วิกฤตน้ำท่วมภาคเหนือฉุดท่องเที่ยววูบ 2 พันล้าน เพิ่มความเสียหายทางศก. แตะ 1 หมื่นล้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4787082
วิกฤตน้ำท่วมภาคเหนือฉุดท่องเที่ยววูบ 2 พันล้านบาท เพิ่มความเสียหายทางศก. แตะ 1 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 12 กันยายน นาย
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ปัญหาวิกฤตน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ อาจส่งผลต่อการท่องเที่ยว เพราะต้องอาศัยเวลาในการฟื้นฟูสถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงแม้บางแห่งปริมาณน้ำลดลงแล้ว แต่ยังเที่ยวไม่ได้ เพราะมีความเสี่ยงในเรื่องความไม่ปลอดภัยอยู่ จึงต้องประเมินผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจากนี้เพิ่มเติม โดยเบื้องต้น หอการค้าไทยประเมินความเสียหาย อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ในกรอบ 5-7 วัน ซึ่งเชื่อว่าจากนั้นสถานการณ์จะดีขึ้น แต่มองว่ายังไม่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะหากมีการแจกเงิน 10,000 บาท ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจได้ จะสามารถชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมได้
“
ความเสียหายที่เกิดจากปัญหาน้ำท่วมส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดชะลอ จึงมีการรวมผลกระทบจากการเสียโอกาสในการท่องเที่ยวเข้าไปแล้ว เป็นความเสียหายที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 6,000-8,000 ล้านบาท หรือเพิ่มความเสียหายของท่องเที่ยวขึ้นมาอีก 2,000 ล้านบาท จากภาพความรุนแรงในแม่สาย ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจ มีการจับจ่ายใช้สอยคล่องตัว มีการจัดเก็บสต๊อกสินค้าไว้ขาย และมีการข้ามมาซื้อสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา และเชียงราย ที่พอเกิดน้ำท่วม คนก็ไม่ไปเที่ยวเชียงราย ชะลอการท่องเที่ยวลดลง” นาย
ธนวรรธน์กล่าว
นาย
ธนวรรธน์กล่าวว่า ขณะนี้ยังประเมินว่าน้ำท่วมไม่ควรส่งผลกระทบหนักหนาสาหัส เพราะข้อมูลปริมาณน้ำท่วมไม่ได้มากกว่าปีก่อนๆ ที่ผ่านมา สถานการณ์การกักเก็บน้ำ และความจุของน้ำยังทำได้ดีอยู่ ส่วนการระบายน้ำน่าจะมีการเตรียมการได้ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นชัดเจน คือ พื้นที่ทางภาคการเกษตร สถานที่ราชการ รวมไปถึงทรัพย์สินของภาคประชาชน ส่วนความเสียหายในด้านอื่นๆ ยังไม่ได้ประเมินรวมไว้ รวมถึงน้ำท่วมใหม่ที่อยู่ในวงจำกัด และระยะเวลาในการท่วมขังไม่เท่าปี 2554 เพราะภาพตอนนั้นมีน้ำท่วมขังกว่า 1 เดือน แต่ขณะนี้คาดว่ายังไม่เท่าตอนนั้น
