ตามความเชื่อพุทธ อธิบายการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไรบ้างครับ

มีคนตั้งคำถามว่า ถ้ามีเวียนไหว้ตายเกิดจริง ทำไมมนุษย์บนโลกจากอดีตถึงปัจจุบันมีเพิ่มมากขึ้น

มันก็เลยทำให้สงสัย และอยากรู้เหมือนกันว่าพระไตรปิฎกอธิบายไว้รึป่าว

Edit เพิ่มเติม*************
********ต้องขอบพระคุณทุกคอมเมนต์ที่ได้เข้ามาให้ความรู้ แม้บางคอมเมนต์อาจจะมีเห็นต่างกันบ้าง แต่ภาพรวมแล้วก็มีจุดร่วมกันอยู่ หากท่านใดมีข้อมูลข้อเท็จจริงตามพระไตรปิฎก ขอรบกวนท่านอ้างอิงแหล่งที่มาว่ากล่าวในบทไหนให้หน่อยนะครับ ผมจะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ ขอบพระคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 37
การถกเถียง ตายแล้วเกิด หรือไม่เกิด
ผู้เรียนธรรม ควรรู้ ควรทำความเข้าใจ ว่า
                           โดยสมมติ เรียกว่า สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา นั้น เป็นภาษาสมมติเพื่อให้พูดสื่อสารแล้วเข้าใจ
                           โดยปรมัตถ์ ไม่มีบุคคล ไม่มีสัตว์ มีเพียงกระแสธรรม คือกระแสปฏิจจสมุปบาท รูป นาม ขันธ์ ๕
                           
                           ปฎิจจสมุปบาท คือ กระบวนธรรมเหตุปัจจัย ของสังสารวัฏ
                                อวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือเหตุปัจจัยให้เกิดในภพใหม่
                                อวิชชาดับ ตัณหาดับ ไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดในภพใหม่ นี้คือลักษณะของบัณฑิตที่มาในพาลปัณฑิตสูตร
                                มีอวิชชา ตัณหา เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดในภพใหม่ นี้คือลักษณะของคนพาลที่มาในพาลปัณฑิตสูตร
                                พาลปัณฑิตสูตร คือตัวอย่างของปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ


ตัวอย่าง : พุทธทาสกล่าวถึง การเกิดใหม่ตามเหตุปัจจัย
ชื่อคลิปยูทู้ป : ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด #ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านพุทธทาสภิกขุ #ความตาย #ตายแล้วไปไหน
บันทึกที่เวลา 1.25
พุทธทาส : จะต้องพูดอย่างถูกต้อง คือว่า มันแล้วแต่เหตุปัจจัย ตามกฎของอิทัปปัจจยตา
              ถ้ามีเหตุปัจจัยอย่างนี้มันก็เกิด ไม่มีเหตุปัจจัยอย่างนี้มันก็ไม่เกิด

               ดีงนั้นเราจึงพูดว่า ถ้ามีเหตุปัจจัยก็เกิด ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่เกิด
              อย่าพูดโดยส่วนเดียวลงไปว่าเกิดหรือไม่เกิดมันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ 1.56

              3.46 ไม่เคยพูดที่ไหนว่าตายแล้วไม่เกิด แต่มีคนเอาไปพูดกันเองหาว่าอาตมาพูด ....โยนบาปมาใส่ให้  อย่างนี้ก็มี 3.59

              อาตมาไม่เคยพูดว่าตายแล้วไม่เกิด มีแต่จะพูดว่าแล้วแต่เหตุปัจจัย

              ถ้าพูดอย่างปรมัตถธรรมมันไม่มีคนที่อยู่ ตายหรือเกิด มันไม่มีคน
              มีแต่ธาตุธรรมชาติล้วน ๆ เรียกว่าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่เรียกว่าคนตายแล้วเกิด

              4.35 พูดอย่างสมมติ ที่เรียกว่าคน มันก็ต้องมีปัญหาตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด
              ก็ยังต้องพูดว่าแล้วแต่ปัจจัย อย่าพูดว่า เกิดหรือไม่เกิดโดยส่วนเดียว นี่แหละ ขอทำความเข้าใจกันอย่างนี้ 4.53

              แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าพูดกับคนทั่ว ๆ ไป คนปุถุชนสามัญธรรมดาทั่ว ๆ ไป
              การพูดว่าตายแล้วเกิดมีประโยชน์กว่าที่จะพูดว่าตายแล้วไม่เกิด
              เพราะว่าถ้าตายแล้วต้องเกิด เขาจะได้เตรียมทำความดีไว้มาก ๆ เพื่อที่จะไปเกิดดี
              เนี่ยะมันมีประโยชน์อย่างนี้ ขอให้สนใจเรื่องนี้ไว้ในลักษณะอย่างนี้

