https://pantip.com/topic/42951856 (บทที่ 5 ภาพกล้องวงจรปิด)
แสงสุดท้ายของวันลับทิวเขาไปแล้ว แมลงกลางคืนแข่งกันร้องเซ็งแซ่ ขวัญชีวีกลับขึ้นมาหลับในห้องนอนช่วงบ่าย ด้วยความอ่อนเพลียและวิงเวียนศีรษะ หลับไปนานกี่ชั่วโมงมิอาจรู้ได้ แต่ตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ฉวยผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาและแปรงสีฟันจากกระเป๋าเป้ เดินออกมาเข้าห้องน้ำ หลังเสร็จธุระส่วนตัวก็นุ่งกระโจมอกกลับมาเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ในกระเป๋าเดินทางใบเล็กขึ้นมาสวม ส่องกระจกบนบานด้านในของตู้เสื้อผ้า ทาแป้ง หวีผมแล้วรวบผูกเป็นหางม้า ถอยกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน ทำใจให้นิ่ง รวบรวมสติ ใช้ความคิด และหวนนึกถึงคำที่แม่ “ห้ามเป็นคนอ่อนแอ หัดรู้จักใช้สมองและสติปัญญา อย่าใช้แต่อารมณ์กับความรู้สึก”
ใช่..ยัยชีวี เธอต้องเข้มแข็งในสถานการณ์เช่นนี้ จะมาทำตัวเป็นลูกแหง่ เด็กน้อยจอมงอแงไม่ได้ หัดใช้หัวคิดแก้ปัญหาบ้างสิ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เธอก็ลงมาชั้นล่าง มองหาเพื่อนแม่ทั้งสามคนที่ชุดโซฟา แต่ไม่เห็นใคร ได้ยินเสียงมีดกับเขียงกระทบกันในห้องครัว เดินมาดู พบสาวทอมอยู่คนเดียว กำลังแล่เนื้อสัตว์และหั่นผัก
ขวัญชีวียืนมองอยู่อึดใจใหญ่ จึงก้าวเข้ามายืนข้างหลัง
“หิวจังเลยค่ะน้านาง มีอะไรกินบ้างคะ” ขวัญชีวีเอ่ยทักทายพร้อมเอามือลูบท้อง
“ก็แหงล่ะ กินคุ๊กกี้ไปไม่กี่ชิ้น” นัยนาหันมามอง ยิ้มให้เด็กสาว ชี้นิ้วบอกที่เก็บของกิน “มีนมในตู้เย็น กินรองท้องไปก่อน”
“ขอบคุณค่ะ กำลังทำอะไรกินคะ”
“แกงเผ็ดหมู ไข่เจียว และกะหล่ำทอดน้ำปลา”
“โห..ของโปรดหนูทั้งนั้นเลย แม่ชอบทำให้กิน” เด็กสาวทำเสียงเหมือนลิงโลดออกมาจากใจ
“พี่ขวัญ ส่งรายการอาหารที่น้องชีวีชอบมาให้เยอะเลย บางอย่างน้าก็ทำไม่เป็น หาวัตถุดิบก็ยากในตลาดชนบท”
“ตลาดที่ไหนคะ”
“ใกล้ๆ แถวนี้จ้ะ”
“นี่เราอยู่ไกลจากตัวเมืองมากมั้ยคะ”
“ประมาณร้อยกว่ากิโล” นัยนาวางมีดทำครัว เอื้อมหยิบหม้อใบเล็กมาวางบนเตา เปิดแก๊สติดพรึ่บ
“โห..ไกลจัง แล้วเราอยู่ห่างจากตลาดมเท่าไหร่คะ”
“เกือบยี่สิบกิโล” รินกะทิสีขาวข้นลงในหม้อ ใช้ทัพพีคนๆ สักพักก็ตักน้ำพริกแกงเผ็ดลงไปผัด กลิ่นหอมเครื่องเทศลอยตลบอบอวลทั่วห้องครัว
“ไกลๆ ทั้งนั้นเลย ว่าแต่ น้านางมีหน้าที่ทำกับข้าวให้ทุกคนกินเหรอคะ” ขวัญชีวีเปิดตู้เย็นหยิบกล่องนมมาใช้หลอดเจาะดูด
“เปล่าหรอกจ้ะ น้าไม่ถนัดเรื่องเข้าครัวหรอก คิดล่วงหน้าไม่ออกว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรด้วยซ้ำ ก็เลยซื้อมาแค่วันต่อวัน ต้องเดินวนดูในตลาดหลายรอบ ถึงจะรู้ว่าวันนี้จะทำอะไรกิน” พูดพลางหัวเราะแล้วตักเนื้อหมูลงไปคลุกเคล้าในหม้อแกง
“แล้วยังงี้ ก็ต้องไปซื้อทุกเช้าเลยซิคะ”
“ใช่ บางทีก็อยากจะซื้อทีละเยอะๆ มาเก็บในตู้เย็นนะ จะได้ไม่ต้องออกไปทุกวัน แต่ก็อย่างว่าแหละ ตลาดชนบทหัวเมือง หาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารยาก”
“นั่นสินะคะ ต้องไปทุกวัน เหนื่อยแย่เลย”
