วิปัสสนากรรมฐาน

ควรต้องรู้อะไรบ้าง?
ก่อนจะเริ่มต้องเข้าใจในเรื่องว่า พระสัพพัญญูทั้งหลายท่านสอนอะไร?  

           โอวาทปาติโมกข์ ทรงตรัสว่า  
การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม  นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

พระพุทธองค์ทรงได้ฏีกาไว้ว่า

                  *1.ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ ฯ
 *2. อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ฯ
 *3. ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ฯ

จนกระทั่งถึง                                        6. สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ ฯ
โยนิโสมนสิการตรงนี้เข้ามา   สมาธิควรมี ศีล เป็นเหตุ เพราะเมื่อสมาธิอันศีลอบรมแล้ว 
"ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่"   จะทำเป็นมองข้ามละเลย ทำอึนมองผ่านไปไม่ได้เลย เพราะเป็นพุทธพจน์โดยตรง
 และในเมื่อสร้างเหตุถูก  ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่ จะเป็นผลตามมา
จะได้ไม่ต้องมานั่งเป็นที่ถกเถียงกันในเรื่องสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ
ดังนั้นไม่ต้องตามหาสมาธิที่ไหน เพียงน้อมนำศีลที่เป็นกุศล มีความไม่ร้อนใจเป็นเหตุใกล้เข้ามา

แล้วปัญญาคืออะไร? ปัญญาคือสัมมาทิฏฐิ คือรู้ถูกตั้งแต่ต้นว่าพระสัพพัญญูทั้งหลายทรงสอนอะไร 
ถึงขนาดทรงตรัสตั้งเป็นกถาตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์
พระสารีบุตรท่านได้ฏีกาไว้ว่า   อริยสาวกรู้ชัดซึ่งกุศลและรากเหง้าอกุศล "แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้"  
อริยสาวกชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ   ดังนั้นแล้วไม่ต้องไปตามหาสัมมาทิฏฐิเวียนรอบไกลไปกว่านี้เลย  หรือต้องรอชาติหน้าใดๆเลย
ท่านได้ฏีกาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งแน่นอนว่าธรรมมะพระพุทธองค์จะต้องสอดรับไม่ขัดแย้งกัน ซึ่งคำฏีกาของพระสารีบุตรนี้
ไปสอดรับกับข้อ 1-3 พอดิบพอดี
 

การไม่ทำบาปทั้งปวง ในส่วนของวิตักกสัณฐานสูตร 
ในข้อที่ว่า  [๒๕๗]  เมื่อเธอนมสิการ นิมิต อื่นอันเป็นกุศล  คือทานก็ได้ แสดงธรรมก็ได้ อ่านธรรมก็ได้ ๆลๆ ในส่วนที่เป็นกุศล 
พึงน้อมนิมิตนั้นเข้ามา  บาปอกุศลก็จะตั้งอยู่ไม่ได้(ภาษาของนักอภิธรรม เขาจะเรียกว่า จิตสัมปยุตได้ที่ละ 1)
จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา  ก็จะไปสอดรับข้อที่ 6 ที่ธรรมเป็น ปฏิจจสมุปันธรรมจาก กุศลไหลไปถึงสุข แล้วไหลต่อไปที่สมาธิ
  แล้วโยนิสโส คำว่ากุศล ก็ตรงนี้เข้ามาตรงกับพระสารีบุตร ในเรื่องของสัมมาทิฏฐิสูตร

ในข้อที่ว่า   [๒๕๘]  ควรพิจารณาโทษของวิตก  ตรงนี้เกี่ยวเนื่องกับ หิริโอตัปปะโดยตรงเลย   หรือ จะมีพุทธดำรัสตรัสเรื่อง
เห็นโทษโดยความเป็นโทษ   เช่นพิจารณาเห็นว่า การด่าเพื่อนพรหมจรรย์มีแต่วิปปฏิสารร้อนใจยุบๆกลางอก  มีแต่โทษเผ็ดร้อน เห็นโทษในวิปปฏิสาร และ ในสัมปรายะ ในข้อนี้ท่านมองด้วยเป็นโทษ เป็นหัวฝี เป็นลูกศร โดยความเป็นทุกข์ ๆลๆ

ในข้อที่ว่า    [๒๕๙]  พึงความไม่ใส่ใจ  คือทำเป็นเพิกไม่สนใจ เช่น เห็นตาไปกระทบสื่อออนไลน์เขาพาดหัวมาไม่น่าเพลิดเพลินใจ ก็ปัดหน้านั้นทิ้งไป อย่านำมาครุ่นคิดต่อ เห็นความเป็นอกุศล

ในข้อที่ว่า   [๒๖๐]   มณสิการสัณฐาน คือ เป็นการพิจารณามันไปตรงๆ คือ อกุศลไหลมาถึงจุดคาอยู่ในใจ  รู้ชัดอกุศลเข้าไปเลย โดยใช้ความเป็นจิตตานุปัสสนา แห่ง สติปัฏฐาน4 ก็ได้  ธรรมะก็ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย และ ยังมีความสอดรับไหลลื่นเข้ากันได้ดี เช่น 
จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโทสะ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน  จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ  