โชห่วย แจง 3 เหตุผล แจกเงิน10,000 สะพัดต่ำกว่าคาดหวัง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4787311
โชห่วย แจง 3 เหตุผล แจกเงิน10,000 สะพัดต่ำกว่าคาดหวัง
เมื่อวันที่ 12 กันยายน นาย
สมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยถึงบรรยากาศการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนสิงหาคม-ตุลาคมว่า แม้รัฐบาลออกมายืนยันจะแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและพิการเป็นกลุ่มแรก รวมจำนวน 14-15 ล้านคน และประเมินเงินที่ใช้ประมาณ 1.4-1.5 แสนล้านบาท ในสถานการณ์วันนี้ ก็ไม่อาจระบุได้ว่าเงินจะหมุนเวียน 1-2 เท่าตามหลักวิชาการระบุไว้ ด้วยขึ้นกับหลายปัจจัย คือ
1. จำนวนไม่น้อยต้องใช้เงินชำระหนี้ก่อน เชื่อว่าตอนนี้เจ้าหนี้รอเงินส่วนนี้แล้ว ซึ่งเจ้าหนี้จะมีกลุ่มมีรายได้และไม่ได้ใช้จ่ายเงินทันทีเหมือนคนมีรายได้น้อยจริงๆ
2. ต้องดูผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ก็จะใช้เงินกับเรื่องภัยพิบัติก่อน ซึ่งเงินก็จะอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตและอุตสาหกรรมต่างๆ
3. ร้านค้าทั่วไปในพื้นที่เจอน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคเหนือ ค่อนข้างประสบภัยที่รุนแรง สินค้าเสียหาย ไม่มีรายได้ และอาจขาดสภาพคล่องหลังน้ำลด ก็ต้องดูว่าภาครัฐจะเข้ามาดูแลรายเล็กรายย่อยได้เร็วแค่ไหน แม้เงิน 10,000 บาทออกมา ก็อาจไม่ได้รับอานิสงส์เพราะไม่มีสินค้าพอขายหรือจะสต๊อกเตรียมไว้ขาย ไม่เหมือนร้านค้ารายใหญ่หรือค้าปลีกที่มีเครือข่าย จะมีสายป่านเรื่องสภาพคล่อง มีการเติมสินค้าได้เร็ว และยังทำราคาได้ถูกกว่าทั่วไป เพราะชิงกำลังซื้อ
“
การตุนสินค้าเพิ่มเพื่อรับเงิน 10,000 บาท สำหรับร้านค้าทั่วไป ตอนนี้คงทำได้ยาก เพราะที่ผ่านมา รายได้หายไป 20-30% การสต๊อกสินค้าได้น้อย และยังประเมินไม่ถูกกว่าการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำรายวันเป็น 400 บาท จะสร้างผลกระทบอย่างไร แต่ดูจากบรรยากาศซื้อขายตอนนี้ เชื่อว่าไม่มีใครกล้าขึ้นราคาสินค้า แม้ที่ผ่านมามีข่าวจากจะแจกเงินสดในปลายเดือนกันยายน ราคาสินค้าก็ยังนิ่ง เพราะเชื่อว่าคนจะใช้อย่างระมัดระวังต่อไป ซึ่งการที่มีแจกเงิน 10,000 บาทในภาวะกำลังซื้อฝืดและเศรษฐกิจซบเซามาก เป็นเรื่องที่จะกระตุ้นตลาดค้าปลีกไม่ได้แย่ลงได้ ยังมองว่าเงินหมุนเวียนน่าจะไม่รวดเร็วเท่ากับช่วงสถานการณ์ปกติ” นาย
สมชายกล่าว.
