โลกหมุนรอบตัวเธอ: ตะวัน-โฮลเด้น ในหนังสืออ่านนอกเวลา

คำถามจากคุณ LifeLearning : "เราอยากให้จขกท.ดูภาษากายของทั้งสองนะ ตะวันปฏิเสธในตอนแรก ต่อมามานะวอนขอ ตะวันร้องไห้นะ มานะน้อยใจ  ตะวันบอกเขาเลือกชีวิตไม่ได้แล้ว มานะจะเลือกเอง เราว่าในแง่จิตวิทยาน่าจะเห็นอะไรในความรู้สึกของทั้งสองคนที่ยอมปล่อยแรงขับดันทางเพศเหนือความคิดจริยธรรมที่เป็นเหตุผล  เป็นซิกมันด์ ฟรอยด์ให้ที ลองดูว่าตะวันตอนที่เกิดอารมณ์จะเหมือนโฮลเด้นในหนังสือนอกเวลาไหมนะ"
 
ความเห็น
โลกหมุนรอบตัวเธอ มีเรื่องราวที่ถูกกล่าวถึง
ในซีนชั้นเรียนอภิปรายนิยายวัยรุ่นเรื่อง "The Catcher in the Rye"
เทคนิกการประพันธ์  เรียกว่า ละครซ้อนละคร เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า แล้วนำมาตีความร่วมกัน
ถ้าเพื่อนๆ เคยดู Queen of Tears ซีรีย์ท็อปฟอร์มของเกาหลี ก็ใช้เทคนิกนี้
เรื่องเล่าเกี่ยวกับปราสาทที่เยอรมัน ทำให้เห็นมิติชีวิตของ Hong Hae-in 
เหตุที่นักประพันธ์ชอบใช้กลวิธีเหล่านี้ ย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยเช็คสเปียร์ ที่ใช้อย่างร่ำรวย
ทั้งสัญลักษณ์ และเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า เพื่อให้องค์ประกอบเหล่านี้ ขับเคลื่อน message ของเรื่อง
มากกว่าแค่พรรณนาโวหาร หรือ บทสนทนาชั้นเดียว
 
The Catcher in the Rye ความโดดเด่นคือ 1. ภาษา 2. ตัวละคร
ภาษาของนิยายเป็นภาษาความในใจของวัยรุ่นหนุ่ม บุคลิกคล้ายๆเรื่อง 4 Kings
สะท้อนถึงความไม่ลงตัวเกี่ยวกับโลกภายในจิตใจของเขา กับโลกของความจริง
ศิลปะการเขียนคือเขียนออกมาเป็นภาษาวัยรุ่นจริงๆ แบบหาคู่แข่งยาก
เค้าโชว์เหนือเรื่องภาษาของเด็กมีปัญหา
และแอบขำ เวลาโฮลเด้นบ่นนั่นบ่นนี่ ไม่มีอะไรที่สบอารมณ์ 
ทั้งที่ภาษาก็หยาบ แต่เป็นมุขให้คนอ่านขำได้
เราได้เห็นความละเอียดอ่อนในจิตใจเด็กหนุ่มเกกมะเหรก  
ยิ่งเขาปฏิเสธสังคม ไม่อาจยอมรับระบบโลกของผู้ใหญ่  
ถูกไล่ออกจากโรงเรียน พยายามหลีกหนีขึ้นรถไฟ ออกเดินทางไปเรื่อยๆ พักโรงแรม 
ในละคร ตะวันมองโฮลเด้นเป็นผู้แพ้  (เพราะเขาหนีจากสังคม แทนที่จะสู้)

ผู้เขียนบทหยิบมาใช้ใน "โลกหมุนรอบตัวเธอ" เพื่อให้ตัวละครเซ็ตเป้าหมาย  และเราได้มอง
ชีวิตในช่วงเวลาต่อมาของตัวละครหลังจากพวกเขาสร้างเป้าหมายให้ตัวเอง
ตะวันอธิบายในแนวๆว่า เธอจะไม่หนี แต่จะต่อสู้  ในสังคมที่ย่ำแย่ เพื่อเอาชนะ
-- เป็นนักข่าว ช่วยให้รู้สึกดี เพราะทำให้สังคมดีขึ้น ได้เปิดโปงสิ่งชั่วร้าย
เธอไม่ปฏิเสธสังคม หรือ ไม่หนีสังคมแบบโฮลเด้น
 
ผู้ชมได้เห็นลักษณะของตะวัน คือ เลือกทางที่จะชนะ แม้นั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆ
การเลือกพอล ทำให้เหนือกว่าเพนนี และได้เลื่อนชนชั้นทางสังคม
ส่วนมานะ ก็มีเป้าหมาย คือ เอาชนะใจตะวัน เมื่อไม่ได้ตะวัน ก็พยายามเอาชนะพอลด้วยเงิน
ส่วนชิน ต้องการเอาชนะในแบบของชิน 
(สมอง bad boy บางคนจีเนียส ตรรกะอ่านยาก
บางคนเป็นสุดยอด hacker  สุดยอดนักมวย  สุดยอดนายพล) 
 