              รากฐานของปุถุชนคนสามัญธรรมดาทั่วไปในโลกที่มีความเชื่อว่าตายแล้วเกิดนั้นมีประโยชน์กว่าที่จะเชื่อว่าตายแล้วไม่เกิด
              แต่ถ้าพูดเป็นความจริงแล้วมันพูด(แบบนั้น)ไม่ได้
              มันต้องพูดว่า แล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย

              ดีกว่านั้น ก็ต้องพูดว่า มันไม่มีคนโว้ย...ที่นี่มันไม่มีคน มันไม่มีใครอยู่ มันไม่ได้มีใครตาย มันไม่มีใครเกิด
              มันมีแต่ธาตุตามธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ

              อาตมาขอยืนยันอย่างนี้ ขอซักซ้อมความเข้าใจอย่างนี้
              แล้วก็ขอแสดงตัวเองว่า ถูกด่าถูกว่า เป็นคนที่พูดว่าตายแล้วไม่เกิด..ไม่ใช่ความจริง ไม่มีความจริง
              ขอไปค้นดูเถิดในหนังสือที่พิมพ์แล้ว ในวิทยุ..ไม่มีเลย
              เอาละ เรื่องตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ยุติอย่างนี้
อ้างอิง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



กระบวนธรรมการสืบต่อแบบมีเหตุปัจจัยให้เกิดใหม่ นี่แหละเรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ“ ดั่งเช่นพาลปัณฑิตสูตร

สมเด็จ ป.อ.ปยุตฺโต ท่านได้ยกตัวอย่างอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ ไว้ในหนังสือพุทธธรรมหน้า 188 ถึง 189


อ่านทบทวนที่นี่ https://pantip.com/topic/42983437/comment26


ข้อสังเกตุของผู้รวบรวม (อาจผิดก็ได้)
การแสดงธรรมของพุทธทาสในคลิปนี้ ที่มีผู้ตัดทำคลิปสั้นมาลงในยูทู้ปนี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาท้าย ๆ ของชีวิตพุทธทาส
ที่ตั้งข้อสังเกตนี้ เพราะ มีหลักฐานเรื่องอื่น ๆ ที่ พุทธทาสแสดงธรรมไว้ช่วงท้ายของชีวิต แตกต่างไปจากช่วงก่อนหน้า


หลักฐานชั้นพุทธพจน์ พระตถาคตตรัส ปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติของพระตถาคต
พระไตรปิฎกบาลี มีคำว่า จุตูปปาตญาณ 21 เล่ม
คำนี้ก็เป็นที่ยอมรับว่าคือ บาลีพุทธพจน์ ที่แสดงถึงวัฏฏสงสาร (ชั้นพุทธพจน์)
ไม่ใช่คำที่ใคร ๆ จะปลอมปนใส่ไว้ในพระไตรปิฎกมากมาย
[เว้นแต่พวกที่เชื่อคำโกหกของพุทธทาส ที่ว่า มีพราหมณ์ปลอมปน-เนื่องจากพุทธทาสมีความเห็นขัดแย้งกับพระศาสดา]
คลิกอ่านที่นี่
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_seek.php?text=%A8%D8%B5%D9%BB%BB&book=1&bookZ=45


หลักฐานชั้นบาลีพุทธพจน์ พระศาสดาตรัส มีญาณหยั่งรู้การจุติ การอุบัติของหมู่สัตว์ เรียกว่า จุตูปปาตญาณ
คลิกอ่านที่นี่
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_seek.php?text=%A8%D8%B5%D9%BB%BB%D2%B5%AD%D2&book=1&bookZ=45
หลักฐานเหล่านี้ เป็นพทธพจน์ แสดงการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
ส่วนคนใด จะแปลความหมายให้แปลกแตกต่างหรือไม่ยอมรับ ก็สดแต่ปัญญาของผู้นั้น


หลักฐาน พระตาคตตรัส การเวียนว่ายตายเกิดตามเหตุปัจจัยของผู้ที่ยังมีเหตุให้เกิด สังสารวัฏนี้ยาวนาน
คำสืบค้น สํสาร
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_seek.php?text=%CA%ED%CA%D2%C3&book=1&bookZ=45


หลักฐาน สังสารวัฏนี้ยาวนานกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่มีใครรู้ได้
คำค้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/tipitaka_seek.php?text=%CA%D2%C3%B9%D5%E9&book=1&bookZ=45


ใครไม่ยอมรับการแสดงธรรมระดับพุทธพจน์ แสดงการเวียนว่ายตายเกิดตามเหตุปัจจัยข้ามภพข้ามชาติ
ก็ควรเรียกผู้นั้นว่า พวกนอกคำสอนของพระตถาคต มีความรู้เก่งเลิศเกินกว่าพระตถาคต

ในพระไตรปิฎกมีอีกมากมายครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่