‘ศิริกัญญา’ชำแหละนโยบายรัฐบาล‘แพทองธาร’ วิสัยทัศน์ 'ทักษิณ'
https://www.dailynews.co.th/news/3856671/
‘ศิริกัญญา’ ชำแหละนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ไม่ตรงที่หาเสียง แต่เหมือนวิสัยทัศน์ ‘ทักษิณ’พูดเมื่อเดือนที่แล้ว เปรียบเป็นงานก็อปไทยรักไทยระดับมิลเลอร์ AAA+ หวัง ‘นายกฯอิ๊งค์’เป็นดาวฤกษ์มีแสงสว่างในตัวเอง เผยมือที่มองไม่เห็นคอยสั่งการ อัดโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัลฯ ‘เจ๊งไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้’
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วน ครม. แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 โดยน.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวอภิปรายนโยบายของรัฐบาลตอนหนึ่งว่า ตนจะอภิปราย ในหัวข้อเศรษฐกิจโดยเสนอแนวคิดทำแถลงนโยบายนี้ให้เป็นเสมือนจีพีเอส คอยบอกเราว่ารัฐนาวาแห่งนี้แล่นไปทางไหน มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ใดรวมถึงด้วยวิธีการและเส้นทางใด เหมือนหรือต่างกับที่เคยสัญญา กับผู้ร่วมเดินทางหรือโหวตเตอร์ของพวกเขา และจะเดินทางถึงเป้าหมายเมื่อไร ซึ่งรัฐบาลนี้เกิดขึ้นจากการผิดคำพูดผิดสัญญาไปแล้วหนึ่งรอบและก่อนหน้านี้แกนนำของพรรคเพื่อไทยมีโอกาสบริหารประเทศมาแล้วหนึ่งปี ซึ่งมีความผิดหวังเสียใจที่ไม่สามารถส่งมอบนโยบายมาแล้ว 1 รอบ
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า ตนเห็นว่าโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีควรใช้การแถลงนโยบายนี้เป็นกลไกกู้คืนความเชื่อมั่น และศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่ให้กลับคืนมา และควรเป็นสัญญาที่หนักแน่นว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะทำอะไรนำพาความก้าวหน้าอะไรมาให้ประชาชน และวิธีการอย่างไร ซึ่งคำสัญญาจะแสดงถึงการรับผิดรับผิดชอบต่อประชาชน และจากการตรวจนโยบายที่แถลงพบว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากรัฐบาลนาย
เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ยังเป็นจีพีเอสที่พาเราหลงทาง ซึ่งมักจะเขียนใช้คำกว้างๆ แต่ไม่รู้วิธีการทำ ซึ่งตนให้คะแนนการอธิบายรายละเอียดจากการย่อยนโยบายมากกว่าตอนแถลงของนาย
เศรษฐา
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนการกำหนดเป้าหมาย ซึ่งจะอยู่ที่ช่วงท้ายว่า “
เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ให้คนไทย มีกิน มีใช้มีศักดิ์ศรี เพื่อนำพาความภาคภูมิใจมาสู่คนไทย และประเทศไทย” ตนมองว่าเป้าหมายไม่ชัด ซึ่งปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนต้องการตรวจสอบว่าทำนโยบายแล้วหรือไม่ แต่หากเทียบกับนายกรัฐมนตรีท่านอื่นๆ ตนยังคงมอบมงให้กับคำแถลงนโยบายของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีการบอกชัดเจนว่าสังคมเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในปีไหน นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่ชัดเจนมาก