ชื่อ The Catcher in the Rye หมายถึง
คนที่คอยจับเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งข้าวไรย์ ไม่ให้ตกหน้าผา
บทที่ 22 Holden บอกว่า เขาอยากเป็น “The Catcher in the Rye” 
มีความสุขกับการมองเด็กๆ วิ่งเล่นในทุ่ง คอยปกป้องห่างๆ ไม่ให้เป็นอันตราย 
ความหมายคือ ผู้ “save childhood ”  [ a rescuer of children]

Holden ไม่พร้อมจะก้าวไปสู่โลกวัยผู้ใหญ่ มองวัยเด็กคือวัยจริงใจไม่เสแสร้ง
ตะวันตอนตัดสินใจจุมพิตมานะ ทั้งที่ตนแต่งงานแล้ว
ทั้งสองกลับไปที่เขตแดนในวัยเด็ก นั่นคือ พาตัวเองออกจากพันธนาการ
ชีวิตในกรุงที่มีบทบาท หน้าที่ สถานะ มากำกับพฤติกรรม
ความคลุมเครือเรื่องเพศในความสัมพันธ์แบบเพื่อน 
มีมาตั้งแต่วัยรุ่น ลองย้อนกลับไปดูคลิปอีพีแรกๆ 
พฤติกรรมการเล่นแบบเด็กๆ กับเรื่องเพศมีมาตลอด
แม้แต่ตอนจูบแรก ก็กระอักกระอ่วนสำหรับคนดูทั่วไป 
 
บางคนชอบสังคมผู้ใหญ่เพราะชีวิตดูเข้ารูปเข้ารอย 
แต่บ้างก็อินกับชีวิตวัยเด็ก ที่มีอิสระ สนุกสนาน มีเรื่องต้องคิดน้อย
ไม่ต้องอยู่ในกรอบ มรรยาท ไม้บรรทัดจริยธรรมที่แต่ละคน ถือกันคนละเล่ม 
 ไม่ต้องดิ้นรนกับความสำเร็จ ไม่ต้องอุทิศเวลาเกือบทั้งหมดให้การหาเงินและอำนาจ
 
เหตุใดโฮลเด้นจึงกลัวสังคมผู้ใหญ่?  การอยู่รอดในสังคมผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบสูง
สามารถจัดการตัวเองให้อยู่ได้ในความซับซ้อน และต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง

แต่บางคนอยากแช่แข็งช่วงเวลาแห่งความสุขราวกับไอศกรีมที่ไม่มีวันละลาย
อย่างที่ยายนำเด็กต่างเพศ มาอยู่ด้วยกัน ทำให้มีคืนวันสดชื่น
เติมเต็มประสพการณ์ที่ตนเคยสูญเสียความรักในทำนองนี้ 
 
บทกวี  "Comin Thro' the Rye" เขียนโดย Robert Burns ซึ่ง Holden กล่าวถึงในนิยาย
มีเนื้อหาชมความเซ็กซี่ของสาวเกษตรกรในคราวเปียกฝนในทุ่งข้าวไรน์
หลายฝ่ายตีความในแง่ เราควรจะเบรคเซ็กส์ตามอารมณ์หรือไม่ 
ความปรารถนา แบบไร้พิธีแต่งงานและข้อผูกมัดทาง กม. 
เพราะสิ่งเหล่านั้นสวยงามบริสุทธิ์ กว่าสัมพันธ์ตามบทบาทหน้าที่ 
ความสัมพันธ์ไม่ควรถูกตัดสิน เพราะเราไม่ทราบจิตใจชีวิตคนอื่นมากพอ

ลองคิดดู ถ้าเราประนามตะวัน พอพลิกไพ่ใบถัดไป
ปรากฏว่า คุณพอลมีคู่ขา ...แต่ไม่เปิดเผยต่อสังคม

ความสุขเช่นนี้ เป็นความสุขที่สังคมปฏิเสธความถูกต้อง
แต่เป็นความสุขส่วนบุคคล 
"Should a body meet a body..Should a body kiss a body”
ภาษาสก๊อต  ‘Gin’ = ‘Should’ -- เผื่อใครไปอ่านบทกวี จะเห็นคำว่า Gin อยู่หลายตอน

ในโลกหมุนรอบตัวเธอ แรงดึงดูดทางเพศ
ในระบบความสัมพันธ์แบบเพื่อน = วงโคจร
ที่มีแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวในระบบสุริยะที่เคลื่อนไปไหนไม่รอด
นอกจากวนรอบเพราะแรงดึงดูดต่อกัน  
ด้วยความพึงใจความงามทางเพศและความผูกพัน
รวมถึงสถานการณ์ที่ขังตัวละครไว้ ไม่ให้ออกนอกวงโคจร
ตะวันไม่มีเงิน ไม่มีครอบครัว ยึดเพื่อนเป็นเรือนใจ (You are my home.)