ในข้อที่ว่า  [๒๖๑]  พึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น      ข้อนี้คือบังคับให้อกุศลออกไป เพราะอกุศลไหลมาลึกแล้ว ให้มีสติพิจารณา เหมือนคนถือหม้อน้ำแล้วมีเพชรฆาตเดินตามหลัง ถ้าทำน้ำมันหกจะถูกตัดหัว  และ ไฟไหม้บนศีรษะอย่าพึ่งไปดับไฟ แต่ให้รู้อริยสัจ 4 ก่อนไปดับไฟ   เพราะไฟ คือราคะ คือโทสะ ไฟคือโมหะ กำลังแผดเผา   วิปปฏิสารได้เกิดขึ้นแล้ว

ในท้ายธรรมบทนี้ ท่านกล่าวว่าทำทั้งหมดนี้จะลังโยชน์ได้ ทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ซึ่งก็ก็ตรึกในมุมที่เช่นเคยอีกว่า ธรรมจะสอดรับกัน ส่วนนี้คือปัญญา นอกจากว่าจะเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วก็ยังเป็นสัมมาสังกัปปะ

แล้วพอได้มาอ่านท่อนนี้ก็จักมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า

  [๗๔๘] ดูกรพาหิยะ เมื่อใดแล ศีลของเธอจักบริสุทธิ์ดี และความเห็นของเธอ
   จักตรง เมื่อนั้น เธอพึงอาศัยศีล ตั้งมั่นในศีล แล้วเจริญสติปัฏฐาน ๔.....
   เมื่อนั้น เธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายได้ทีเดียว ตลอดราตรีหรือวันที่จักมาถึง ไม่มี
ความเสื่อมเลย. 

    *ซึ่งตรงนี้นั้นก็ย้อนกลับไปอ่านที่ข้อ 1 ไล่กลับมาได้อีกรอบ
เพื่อความแน่ใจก็อ่าน  พลกรณียสูตรที่ ๑. อีกรอบ (เอาให้ชัดๆ)
 [๒๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘

เอาให้ชัดเข้าไปอีก ผู้อ่านอาจจะสนใจในเรื่องของ โพชฌงค์ 7 ธรรมะวิจัยยะ เฟ้นธรรมในกูศล   และ ปิติสัมโพชฌงค์ ก็โยงมาได้ไม่ขัดแย้งเช่นกัน  ถ้าผู้อ่านมีฉันทะเฟ้นธรรม สนใจเกิดปิติก็อาจจะหาอ่านเรื่องโพชฌงค์ 7 โดยนัยพิศดารเพิ่มเติมในภายหลังเอาตามอัธยาศัย

เมื่อเหตุ(ข้างต้น)พร้อม จะมีปัญญารู้เห็นอะไรๆตามความเป็นจริง  ว่านั้นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นดั่งโรค
อริยะสัจ 4   อนิจจสัญญา ๆลๆ   หรือองค์ธรรมทั้งหลาย ก็จะสามัคคีกันเข้ามาโดยมิได้นัดหมาย

7. สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ฯ

นิพพิทา ความเบื่อหน่าย จะมีด้วยได้ด้วยเหตุแห่งศีล
8. ยถาภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ ฯ

แน่นอนว่านิพพิทาคงไม่ได้เกิดง่ายๆ ดังนั้นจึงเพียรสร้างเหตุดั่งที่พระสารีบุตรท่านได้เมตตาฏีกาไว้

ในธรรมะปริยายจำมุขปาฐะมาบอกต่อ การรู้ชัดในกุศลนี้ 
เพียงพอหรือไม่ที่ต้องกล่าวถามว่า ต้องเลือกกรรมฐานกองไหน ?    จริตอะไร?

ขอตอบดังนี้ว่าไม่ว่าจะจริตอะไร   เพียงละอกุศล ทำกุศลให้ถึงพร้อม  
ถึงไม่ได้ก้าวหน้าทางธรรมอะไร  ไม่ว่าจริตอะไรก็ยังพึงมีสุคติเป็นที่ไป   บางท่านเขาก็ย้ำว่าเป็นความอุ่นใจ
ผู้มีศีล จะไม่กลัวคติสัมปรายะข้างหน้า  เตรียมพร้อมตาย 

 -ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ความไม่เดือดร้อนเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีลนี้ เป็นธรรมดา
 -บุคคลผู้ไม่มีความเดือดร้อน ไม่ต้องทำด้วยเจตนาว่า ขอความปราโมทย์จงเกิดขึ้นแก่เราเถิด 
 -ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ความปราโมทย์เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่มีความเดือดร้อนนี้ เป็นธรรมดา
.......  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลคลายกำหนัดแล้วทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสนะนี้ เป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ด้วยประการดังนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย
ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อการถึงฝั่ง (คือนิพพาน) จากสถานอัน
มิใช่ฝั่ง (คือสังสารวัฏ) ด้วยประการฉะนี้แล 





ก็แต่ วิปัสสนากรรมฐานทำไมไม่เหมือนที่คิด😅?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่