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า ในครั้งนี้หลายนโยบายเขียนไม่ชัดเจนอย่าง และบางนโยบายจางหายไป เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเรื่องการเติมเงิน 1หมื่นบาทโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งที่ผ่านมามีการเขียนครบและชัดเจน แต่การแถลงนโยบายในครั้งนี้คำว่า 1หมื่นบาทหายไป ซึ่งขอให้รัฐบาลตอบมาว่าจะยังได้รับเงิน 1หมื่นบาทอยู่หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนทวงถามกันมา และสิ่งที่เป็นนโยบายเพิ่มเติมขึ้นมา รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายแปลงร่างเป็นค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย ซึ่งนโยบายที่แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาไม่เหมือนกับที่เคยหาเสียงไว้ แต่เหมือนกับวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ได้พูดไว้เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกัน 11 จาก 14 ประเด็น เช่นดิจิทัลวอลเล็ต ที่บอกว่าเริ่มจากกลุ่มเปราะบางก่อน ขุดเศรษฐกิจใต้ดินเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ดันจีดีพีโต 50% รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเวนคืนรถไฟฟ้าที่เอกชนบริหารมาเป็นของรัฐ หรือแม้แต่ขยายขยายกองทุนวายุภักษ์
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า แม้จะไม่มีในคำแถลงนโยบายแต่รัฐบาลได้ดำเนินการทำเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหลายสิ่งอาจจะเป็นการรีไซเคิลซิกเนเจอร์ ของรัฐบาลไทยรักไทย โครงการพักหนี้ โครงการแลนด์บริดจ์ หรือรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งมีการเปรียบเทียบนโยบายสมัยพรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ใช่เพียงแค่นโยบายตรงกัน แต่เหมือนระดับมิลเลอร์ AAA+เช่น รัฐบาลนายทักษิณเคยบอกประเทศไทยมีเศรษฐกิจใต้ดินสูงมากเกือบ 50% ขณะที่รัฐบาลน.ส.แพรทองธาร ก็บอกว่าเราจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐบาล เศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดิน เข้าสู่ระบบภาษีที่คาดว่ามีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50% ของGDP ซึ่งความเหมือนนี้ตนมองว่าอาจจะมีปัญหาซึ่งไม่ใช่เรื่องการครอบงำ แต่จะเป็นปัญหาเรื่องความรับผิดรับผิดชอบ การที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน ใครเป็นคนวางนโยบายทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก และต่อไปการประชุมคณะรัฐมนตรีอาจจะเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะเรื่องสำคัญอาจถูกตัดสินมาแล้วจากที่อื่น
“
คำพูดและถ้อยคำที่เหมือนกัน แต่เอฟเฟคที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน ซึ่งเราอยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่สร้างความน่าเชื่อถือความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่าจะเป็นคนที่ดำเนินนโยบายที่แถลงเองจริงๆ ซึ่งยังไม่สายและขอให้ท่านได้มาตอบด้วยตนเองในรายละเอียดทั้งเรื่องมาตรการเป้าหมายกำหนดระยะเวลาของแต่ละนโยบายว่าจะทำอย่างไรเพราะ เราอยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่มีแสงสว่างในตัวเอง เป็นดาวฤกษ์ไม่ใช่ดาวเคราะห์อย่างเช่นดวงจันทร์ที่สองสว่างโดยการใช้แสงจากพระอาทิตย์ และวันที่พระอาทิตย์สว่างจ้าเราจะไม่เห็นดวงจันทร์” น.ส.
ศิริกัญญา กล่าว
อย่างไรก็ตามขณะที่มีการอภิปราย นาย
วัชระ ขาวขำ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วง ว่าตั้งแต่พูดมายังไม่เห็นมีการพูดถึงนโยบายรัฐบาลน.ส.