“ตามปกติ ใครอยากกินอะไรก็ซื้อของที่ตัวเองชอบเข้ามาแชร์กันกิน แต่ช่วงนี้มันไม่ปกติ” เติมกะทิจากกล่องลงพอท่วมเนื้อหมู
“ไม่ปกติยังไงคะ”
“เอ้า..ก็มีแขกสาวสวยมาพักอยู่ด้วยไง ต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษ เดี๋ยวโดนพี่ขวัญบ่น” พูดพลางหัวเราะร่วน
“อ้าว..” ขวัญชีวีก็พลอยเผลอหัวเราะตาม “แขกตรงไหนเนี่ย สวยตรงไหน ตัวดำปี๊ดปี๋แบบนี้ แขกต้องตัวขาวๆ ถึงจะถูก”
“สูงยาว หน้าเรียว ตาคม ผมหยิกฟูสวยออกอย่างนี้ ใครมองว่าไม่สวย คนนั้นตาไม่ถึง”
“แหม..น้านางก็ชมเกินไป”
“โอ้ย..พี่ขวัญน่ะ เค้าชื่นชมลูกสาวให้ฟังทุกวันแหละ” นัยนาหยิบมะเขือเปราะผ่าซีกใส่ลงในหม้อ
“เหรอคะ คิดถึงแม่จัง ไม่รู้จะเป็นไงบ้างตอนนี้”
“คนนั้น เค้าเก่งถึงเก่งมาก ไม่ต้องห่วงเค้าหรอก”
“เก่งยังไงก็ห่วงค่ะ แม่ขวัญเป็นแม่หนู”
“น้าเข้าใจ แต่น้องชีวีก็ต้องอยู่ที่นี่กับน้า พี่ขวัญถึงจะอุ่นใจ”
“หนูจะได้คุยกับแม่มั้ยคะ” ขวัญชีวีถามขณะนัยนาเติมกะทิส่วนที่เหลือลงไปจนท่วมมะเขือ พอเดือด ใส่ผงปรุงรส น้ำตาลและน้ำปลา แล้วชิม
“ได้คุยสิ เสร็จงานแล้วก็จะได้เจอกัน”
ขวัญชีวีพยักหน้า “ค่ะ..แม่เป็นคนน่าสงสาร”
“ไม่หรอก พี่ขวัญแกร่งกว่าที่น้องชีวีคิดเยอะ ออกจะโหดๆ ด้วยซ้ำ ถ้าจำเป็น ”
“โห..ถึงกับต้องโหดเลยเหรอคะ”
“ก็คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก น้าอาจพูดเกินจริงไปบ้าง” หยิบใบมะกรูดมาหั่นฝอย
“แล้วนี่ น้าศินกับน้ากริช ไปไหนเหรอคะ หนูไม่เห็นเลย” ขวัญชีวีเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยอีกครั้ง
“ออกไปสักสองชั่วโมงแล้ว”
“อ้าว..ไปไหนกันเหรอคะ”
“ไปทำงาน” นัยนาหั่นพริกชี้ฟ้าแดงตามยาว เอาไส้ข้างในออก
“ต้องไปนานมั้ยคะ”
“จนกว่างานจะเสร็จนั่นแหละ” โรยใบมะกรูดลงในแกงแล้วตามด้วยพริกชี้ฟ้าแดง
“น้านางต้องไปทำงานมั้ยคะ”
“ไปจ้ะ แต่ตอนนี้งานคือต้อนรับแขกให้สมเกียรติ” นัยนาพูดแล้วชี้นิ้วบอกหญิงสาว “น้าลืม ช่วยน้าเด็ดใบโหระพาในถาดใบนั้นหน่อย ล้างสะอาดแล้ว”
“ได้ค่ะ” ขวัญชีวีขยับมายืนหน้าเคาน์เตอร์ วางกล่องนมลงแล้วหยิบก้านโหระพามาเด็ดใบ
“แกงแบบบ้านๆ นะ เครื่องเคียงอาจไม่ครบ ตลาดชนบท หาวัตถุดิบได้เท่าที่มี” นัยนาหันมายิ้มกว้าง
“รสชาติอร่อยก็พอแล้วค่ะ” ยื่นถาดใบโหระพาให้นัยนา
“ต่อไปก็ทำกะหล่ำทอดน้ำปลา แล้วก็ไข่เจียว”
“จะกินหมดมั้ยคะเนี่ย อยู่แค่สองคน”
“ทำอย่างละนิดละหน่อย ไม่อยากให้เหลือเก็บค้างคืน แต่น้ากินเยอะนะ หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้วเนี่ย รับรองไม่เหลือ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปตลาดแต่เช้า” หัวเราะแล้วโรยใบโหระพาลงในหม้อและยกลงจากเตาแก๊ส
ขวัญชีวีนิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ขณะที่นัยนาหันไปฉีกก้านใบกะหล่ำปลีวางบนถาดอีกใบ ใจของขวัญชีวีเต้นแรง ก่อนพูดออกมา “น้านางคะ คือ..หนู”
“อะไรจ๊ะ พูดกับน้าตรงๆ ได้เลย”
“คือ..หนูต้องเรียนหนังสือ ต้องใช้โทรศัพท์เรียนออนไลน์ และติดต่อกับอาจารย์ประจำวิชา และฝากเพื่อนที่คณะส่งการบ้านมาให้ทำทางอีเมล์..คือ..”
