเดินลงถนนยังจุดติดอยู่หรือไม่? ปลายทางของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยออกหน้าไหนได้บ้าง หากม็อบประสบความสำเร็จ?
การเมืองไทยตลอดช่วงเวลานี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” ต้องเผชิญกับอุปสรรคคลื่นลมที่ถาโถมเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิติสงคราม ปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ปัญหานโยบายเรือธงที่ไม่ตรงปก รวมถึงปัญหานโยบายอื่น ๆ
ทว่ามีอีกหนึ่งอุปสรรคล่าสุด กับกรณีที่มีการเตรียมปลุกระดมมวลชนขึ้นมาลงถนนต่อต้านรัฐบาลนี้ นำโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า จะส่งผลให้เก้าอี้ของรัฐบาลนี้สั่นคลอนหรือไม่?
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมพูดคุยในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมพูดคุยในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk พร้อมวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
เบรก "สนธิ" ลงถนน มอง 3 ประเด็นที่เรียกร้องยังจุดไม่ติด
รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า นายสนธิเป็นอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรที่มีประสบการณ์ขับไล่รัฐบาลมาหลายคน โดยเฉพาะรัฐบาบในปีกของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความสามารถในการสร้างม็อบ และเป็นคนที่อยู่หลังการเมืองมาตลอด เข้าใจการเมืองไทยและคนการเมืองทั้งตื้นลึกหนาบาง ทำให้เกิดความกังวลใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
ทว่าหากดูเหตุผลการลงถนนที่นายสนธิพยายามจะอ้างถึง 3 เรื่อง คือ เรื่องค่าแรงพี่น้องชาวพม่า คดีลอบสังหารตน และการคอร์รัปชันของรัฐบาล ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ดูไม่มีเหตุผลมากพอสำหรับการลงถนน จึงมองว่ายังไม่สามารถจุดระดมมวลชนได้
อีกทั้งเงื่อนไขหลังปี 2557 เป็นต้นไป บริบทได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง สังคมได้บทเรียนว่าการชุมนุมแต่ละครั้งคนที่สูญเสียคือประชาชน คนที่ได้อำนาจคือแกนนำ และดีไม่ดีแกนนำไม่ได้อำนาจ ถูกจองจำแทน จึงมองว่าสถานการณ์โดยรวมยังไม่ถือว่าสุกงอมพอ
ด้าน นายสติธร กล่าวว่า ในแง่ของผู้นำ ตอนนี้ยังไม่เห็นใครที่มีโอกาสทำให้ม็อบมีพลังได้ เท่ากับ นายสนธิ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วึ่งทั้งคู่เป็นตำนานของการเมืองและความขัดแย้งแบบสีเหลือง-แดงของประเทศ ถือว่ายืนหนึ่งทั้งคู่ ซึ่งทั้ง 2 มาในยุคเดียวกัน ปักหลักพักค้างอยู่นาน แบะมีการเลี้ยงกระแสให้สามารถยืนยันต่อสู้กับรัฐบาลได้ จนสถานการณ์สุกงอม
แต่สิ่งที่ทั้งสองมีนอกเหนือจากการเป็นแกนนำ ก็พบว่ากว่าทั้งสองจะสามารถปลุกระดมมวลชนขึ้นมาได้ ต้องมีประเด็น ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นที่นายสนธิหยิบยกขึ้นมานั้นไม่เพียงพอ ส่วนตัวมองว่าแม้เป็นเรื่องของชั้น 14 ก็ยังไม่เพียงพอ