แพทองธาร เราวนเวียนแต่เรื่องในอดีต ซึ่ง
วันมูหะมัดนอร์ ประธานในที่ประชุม ได้วินิจฉัยให้น.ส.ศิริกัญญา พูดถึงนโยบายในปัจจุบันมากกว่านโยบายที่เกิดขึ้นในอดีต
จากนั้นน.ส.
ศิริกัญญา กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเคยอภิปรายตามมาตรา 152 ไปแล้วเมื่อเดือนเม.ย. ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปมาหลายรอบ ทั้งเรื่องจำนวนประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ และระยะเวลาในการแจก รวมถึงแอพพลิเคชันในการดำเนินการ และงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึง 7 รอบ ซึ่งจะมีการใช้งบกลางปี67 ให้นำมาแจกเป็นเงินสดในโครงการก่อน ส่วนที่เหลือพยายามแบ่งงบปี 68 ทั้งกูเพิ่ม ตัดลดงบใช้หนี้ชำระแบงก์รัฐ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายให้ครบ 45 ล้านคน ซึ่งนาย
ภูมิธรรม เวชยชัย นายกรัฐมนตรีมีการแถลงว่าจะมีการแบ่งจ่ายเป็นสองงวดงวดละ 5,000 พัน และหากระบบชำระเงินเสร็จทันจะแจกเป็นเงินดิจิตอลแต่หากไม่ทันจะแจกเป็นเงินสด ซึ่งตนอยากฟังให้ชัดเจนว่าโครงการนี้จะจบอย่างไร และวันที่ 15 ก.ย.นี้จะหมดเขตในการลงทะเบียน เพื่อจะได้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายมีกี่คนและจะหาเงินจากไหนมาแจก และยังจะแจกจำนวน 1หมื่นบาทหรือไม่ และจะแจกเป็นเงินสดหรือดิจิทัลวอลเล็ต
JJNY : 5in1 วิกฤตน้ำท่วมฉุดท่องเที่ยว│แจกเงิน10,000 สะพัดต่ำ│‘ศิริกัญญา’ชำแหละ│วิโรจน์อัดนโยบายไม่ชัด│แนวร่วมมธ.บุกสภา
https://www.matichon.co.th/economy/news_4787082
วิกฤตน้ำท่วมภาคเหนือฉุดท่องเที่ยววูบ 2 พันล้านบาท เพิ่มความเสียหายทางศก. แตะ 1 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 12 กันยายน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ปัญหาวิกฤตน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ อาจส่งผลต่อการท่องเที่ยว เพราะต้องอาศัยเวลาในการฟื้นฟูสถานประกอบการและแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงแม้บางแห่งปริมาณน้ำลดลงแล้ว แต่ยังเที่ยวไม่ได้ เพราะมีความเสี่ยงในเรื่องความไม่ปลอดภัยอยู่ จึงต้องประเมินผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจากนี้เพิ่มเติม โดยเบื้องต้น หอการค้าไทยประเมินความเสียหาย อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ในกรอบ 5-7 วัน ซึ่งเชื่อว่าจากนั้นสถานการณ์จะดีขึ้น แต่มองว่ายังไม่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะหากมีการแจกเงิน 10,000 บาท ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจได้ จะสามารถชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมได้
“ความเสียหายที่เกิดจากปัญหาน้ำท่วมส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดชะลอ จึงมีการรวมผลกระทบจากการเสียโอกาสในการท่องเที่ยวเข้าไปแล้ว เป็นความเสียหายที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 6,000-8,000 ล้านบาท หรือเพิ่มความเสียหายของท่องเที่ยวขึ้นมาอีก 2,000 ล้านบาท จากภาพความรุนแรงในแม่สาย ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจ มีการจับจ่ายใช้สอยคล่องตัว มีการจัดเก็บสต๊อกสินค้าไว้ขาย