JJNY : เท้งขึ้นเชียงรายช่วยน้ำท่วม│โพลชี้ปชช.ไม่เชื่อมั่นต่อรบ.│ชี้ถ้อยแถลงนายกไม่มีหลักความเป็นธรรม│เตือนหลายจว.ฝนถล่ม

เท้ง ขึ้นเชียงรายช่วยน้ำท่วม แนะรัฐใช้จีโอโลเกชั่น ที่ กฟภ.-ไปรษณีย์ มี หาพิกัดช่วยผู้ประสบภัย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4791558
 
 
เท้ง ขึ้นเชียงรายช่วยน้ำท่วม แนะรัฐใช้จีโอโลเกชั่น ที่ กฟภ.-ไปรษณีย์ มี หาพิกัดช่วยผู้ประสบภัย

เมื่อวันที่ 14 กันยายน ท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ที่หลายภาคส่วนเห็นตรงกันว่าเป็นอุทกภัยครั้งที่หนักสุดในประวัติศาสตร์ของจังหวัด ตลอดจนคนไทยจากทั่วประเทศตามรวมน้ำใจส่งทั้งกำลังใจและความช่วยเหลือไปยังพี่น้องชาวเชียงรายอย่างต่อเนื่องนั้น

เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 

[ ลงพื้นที่น้ำท่วม | ริมกก-บ้านดู่-เมือง จ.เชียงราย ]

วันนี้ (14 ก.ย.) ผม Karoonpon Tieansuwan สส.ปั๋น – ชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สส.ไดซ์ ฐากูร ยะแสง-Takul Yasaeng มาลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม และเข้าช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชน ภายใต้กฎหมายเลือกตั้ง มีข้อสังเกตที่อยากฝากถึงรัฐบาล เพื่อรับมือกับสถานการณ์ และเข้าช่วยเหลือประชาชนดังต่อไปนี้ครับ

ข้อสังเกตถึงรัฐบาล
 
1. ปัญหาที่สำคัญที่สุดขณะนี้ คือ การขาดศูนย์บัญชาการ (War Room) จากหน่วยงานภาครัฐ จากสภาพการณ์ที่ผมเห็นหน้างาน ตอนนี้กลายเป็นหน่วยงานภาคเอกชน อาทิ มูลนิธิกระจกเงา ฯลฯ ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักในการประสาน ทั้งฝั่งแม่สาย และอำเภอเมือง และแจกจ่ายงานให้ส่วนราชการต่าง ๆ อาทิ กองทัพ รวมถึงอาสาสมัครที่มาจากจังหวัดต่าง ๆ ฯลฯ ให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่

2. ปัญหาเรื่องการขาดศูนย์รวมในการรับเรื่อง และบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งขณะนี้ ทางภาคประชาชนได้มีเว็บไซต์ JITASA.CARE เพื่อรับแจ้งเคสออนไลน์แล้ว ซึ่งถ้าหากภาครัฐทำระบบขึ้นมาใหม่ไม่ทัน ผมคิดว่าสามารถทำความร่วมไม้ร่วมมือกับภาคประชาสังคม ให้แพลตฟอร์มนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จากการสนับสนุนจากภาครัฐได้
 
ยกตัวอย่างเช่น การเกิดปัญหาเรื่องการแจ้งพิกัดหน้างาน ทางศูนย์ประสานงานต้องการฐานข้อมูลในการแปลง เลขที่บ้าน เป็น พิกัด (Geolocation) เพราะเวลาผู้ประสบภัยโทรมาแจ้งที่ศูนย์ หรีอแจ้งเข้ามาผ่านช่องทางต่าง ๆ น้อยรายที่จะสามารถระบุพิกัดได้ ส่วนมาก จะใช้วิธีบอกซอย บอกสีบ้าน บอกบ้านเลขที่ บอกวิธีการเดินทาง ฯลฯ ทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานหน้างาน ไม่สามารถเข้าถึงบ้านของผู้ประสบภัยได้อย่างถูกต้อง และในหลายกรณี กลายเป็นผู้ประสบภัยไม่ได้รับการช่วยเหลือที่จำเป็น เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ที่ต้องฉีดอินซูลินทุกวัน ฯลฯ เป็นต้น
 
นอกจากนี้ ขณะนี้มีปฏิบัติการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็น Helicopter ทหาร หรือ โดรนอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนันสนุนจากภาคเอกชน ที่คอยบินส่งข้าว ส่งของ ให้กับพ่อแม่พี่น้องผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่ยังเข้าถึงไม่ได้
 