ถ้าย้อนกลับไปดูอีพีต้นๆ 
ตะวันเอาตัวเองออกมาได้ยากมาก  "เราสามคน" ตัดกันไม่ขาด  
คนทั่วไปตัดเพื่อนก็นอนกันคนละบ้าน
แต่ตะวันถูกเลี้ยงมาแบบ เพื่อนคือคนในบ้านเดียวกัน  
และละครก็ interplay พื้นที่ทับซ้อน
เรื่องเพศ-ครอบครัว-เพื่อน ปูมาตั้งแต่อีพีแรกๆ
อย่างกลมกลืนและตลกร้าย
 
ทฤษฎีจิตวิทยาพื้นฐานของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud)
Id -- ทำตามแรงปรารถนา เช่น ถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเพศที่สั่ง
ให้ร่างกายแสวงหาความอบอุ่นแบบพิเศษ  
ความหิว ที่สั่งให้เราอยากอาหาร ความโกรธทำให้เราอยากชกต่อย
Ego -- สำนึกต่อกติกาทางสังคม คิดถึงผลกระทบ  รู้อะไรถูกอะไรควร ยับยั้งใจ
Superego -- ยอดมนุษย์ จริยธรรมขั้นเทพ เช่น ถือ ศีลเกิน 5 ข้อ 
 
ถ้าจะตีความให้เข้ากับ The Catcher in the Rye 
สภาวะ Id ที่เกิดกับตะวันต่างจากคนทั่วไป
เพราะเธอไม่ได้ถูกหล่อหลอมมาด้วยครอบครัวปกติ 
เธอเติบโตมากับเพื่อนชายสองคนที่ปกป้องดูแลอย่างดี
ประกอบกับ เธอดีเกินกว่าจะลืมบุญคุณของมานะ ที่เสียสละทำงานส่งให้เรียน
ความผูกพันในวัยเด็ก บวก ณ วันนี้ มานะก็ออร่ากระจาย พิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถ

เราจะเห็นเรื่องบนเตียง ระหว่างตะวัน กับ พอล ที่ตามขนบ ผู้ชายเหนือฝ่ายหญิง (dominance) 
แต่กับมานะ ตะวันได้รับการให้เกียรติ และเป็นไปบนความร่วมมือของสองฝ่าย (collaboration) 
 
พอลมีพื้นที่ส่วนตัว ทำอะไรคนเดียว
แต่ตะวันไม่มี  personal boundary / ขอบเขตความเป็นส่วนตัว
เธอต้องแชร์พื้นที่กับเพื่อนชายมาตลอด ไม่ว่า อยู่บ้านเดียวกัน
ห้องนอนวัยรุ่นไม่มีผนังกั้น ทานข้าวด้วยกัน
เมื่อมีปัญหาทางใจ มีที่ปรึกษาส่วนตัว

เมื่อพาตัวเองมาอยู่ในบรรยากาศยวลใจ ฮอร์โมนเพศเริ่มทำงาน
จากความใกล้ชิด ที่ตะวันมีให้เพื่อนที่ช่วยเหลือเธอมาตลอด 
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายโชว์ความเซ็กซี่ของวัยสาว
เพื่อให้ความสุขและหาความสุขจากอีกฝ่าย 

เหตุผลที่ตะวันบอกมานะโดยจุมพิตตอบ "โอเค ครั้งนี้  ชั้นให้ได้ "
1.      เพราะอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น
2.      เพราะซึ้งในความรักของมานะที่มีมาตลอด – 
ตั้งแต่ซีนนอนดูดาวในวัยรุ่น มานะยังหาอะไรมารองไม่ให้หัวของเธอโดนพื้น
ทำอาหารให้เธอทุกวัน ขนาดเรามีพ่อแม่ครบ อาหารยังต้องทำเอง
3.      ถ้ารักคุณพอลมากพอ ก็คงคิดถึงคุณพอลในเวลานั้น
แต่ความดีและความสุขจากมานะ ราวกับภูเขาอยู่ตรงหน้า
คุณพอลเลยกลายเป็นเพียงเส้นผมไป

ทำไมมานะถึงไม่อยากปล่อยให้โอกาสครั้งนี้ผ่านไป ?
มานะถูกปฏิเสธ เพราะตะวันอยากแต่งงาน เพื่อชัยชนะทางสังคม และ explore คนที่ไม่เคยอยู่ด้วยในวัยเด็ก 
แต่หากปล่อยให้นาทีที่ใกล้ชิดบนพื้นที่ที่เคยเติบโตด้วยกัน ผ่านไป พวกเขาก็ไม่อาจฟื้นความผูกพันได้อีก 
ต้องกลับไปสู่โลกความจริง ณ ปัจจุบัน ที่กรุงเทพ

ทั้งหมดนี้ เราไม่ได้ตัดสินว่าที่ตะวัน-มานะ ทำดี หรือ ไม่ดี เพราะละคร ยังไม่จบ น่าจะมีปัญหาตามมาจากการกระทำ 
แต่ในกระทู้นี้ แค่แชร์ความเห็นว่า ความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง [Never Enough]
ที่ถูกตั้งคำถามเชิงจริยธรรม เกี่ยวอะไรกับหนังสือนอกเวลา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่