และมีการข้ามมาซื้อสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา และเชียงราย ที่พอเกิดน้ำท่วม คนก็ไม่ไปเที่ยวเชียงราย ชะลอการท่องเที่ยวลดลง” นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ขณะนี้ยังประเมินว่าน้ำท่วมไม่ควรส่งผลกระทบหนักหนาสาหัส เพราะข้อมูลปริมาณน้ำท่วมไม่ได้มากกว่าปีก่อนๆ ที่ผ่านมา สถานการณ์การกักเก็บน้ำ และความจุของน้ำยังทำได้ดีอยู่ ส่วนการระบายน้ำน่าจะมีการเตรียมการได้ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นชัดเจน คือ พื้นที่ทางภาคการเกษตร สถานที่ราชการ รวมไปถึงทรัพย์สินของภาคประชาชน ส่วนความเสียหายในด้านอื่นๆ ยังไม่ได้ประเมินรวมไว้ รวมถึงน้ำท่วมใหม่ที่อยู่ในวงจำกัด และระยะเวลาในการท่วมขังไม่เท่าปี 2554 เพราะภาพตอนนั้นมีน้ำท่วมขังกว่า 1 เดือน แต่ขณะนี้คาดว่ายังไม่เท่าตอนนั้น
โชห่วย แจง 3 เหตุผล แจกเงิน10,000 สะพัดต่ำกว่าคาดหวัง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4787311
โชห่วย แจง 3 เหตุผล แจกเงิน10,000 สะพัดต่ำกว่าคาดหวัง
เมื่อวันที่ 12 กันยายน นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยถึงบรรยากาศการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนสิงหาคม-ตุลาคมว่า แม้รัฐบาลออกมายืนยันจะแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางและพิการเป็นกลุ่มแรก รวมจำนวน 14-15 ล้านคน และประเมินเงินที่ใช้ประมาณ 1.4-1.5 แสนล้านบาท ในสถานการณ์วันนี้ ก็ไม่อาจระบุได้ว่าเงินจะหมุนเวียน 1-2 เท่าตามหลักวิชาการระบุไว้ ด้วยขึ้นกับหลายปัจจัย คือ
1. จำนวนไม่น้อยต้องใช้เงินชำระหนี้ก่อน เชื่อว่าตอนนี้เจ้าหนี้รอเงินส่วนนี้แล้ว ซึ่งเจ้าหนี้จะมีกลุ่มมีรายได้และไม่ได้ใช้จ่ายเงินทันทีเหมือนคนมีรายได้น้อยจริงๆ
2. ต้องดูผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ก็จะใช้เงินกับเรื่องภัยพิบัติก่อน ซึ่งเงินก็จะอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตและอุตสาหกรรมต่างๆ
3. ร้านค้าทั่วไปในพื้นที่เจอน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคเหนือ ค่อนข้างประสบภัยที่รุนแรง สินค้าเสียหาย ไม่มีรายได้ และอาจขาดสภาพคล่องหลังน้ำลด ก็ต้องดูว่าภาครัฐจะเข้ามาดูแลรายเล็กรายย่อยได้เร็วแค่ไหน แม้เงิน 10,000 บาทออกมา ก็อาจไม่ได้รับอานิสงส์เพราะไม่มีสินค้าพอขายหรือจะสต๊อกเตรียมไว้ขาย ไม่เหมือนร้านค้ารายใหญ่หรือค้าปลีกที่มีเครือข่าย จะมีสายป่านเรื่องสภาพคล่อง มีการเติมสินค้าได้เร็ว และยังทำราคาได้ถูกกว่าทั่วไป เพราะชิงกำลังซื้อ
“การตุนสินค้าเพิ่มเพื่อรับเงิน 10,000 บาท สำหรับร้านค้าทั่วไป ตอนนี้คงทำได้ยาก เพราะที่ผ่านมา รายได้หายไป 20-30% การสต๊อกสินค้าได้น้อย และยังประเมินไม่ถูกกว่าการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำรายวันเป็น 400 บาท จะสร้างผลกระทบอย่างไร แต่ดูจากบรรยากาศซื้อขายตอนนี้ เชื่อว่าไม่มีใครกล้าขึ้นราคาสินค้า แม้ที่ผ่านมามีข่าวจากจะแจกเงินสดในปลายเดือนกันยายน ราคาสินค้าก็ยังนิ่ง เพราะเชื่อว่าคนจะใช้อย่างระมัดระวังต่อไป ซึ่งการที่มีแจกเงิน 10,000 บาทในภาวะกำลังซื้อฝืดและเศรษฐกิจซบเซามาก เป็นเรื่องที่จะกระตุ้นตลาดค้าปลีกไม่ได้แย่ลงได้ ยังมองว่าเงินหมุนเวียนน่าจะไม่รวดเร็วเท่ากับช่วงสถานการณ์ปกติ” นายสมชายกล่าว.
