.............
ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
เธอร้องเสียงหลง
ก่อนที่ภาพจะตัดไปยังใบหน้าที่บิดเบี้ยวของผีปอบที่วิ่งไล่ตามมา
เสียงของคนในหมู่บ้านที่ตะโกนขอความช่วยเหลือและร้องไห้
ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวและตึงเครียด
ก่อนที่ภาพจะค่อยๆถอยห่างจากผีปอบที่กำลังอาละวาดในหมู่บ้านไป
เวลาต่อมา
ท้องฟ้าสีครามสดใส แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องลงมาบนทุ่งนาเขียวขจี
เสียงเครื่องยนต์รถเก่าๆค่อยๆ เร่งขึ้น พร้อมเสียงคุยกันเบาๆ ของเด็กวัยรุ่น 4 คน
เอ็ม, เมย์, เอก และชาตรี
เอ็มเดินทางไปเยี่ยมยายของเอ็มที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนมในช่วงปิดเทอม
เอ็ม, เมย์, เอก และชาตรี กำลังนั่งอยู่บนรถ พวกเขามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น
เอ็มรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดของยาย
เฮ้ย เมย์ เดี๋ยวถึงแล้วนะ
ฉันก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว
ยายจะทำอะไรอร่อยๆ ไว้ให้เรากินบ้างนะ
เอก: (หัวเราะ) กินอย่างเดียวเลยนะเมย์ เดี๋ยวอ้วนไม่รู้ด้วย
ชาตรี: (มองออกไปนอกหน้าต่าง) ว้าว สวยจังเลย
อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม บ้านหนองผักชี เป็นหมู่บ้านที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ
มีทุ่งนาและแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อยๆ ขนาบสองข้างทาง บ้านเรือนในหมู่บ้านนี้มีลักษณะเรียบง่าย
เป็นบ้านไม้ยกสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝน มีสวนผักและสวนผลไม้กระจายอยู่ทั่วหมู่บ้าน
ที่นี่มีบรรยากาศสงบสุขและเงียบสงัด แต่ความเจริญยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
เอ็ม, เมย์, เอก, และชาตรี เดินทางมาด้วยรถยนต์คันเก่า
สองข้างทางเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนไม้สไตล์อีสานเรียงรายอยู่ริมทาง
บรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นธรรมชาติแตกต่างจากชีวิตในเมืองที่วุ่นวาย
"บ้านยายอยู่ใกลไหม" เอก เพื่อนสนิทของเอ็มเอ่ยถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ เอ็มตอบ
เดี๋ยวเราไปเที่ยวกันให้ทั่วเลยนะ" เมย์ กล่าวเสริมด้วยความตื่นเต้น
หวังว่าฉันจะเจอผู้ชายงานดีนะ ชาตรีหัวเราะคิกคัก
เมื่อเอ็ม, เมย์, เอก, และชาตรี เดินทางมาถึงหมู่บ้าน
พวกเขาเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง
ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ ไร้เมฆสักก้อน
แสงแดดจ้าสาดส่องลงมาบนพื้นดินที่แตกแห้งเป็นร่องลึก มีพุ่มไม้เหี่ยวเฉาและต้นไม้ที่ใบเหลืองกรอบ
เสียงไก่ร้องเจื้อยแจ้วอยู่เบื้องหลัง
พวกเขาเดินทางไปเยี่ยมยายของเอ็มที่บ้านหลังเก่าแก่
...
ยายนั่งอยู่บนแคร่ไม้เก่าๆ สภาพโทรม
ยายมองออกไปนอกหน้าต่างบานเก่า
ฝุ่นจับหนาจนมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกไม่ชัดเจน
ร่างกายที่เคยแข็งแรงผอมบางลง
รอยย่นที่หน้าผากและหางตาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาอย่างยาวนาน
ดวงตาที่เคยสดใสขุ่นมัวลงเหลือเพียงประกายอ่อนล้า
"เอ็ม! พวกแกมาถึงแล้วเหรอ!" เสียงน้ามีดังกังวานไปทั่วบ้าน
"เพื่อนของเอ็มใช่ไหมลูก น้ามีเอง ยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังนี้เลยนะ"
น้ามีพูดพลางตบไหล่เอกเบาๆ
บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่น
..............
ยายนั่งแกว่งตัวช้าๆ ใบหน้ายายมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้น "เอ็มเป็นไงบ้างลูก? ร้อนไหมลูก? ."