ดังนั้น การแลกเปลี่ยนข้อมูลจากภาครัฐเพื่อแปลงบ้านเลขที่ เป็น Geolocation จะเป็นตัวต่อสำคัญ ที่จะทำให้เจ้าหน้าที่หน้างาน และการปฏิบัติงานทางอากาศ (ซึ่งผมได้รับแจ้งมาว่า ถ้าไม่มี Geolocation จนท. จะไม่ออกบิน) สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหน่วยงานของรัฐ ที่มีฐานข้อมูลลักษณะนี้ที่เป็นปัจจุบัน และมีคุณภาพที่สุด คือ ไปรษณีย์ไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ครับ

https://www.facebook.com/natthaphong.ruengpanyawut/posts/pfbid02c9BE5Dg7WxUUeVQoU4gpZdfon1GmtLmnk3d8H1QioFik5ECh1PasfxzWFZbGaMGpl
 

 
โพลชี้ ปชช.ไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลแพทองธาร ในการแก้ไขปัญหาประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4791636
 
โพลชี้ ปชช.ไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลแพทองธาร ในการแก้ไขปัญหาประเทศ
 
เมื่อวันที่ 15 กันยายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยถึงผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ความเชื่อมั่น ความกังวลที่มีต่อรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 กันยายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค
ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นและความกังวลของประชาชนต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการบริหารประเทศ
 
จากการสำรวจเมื่อถามความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 28.17 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 22.52 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 13.13 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 
ด้านความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า เป็นเรื่องผลงานของรัฐบาลไม่เป็นไปตามที่สัญญาและคาดหวัง รองลงมา ร้อยละ 32.14 ระบุว่า อายุและประสบการณ์ทางการเมือง/การบริหารของนายกฯ อาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด และบทบาทของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่เกินขอบเขตจนนำไปสู่การถูกฟ้องเรื่องการครอบงำ นายกฯ/พรรค/รัฐบาลในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 24.89 ระบุว่า การบริหารงานที่ไม่ระมัดระวังจนอาจเกิดการทุจริต คอร์รัปชัน ร้อยละ 21.76 ระบุว่า การบริหารงานที่ผิดพลาดจนนำไปสู่สถานการณ์วิกฤต ร้อยละ 21.53 ระบุว่า การชุมนุมประท้วงรัฐบาลจนเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ร้อยละ 18.85 ระบุว่า กลุ่มผู้ต่อต้านคุณทักษิณ ชินวัตร ที่พร้อมจะร้องเรียนและล้มรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 18.63 ระบุว่า ไม่มีความกังวลใด ๆ เลย ร้อยละ 14.73 ระบุว่า การก่อรัฐประหารล้มรัฐบาล ร้อยละ 11.83 ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลจ้องจะล้มนายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 10.08 ระบุว่า การทำงานของพรรคฝ่ายค้านที่จะนำไปสู่การล้มลงของรัฐบาล และร้อยละ 0.46 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 
ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อบทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่จะส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในช่วงรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.23 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางลบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย รองลงมา ร้อยละ 33.29 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 22.21 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางบวกต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 4.27 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ



สถาบันชุมชนพัฒนา ชี้ ถ้อยแถลงนายก ไม่มีหลักความเป็นธรรมทางนิเวศสังคม หลักการกระจายอำนาจ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4791600

สถาบันชุมชนพัฒนา ชี้ ถ้อยแถลงนายก ไม่มีหลักความเป็นธรรมทางนิเวศสังคม หลักการกระจายอำนาจ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
 
ดร.กฤษฎา บุญชัย เลขาธิการ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนาประเมินถ้อยแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร โดยมองว่า

จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธารเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา เมื่อตรวจสอบจากกรอบคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรม รวมถึงสิทธิมนุษยชนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง พบว่ากรอบคิดของนโยบายทั้งหมดขัดแย้งกับหลักการสำคัญดังกล่าวในหลายประเด็น ดังนี้:
 
1. แนวนโยบายที่เน้นเศรษฐกิจเป็นตัวนำ: นโยบายของรัฐบาลมุ่งเน้นการเร่งรัดเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยออกแบบให้ทุกองค์ประกอบของสังคม เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต สุขภาพ การเกษตร เศรษฐกิจฐานราก และการศึกษา ทำหน้าที่เป็นปัจจัยที่เร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่สุด นโยบายเช่นนี้มองข้ามความยั่งยืนและความเป็นธรรมในระยะยาว
 