‘ศิริกัญญา’ชำแหละนโยบายรัฐบาล‘แพทองธาร’ วิสัยทัศน์ 'ทักษิณ'
https://www.dailynews.co.th/news/3856671/
‘ศิริกัญญา’ ชำแหละนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ไม่ตรงที่หาเสียง แต่เหมือนวิสัยทัศน์ ‘ทักษิณ’พูดเมื่อเดือนที่แล้ว เปรียบเป็นงานก็อปไทยรักไทยระดับมิลเลอร์ AAA+ หวัง ‘นายกฯอิ๊งค์’เป็นดาวฤกษ์มีแสงสว่างในตัวเอง เผยมือที่มองไม่เห็นคอยสั่งการ อัดโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัลฯ ‘เจ๊งไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้’
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วน ครม. แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 โดยน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวอภิปรายนโยบายของรัฐบาลตอนหนึ่งว่า ตนจะอภิปราย ในหัวข้อเศรษฐกิจโดยเสนอแนวคิดทำแถลงนโยบายนี้ให้เป็นเสมือนจีพีเอส คอยบอกเราว่ารัฐนาวาแห่งนี้แล่นไปทางไหน มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ใดรวมถึงด้วยวิธีการและเส้นทางใด เหมือนหรือต่างกับที่เคยสัญญา กับผู้ร่วมเดินทางหรือโหวตเตอร์ของพวกเขา และจะเดินทางถึงเป้าหมายเมื่อไร ซึ่งรัฐบาลนี้เกิดขึ้นจากการผิดคำพูดผิดสัญญาไปแล้วหนึ่งรอบและก่อนหน้านี้แกนนำของพรรคเพื่อไทยมีโอกาสบริหารประเทศมาแล้วหนึ่งปี ซึ่งมีความผิดหวังเสียใจที่ไม่สามารถส่งมอบนโยบายมาแล้ว 1 รอบ
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตนเห็นว่าโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีควรใช้การแถลงนโยบายนี้เป็นกลไกกู้คืนความเชื่อมั่น และศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่ให้กลับคืนมา และควรเป็นสัญญาที่หนักแน่นว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะทำอะไรนำพาความก้าวหน้าอะไรมาให้ประชาชน และวิธีการอย่างไร ซึ่งคำสัญญาจะแสดงถึงการรับผิดรับผิดชอบต่อประชาชน และจากการตรวจนโยบายที่แถลงพบว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ยังเป็นจีพีเอสที่พาเราหลงทาง ซึ่งมักจะเขียนใช้คำกว้างๆ แต่ไม่รู้วิธีการทำ ซึ่งตนให้คะแนนการอธิบายรายละเอียดจากการย่อยนโยบายมากกว่าตอนแถลงของนายเศรษฐา
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนการกำหนดเป้าหมาย ซึ่งจะอยู่ที่ช่วงท้ายว่า “เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ให้คนไทย มีกิน มีใช้มีศักดิ์ศรี เพื่อนำพาความภาคภูมิใจมาสู่คนไทย และประเทศไทย” ตนมองว่าเป้าหมายไม่ชัด ซึ่งปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนต้องการตรวจสอบว่าทำนโยบายแล้วหรือไม่ แต่หากเทียบกับนายกรัฐมนตรีท่านอื่นๆ ตนยังคงมอบมงให้กับคำแถลงนโยบายของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีการบอกชัดเจนว่าสังคมเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในปีไหน นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่ชัดเจนมาก
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในครั้งนี้หลายนโยบายเขียนไม่ชัดเจนอย่าง และบางนโยบายจางหายไป เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเรื่องการเติมเงิน 1หมื่นบาทโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งที่ผ่านมามีการเขียนครบและชัดเจน แต่การแถลงนโยบายในครั้งนี้คำว่า 1หมื่นบาทหายไป ซึ่งขอให้รัฐบาลตอบมาว่าจะยังได้รับเงิน 1หมื่นบาทอยู่หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนทวงถามกันมา และสิ่งที่เป็นนโยบายเพิ่มเติมขึ้นมา รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายแปลงร่างเป็นค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย ซึ่งนโยบายที่แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาไม่เหมือนกับที่เคยหาเสียงไว้ แต่เหมือนกับวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ได้พูดไว้เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกัน 11 จาก 14 ประเด็น เช่นดิจิทัลวอลเล็ต ที่บอกว่าเริ่มจากกลุ่มเปราะบางก่อน ขุดเศรษฐกิจใต้ดินเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ดันจีดีพีโต 50% รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเวนคืนรถไฟฟ้าที่เอกชนบริหารมาเป็นของรัฐ หรือแม้แต่ขยายขยายกองทุนวายุภักษ์