คำถามไหลออกมาจากปากยายไม่ขาดสาย ยายจับมือเอ็มไว้แน่น
สายตาของยายเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย เอ็มรู้สึกอบอุ่นใจ
ยายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเอ็มอย่างละเอียด
แล้วเอ็มก็หันมาถามยายถึงความเป็นอยู่ในหมู่บ้านบ้าง ยายเล่าให้เอ็มฟังถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
เอ็มนั่งลงข้างยาย ฟังเรื่องราวจากยายที่เล่าเกี่ยวกับหมู่บ้าน
หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป ลูกหลานส่วนใหญ่ย้ายเข้าไปทำงานในเมืองกันหมด
เหลือแต่คนแก่กับเด็กๆ ที่ดูแลหมู่บ้านกันไม่ไหว ฝนก็ไม่ตก เกิดภัยแห้งแล้งบ่อยครั้ง
ทำให้พืชผลเสียหาย บางปีต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน
ทำให้การเพาะปลูกและชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากมากขึ้น ยาบ้าก็ระบาด
ซ้ำมีผีปอบผีกระสือ มีขโมย เกิดปัญหามากมาย " ยายเล่าให้ฟัง
"ฟังยายเล่าเรื่องแล้วรู้สึกหดหู่ใจจังเลยค่ะ
เอาเป็นว่าเราพักเรื่องเครียดๆ กันก่อนดีกว่านะคะ
ยายคงหิวแล้วเดี๋ยวเอ็มออกไปซื้ออะไรให้ยายกินนะ ยายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?"
ข้าวต้มร้อน ๆ สักชามน่ะลูก
เดี๋ยวเอ็มออกไปซื้อมาให้ยายกินนะ
แสงอาทิตย์ยามเย็นทอแสงอ่อนๆ ลงมาบนถนน เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี ก้าวออกจากบ้านยาย
เสียงหัวเราะคิกคักดังเป็นระยะๆ ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทางเท้า
พวกเขาเดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
แสงแดดแผดเผาผ่าวลงมาบนหลังคาสังกะสีที่ร้อนระอุ ลมพัดพาเอาฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่ว
เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี ก้าวเดินอย่างระมัดระวังบนเส้นทางดินลูกรังที่แตกเป็นร่องลึก
บรรยากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ช่างแตกต่างจากที่เคยเป็นมาอย่างสิ้นเชิง
ทุ่งนาเขียวขจีที่เคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้กลับกลายเป็นผืนดินแห้งผากแตกเป็นรอยร้าวลึกราว
ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาตายไปจนเกลี้ยง เหลือไว้เพียงกิ่งก้านที่แห้งผึ่งลม
บ้านเรือนที่เคยดูร่มรื่นกลับดูทรุดโทรม
บานประตูหน้าต่างผุพัง
รั้วไม้ล้มระเนระนาด เด็ก ๆ ที่ควรจะวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานกลับนั่งเงียบ
อยู่ใต้ร่มไม้ใบหญ้าที่เหลือน้อยนิด เด็กที่ควรได้เรียนที่โรงเรียนก็ไม่ได้เรียน
เพราะโรงเรียนอยู่ไกล และยากจน
พวกเขาจ้องมองกลุ่มผู้มาเยือนด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความหวัง
เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี เดินผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า
พบเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของชาวบ้าน
พวกเขาขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค
ผักผลไม้ที่ปลูกไว้ก็เหี่ยวเฉาตายไปจนหมดสิ้น
สัตว์เลี้ยงก็ดูผอมโซขาดสารอาหาร
ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสของชาวบ้านกลับดูเศร้าสร้อย
พวกขโมย ผีปอบ ผีกระสือ ออกอาละวาด ซ้ำเติมความทุกข์ของชาวบ้าน
ขณะที่เดินสำรวจไปรอบ ๆ หมู่บ้าน เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี
พบเห็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นเพียงบ่อดินแห้งผาก
หนองน้ำขนาดใหญ่ที่เคยใช้เลี้ยงสัตว์ก็ตื้นเขินจนแทบจะมองไม่เห็นน้ำ
บรรยากาศโดยรอบดูร้อนระอุและแห้งแล้ง
"เอ็มกวาดสายตามองไปรอบๆ หมู่บ้านที่กำลังทรุดโทรม
พวกเขารู้ดีว่าสถานการณ์ของหมู่บ้านกำลังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หมู่บ้านอาจจะต้องกลายเป็นหมู่บ้านร้างไป
จบตอนที่1
หมู่บ้านท่ามกลางผีปอบผีกระสือ นิยาย4ตอนจบ
.............
ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
เธอร้องเสียงหลง
ก่อนที่ภาพจะตัดไปยังใบหน้าที่บิดเบี้ยวของผีปอบที่วิ่งไล่ตามมา
เสียงของคนในหมู่บ้านที่ตะโกนขอความช่วยเหลือและร้องไห้
ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวและตึงเครียด
ก่อนที่ภาพจะค่อยๆถอยห่างจากผีปอบที่กำลังอาละวาดในหมู่บ้านไป
เวลาต่อมา
ท้องฟ้าสีครามสดใส แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องลงมาบนทุ่งนาเขียวขจี
เสียงเครื่องยนต์รถเก่าๆค่อยๆ เร่งขึ้น พร้อมเสียงคุยกันเบาๆ ของเด็กวัยรุ่น 4 คน
เอ็ม, เมย์, เอก และชาตรี
เอ็มเดินทางไปเยี่ยมยายของเอ็มที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนมในช่วงปิดเทอม
เอ็ม, เมย์, เอก และชาตรี กำลังนั่งอยู่บนรถ พวกเขามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น
เอ็มรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดของยาย
เฮ้ย เมย์ เดี๋ยวถึงแล้วนะ
ฉันก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว
ยายจะทำอะไรอร่อยๆ ไว้ให้เรากินบ้างนะ
เอก: (หัวเราะ) กินอย่างเดียวเลยนะเมย์ เดี๋ยวอ้วนไม่รู้ด้วย
ชาตรี: (มองออกไปนอกหน้าต่าง) ว้าว สวยจังเลย
อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม บ้านหนองผักชี เป็นหมู่บ้านที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ
มีทุ่งนาและแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อยๆ ขนาบสองข้างทาง บ้านเรือนในหมู่บ้านนี้มีลักษณะเรียบง่าย
เป็นบ้านไม้ยกสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝน มีสวนผักและสวนผลไม้กระจายอยู่ทั่วหมู่บ้าน
ที่นี่มีบรรยากาศสงบสุขและเงียบสงัด แต่ความเจริญยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
เอ็ม, เมย์, เอก, และชาตรี เดินทางมาด้วยรถยนต์คันเก่า
สองข้างทางเป็นทุ่งนาและบ้านเรือนไม้สไตล์อีสานเรียงรายอยู่ริมทาง
บรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นธรรมชาติแตกต่างจากชีวิตในเมืองที่วุ่นวาย
"บ้านยายอยู่ใกลไหม" เอก เพื่อนสนิทของเอ็มเอ่ยถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ เอ็มตอบ
เดี๋ยวเราไปเที่ยวกันให้ทั่วเลยนะ" เมย์ กล่าวเสริมด้วยความตื่นเต้น
หวังว่าฉันจะเจอผู้ชายงานดีนะ ชาตรีหัวเราะคิกคัก
เมื่อเอ็ม, เมย์, เอก, และชาตรี เดินทางมาถึงหมู่บ้าน
พวกเขาเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง
ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ ไร้เมฆสักก้อน
แสงแดดจ้าสาดส่องลงมาบนพื้นดินที่แตกแห้งเป็นร่องลึก มีพุ่มไม้เหี่ยวเฉาและต้นไม้ที่ใบเหลืองกรอบ
เสียงไก่ร้องเจื้อยแจ้วอยู่เบื้องหลัง
พวกเขาเดินทางไปเยี่ยมยายของเอ็มที่บ้านหลังเก่าแก่
...
ยายนั่งอยู่บนแคร่ไม้เก่าๆ สภาพโทรม
ยายมองออกไปนอกหน้าต่างบานเก่า
ฝุ่นจับหนาจนมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกไม่ชัดเจน
ร่างกายที่เคยแข็งแรงผอมบางลง
รอยย่นที่หน้าผากและหางตาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาอย่างยาวนาน
ดวงตาที่เคยสดใสขุ่นมัวลงเหลือเพียงประกายอ่อนล้า
"เอ็ม! พวกแกมาถึงแล้วเหรอ!" เสียงน้ามีดังกังวานไปทั่วบ้าน
"เพื่อนของเอ็มใช่ไหมลูก น้ามีเอง ยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้านหลังนี้เลยนะ"
น้ามีพูดพลางตบไหล่เอกเบาๆ
บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่น
..............
ยายนั่งแกว่งตัวช้าๆ ใบหน้ายายมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้น "เอ็มเป็นไงบ้างลูก? ร้อนไหมลูก? ."