2. การเร่งรัดเศรษฐกิจที่เอื้อต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่: นโยบายที่เร่งรัดเศรษฐกิจไม่ได้สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก แต่กลับส่งเสริมให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่สามารถควบคุมและผูกขาดทรัพยากรและปัจจัยทางสังคมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจในระบบหรือเศรษฐกิจนอกระบบ ตัวอย่างเช่น การนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ เช่น คาสิโน ซึ่งไม่ได้เป็นเศรษฐกิจของคนยากจน แต่เป็นเศรษฐกิจที่ถูกครอบครองโดยกลุ่มทุน นโยบายนี้เพียงแต่เปลี่ยนสีของทุนจากสีเทาเป็นสีขาวหรือสีเขียว
 
ดร.กฤฎา กล่าวว่า 3. การเพิกเฉยต่อปัญหาการผูกขาดทุน: นโยบายของรัฐบาลไม่ได้กล่าวถึงปัญหาการผูกขาดทรัพยากรและโอกาสทางสังคม โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ เช่น EEC (ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) และภาคอื่น ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และชุมชน

4. นโยบายพลังงานที่ไม่ยั่งยืน: นโยบายที่มุ่งลดราคาพลังงานมุ่งเน้นเพียงการจัดหาพลังงานราคาถูก ซึ่งยากจะบรรลุโดยเฉพาะในกรณีของพลังงานฟอสซิลที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น รัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญกับการพึ่งตนเองด้านพลังงาน ทั้งที่ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าพลังงานถึง 90% นอกจากนี้ นโยบายพลังงานหมุนเวียนยังมุ่งเน้นที่การเติบโตทางธุรกิจมากกว่าการสร้างเศรษฐกิจพลังงานหมุนเวียนสำหรับประชาชน
 
5. นโยบายการเกษตรที่ไม่ครอบคลุมปัญหาจริง: รัฐบาลมุ่งเน้นการพัฒนาเกษตรทันสมัยผ่านการนำเทคโนโลยี ทุน และการตลาดเข้ามาเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่ของระบบเกษตรและอาหาร อย่างไรก็ตาม ระบบห่วงโซ่เกษตรและอาหารของไทยยังถูกผูกขาดโดยทุนรายใหญ่ การพัฒนาเกษตรทันสมัยนี้จึงไม่ช่วยเกษตรกรรายย่อยอย่างแท้จริง และไม่สนับสนุนความสามารถในการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจของพวกเขา
 
ดร.กฤฎา กล่าวว่า 6. การทำลายภูมิปัญญาชาวบ้านและทรัพยากรธรรมชาติ: รัฐบาลมองภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นเพียงสินค้าทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งนำไปสู่การแปรสภาพของภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นเพียงกิมมิคสำหรับการค้าขาย อีกทั้งยังมีโครงการขนาดใหญ่ที่มุ่งทำลายระบบนิเวศ ฐานทรัพยากร และสร้างมลภาวะสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ชุมชนเปราะบางขึ้น แต่ยังทำลายความสามารถของชุมชนในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของตนเอง
 
7. นโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ขาดความชัดเจน: รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ คุ้มครอง หรือชดเชยความสูญเสียของประชาชนต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ ไม่มีเป้าหมายที่รับผิดชอบต่อโลกว่าประเทศไทยจะลดก๊าซเรือนกระจกในฐานะผู้ปลดปล่อยเป็นอันดับที่ 20 ของโลกภายในปี 2030 ได้อย่างไร
 
รัฐบาลกลับให้ความสำคัญกับการเป็นศูนย์กลางคาร์บอนเครดิตในระดับอาเซียน ซึ่งอาจนำไปสู่การกระทบต่อระบบนิเวศและละเมิดสิทธิชุมชน เอื้อต่อการฟอกเขียว และไม่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด
 
8. การผูกขาดอำนาจและการละเลยการกระจายอำนาจ: นโยบายของรัฐบาลยังคงส่งเสริมการผูกขาดอำนาจของรัฐและกลุ่มทุน โดยไม่ได้พิจารณาถึงการกระจายอำนาจหรือส่งเสริมการจัดการตนเองของท้องถิ่น ผลที่ตามมาคือประชาชนสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และทรัพยากรถูกแปรเป็นปัจจัยการผลิตภายใต้ทุนสีเทาและสีเขียว
 
9. ไม่มีนโยบายด้านกฎหมายหรือมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงทั้งมลภาวะโอกาสปัญหาทรัพยากร และวิถีชีวิตที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการขนาดใหญ่ ในขณะที่เครื่องมือทางนโยบายเช่น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กระบวนการประชาพิจารณ์และอื่นๆล้วนตกอยู่ในวังวนปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่ไม่สามารถเป็นเครื่องมือจัดการสิ่งแวดล้อมแต่ยิ่งขยายความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้น
แล้วประชาชนกลุ่มไหนหรือที่จะมีกินมีใช้มีศักดิ์ศรี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่