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า แม้จะไม่มีในคำแถลงนโยบายแต่รัฐบาลได้ดำเนินการทำเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหลายสิ่งอาจจะเป็นการรีไซเคิลซิกเนเจอร์ ของรัฐบาลไทยรักไทย โครงการพักหนี้ โครงการแลนด์บริดจ์ หรือรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งมีการเปรียบเทียบนโยบายสมัยพรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ใช่เพียงแค่นโยบายตรงกัน แต่เหมือนระดับมิลเลอร์ AAA+เช่น รัฐบาลนายทักษิณเคยบอกประเทศไทยมีเศรษฐกิจใต้ดินสูงมากเกือบ 50% ขณะที่รัฐบาลน.ส.แพรทองธาร ก็บอกว่าเราจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐบาล เศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดิน เข้าสู่ระบบภาษีที่คาดว่ามีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50% ของGDP ซึ่งความเหมือนนี้ตนมองว่าอาจจะมีปัญหาซึ่งไม่ใช่เรื่องการครอบงำ แต่จะเป็นปัญหาเรื่องความรับผิดรับผิดชอบ การที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน ใครเป็นคนวางนโยบายทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก และต่อไปการประชุมคณะรัฐมนตรีอาจจะเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะเรื่องสำคัญอาจถูกตัดสินมาแล้วจากที่อื่น
“คำพูดและถ้อยคำที่เหมือนกัน แต่เอฟเฟคที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน ซึ่งเราอยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่สร้างความน่าเชื่อถือความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่าจะเป็นคนที่ดำเนินนโยบายที่แถลงเองจริงๆ ซึ่งยังไม่สายและขอให้ท่านได้มาตอบด้วยตนเองในรายละเอียดทั้งเรื่องมาตรการเป้าหมายกำหนดระยะเวลาของแต่ละนโยบายว่าจะทำอย่างไรเพราะ เราอยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่มีแสงสว่างในตัวเอง เป็นดาวฤกษ์ไม่ใช่ดาวเคราะห์อย่างเช่นดวงจันทร์ที่สองสว่างโดยการใช้แสงจากพระอาทิตย์ และวันที่พระอาทิตย์สว่างจ้าเราจะไม่เห็นดวงจันทร์” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
อย่างไรก็ตามขณะที่มีการอภิปราย นายวัชระ ขาวขำ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วง ว่าตั้งแต่พูดมายังไม่เห็นมีการพูดถึงนโยบายรัฐบาลน.ส.แพทองธาร เราวนเวียนแต่เรื่องในอดีต ซึ่งวันมูหะมัดนอร์ ประธานในที่ประชุม ได้วินิจฉัยให้น.ส.ศิริกัญญา พูดถึงนโยบายในปัจจุบันมากกว่านโยบายที่เกิดขึ้นในอดีต
จากนั้นน.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเคยอภิปรายตามมาตรา 152 ไปแล้วเมื่อเดือนเม.ย. ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปมาหลายรอบ ทั้งเรื่องจำนวนประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ และระยะเวลาในการแจก รวมถึงแอพพลิเคชันในการดำเนินการ และงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึง 7 รอบ ซึ่งจะมีการใช้งบกลางปี67 ให้นำมาแจกเป็นเงินสดในโครงการก่อน ส่วนที่เหลือพยายามแบ่งงบปี 68 ทั้งกูเพิ่ม ตัดลดงบใช้หนี้ชำระแบงก์รัฐ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายให้ครบ 45 ล้านคน ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย นายกรัฐมนตรีมีการแถลงว่าจะมีการแบ่งจ่ายเป็นสองงวดงวดละ 5,000 พัน และหากระบบชำระเงินเสร็จทันจะแจกเป็นเงินดิจิตอลแต่หากไม่ทันจะแจกเป็นเงินสด ซึ่งตนอยากฟังให้ชัดเจนว่าโครงการนี้จะจบอย่างไร และวันที่ 15 ก.ย.นี้จะหมดเขตในการลงทะเบียน เพื่อจะได้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายมีกี่คนและจะหาเงินจากไหนมาแจก และยังจะแจกจำนวน 1หมื่นบาทหรือไม่ และจะแจกเป็นเงินสดหรือดิจิทัลวอลเล็ต