คำถามไหลออกมาจากปากยายไม่ขาดสาย ยายจับมือเอ็มไว้แน่น
สายตาของยายเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย เอ็มรู้สึกอบอุ่นใจ
ยายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเอ็มอย่างละเอียด
แล้วเอ็มก็หันมาถามยายถึงความเป็นอยู่ในหมู่บ้านบ้าง ยายเล่าให้เอ็มฟังถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
เอ็มนั่งลงข้างยาย ฟังเรื่องราวจากยายที่เล่าเกี่ยวกับหมู่บ้าน
หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป ลูกหลานส่วนใหญ่ย้ายเข้าไปทำงานในเมืองกันหมด
เหลือแต่คนแก่กับเด็กๆ ที่ดูแลหมู่บ้านกันไม่ไหว ฝนก็ไม่ตก เกิดภัยแห้งแล้งบ่อยครั้ง
ทำให้พืชผลเสียหาย บางปีต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน
ทำให้การเพาะปลูกและชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากมากขึ้น ยาบ้าก็ระบาด
ซ้ำมีผีปอบผีกระสือ มีขโมย เกิดปัญหามากมาย " ยายเล่าให้ฟัง
"ฟังยายเล่าเรื่องแล้วรู้สึกหดหู่ใจจังเลยค่ะ
เอาเป็นว่าเราพักเรื่องเครียดๆ กันก่อนดีกว่านะคะ
ยายคงหิวแล้วเดี๋ยวเอ็มออกไปซื้ออะไรให้ยายกินนะ ยายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?"
ข้าวต้มร้อน ๆ สักชามน่ะลูก
เดี๋ยวเอ็มออกไปซื้อมาให้ยายกินนะ
แสงอาทิตย์ยามเย็นทอแสงอ่อนๆ ลงมาบนถนน เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี ก้าวออกจากบ้านยาย
เสียงหัวเราะคิกคักดังเป็นระยะๆ ขณะที่พวกเขาเดินไปตามทางเท้า
พวกเขาเดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
แสงแดดแผดเผาผ่าวลงมาบนหลังคาสังกะสีที่ร้อนระอุ ลมพัดพาเอาฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่ว
เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี ก้าวเดินอย่างระมัดระวังบนเส้นทางดินลูกรังที่แตกเป็นร่องลึก
บรรยากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ช่างแตกต่างจากที่เคยเป็นมาอย่างสิ้นเชิง
ทุ่งนาเขียวขจีที่เคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้กลับกลายเป็นผืนดินแห้งผากแตกเป็นรอยร้าวลึกราว
ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉาตายไปจนเกลี้ยง เหลือไว้เพียงกิ่งก้านที่แห้งผึ่งลม
บ้านเรือนที่เคยดูร่มรื่นกลับดูทรุดโทรม
บานประตูหน้าต่างผุพัง
รั้วไม้ล้มระเนระนาด เด็ก ๆ ที่ควรจะวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานกลับนั่งเงียบ
อยู่ใต้ร่มไม้ใบหญ้าที่เหลือน้อยนิด เด็กที่ควรได้เรียนที่โรงเรียนก็ไม่ได้เรียน
เพราะโรงเรียนอยู่ไกล และยากจน
พวกเขาจ้องมองกลุ่มผู้มาเยือนด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความหวัง
เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี เดินผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า
พบเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของชาวบ้าน
พวกเขาขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค
ผักผลไม้ที่ปลูกไว้ก็เหี่ยวเฉาตายไปจนหมดสิ้น
สัตว์เลี้ยงก็ดูผอมโซขาดสารอาหาร
ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสของชาวบ้านกลับดูเศร้าสร้อย
พวกขโมย ผีปอบ ผีกระสือ ออกอาละวาด ซ้ำเติมความทุกข์ของชาวบ้าน
ขณะที่เดินสำรวจไปรอบ ๆ หมู่บ้าน เอ็ม เอก เมย์ และชาตรี
พบเห็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นเพียงบ่อดินแห้งผาก
หนองน้ำขนาดใหญ่ที่เคยใช้เลี้ยงสัตว์ก็ตื้นเขินจนแทบจะมองไม่เห็นน้ำ
บรรยากาศโดยรอบดูร้อนระอุและแห้งแล้ง
"เอ็มกวาดสายตามองไปรอบๆ หมู่บ้านที่กำลังทรุดโทรม
พวกเขารู้ดีว่าสถานการณ์ของหมู่บ้านกำลังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หมู่บ้านอาจจะต้องกลายเป็นหมู่บ้านร้างไป
จบตอนที่1