“น้องชีวีอยากได้โทรศัพท์คืนใช่มั้ย” นัยนาตัดบทสั้นๆ
“ค่ะๆ ใช่ค่ะ”
“เสาร์อาทิตย์แบบนี้มีเรียนด้วยเหรอ”
“อ้อ..หนูหมายถึงตอนเรียนวันจันทร์น่ะค่ะ” โชคดีที่เธอคิดออกทันเวลา
“น้าเข้าใจ แต่เอาไว้พรุ่งนี้น้าขอโทร.ขออนุญาตจากน้าศินก่อนนะ” นัยนาหันมามองตาอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“ค่ะ หนูรอได้ หนูขอโทษที่ทำให้น้านางลำบากใจนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ คืนนี้ก็นอนดูทีวีไปก่อน ง่วงเมื่อไหร่ค่อยขึ้นไปนอน” นัยนาว่า “ตีไข่สองฟอง น้าจะให้น้องชีวีเจียวเอง เห็นพี่ขวัญชมว่าทำไข่เจียวอร่อยที่สุดในสามโลก เย็นนี้น้าขอลองชิมฝีมือเชฟชีวีสักมื้อ”
“ได้เลยค่ะ สบายมาก” เด็กสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย
(จบบทที่ 6)
นิยาย: จอมป่วนชวนจับโจร บทที่ 6 ตีสนิท
แสงสุดท้ายของวันลับทิวเขาไปแล้ว แมลงกลางคืนแข่งกันร้องเซ็งแซ่ ขวัญชีวีกลับขึ้นมาหลับในห้องนอนช่วงบ่าย ด้วยความอ่อนเพลียและวิงเวียนศีรษะ หลับไปนานกี่ชั่วโมงมิอาจรู้ได้ แต่ตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ฉวยผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาและแปรงสีฟันจากกระเป๋าเป้ เดินออกมาเข้าห้องน้ำ หลังเสร็จธุระส่วนตัวก็นุ่งกระโจมอกกลับมาเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ในกระเป๋าเดินทางใบเล็กขึ้นมาสวม ส่องกระจกบนบานด้านในของตู้เสื้อผ้า ทาแป้ง หวีผมแล้วรวบผูกเป็นหางม้า ถอยกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน ทำใจให้นิ่ง รวบรวมสติ ใช้ความคิด และหวนนึกถึงคำที่แม่ “ห้ามเป็นคนอ่อนแอ หัดรู้จักใช้สมองและสติปัญญา อย่าใช้แต่อารมณ์กับความรู้สึก”
ใช่..ยัยชีวี เธอต้องเข้มแข็งในสถานการณ์เช่นนี้ จะมาทำตัวเป็นลูกแหง่ เด็กน้อยจอมงอแงไม่ได้ หัดใช้หัวคิดแก้ปัญหาบ้างสิ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เธอก็ลงมาชั้นล่าง มองหาเพื่อนแม่ทั้งสามคนที่ชุดโซฟา แต่ไม่เห็นใคร ได้ยินเสียงมีดกับเขียงกระทบกันในห้องครัว เดินมาดู พบสาวทอมอยู่คนเดียว กำลังแล่เนื้อสัตว์และหั่นผัก
ขวัญชีวียืนมองอยู่อึดใจใหญ่ จึงก้าวเข้ามายืนข้างหลัง
“หิวจังเลยค่ะน้านาง มีอะไรกินบ้างคะ” ขวัญชีวีเอ่ยทักทายพร้อมเอามือลูบท้อง
“ก็แหงล่ะ กินคุ๊กกี้ไปไม่กี่ชิ้น” นัยนาหันมามอง ยิ้มให้เด็กสาว ชี้นิ้วบอกที่เก็บของกิน “มีนมในตู้เย็น กินรองท้องไปก่อน”
“ขอบคุณค่ะ กำลังทำอะไรกินคะ”
“แกงเผ็ดหมู ไข่เจียว และกะหล่ำทอดน้ำปลา”
“โห..ของโปรดหนูทั้งนั้นเลย แม่ชอบทำให้กิน” เด็กสาวทำเสียงเหมือนลิงโลดออกมาจากใจ
“พี่ขวัญ ส่งรายการอาหารที่น้องชีวีชอบมาให้เยอะเลย บางอย่างน้าก็ทำไม่เป็น หาวัตถุดิบก็ยากในตลาดชนบท”
“ตลาดที่ไหนคะ”
“ใกล้ๆ แถวนี้จ้ะ”
“นี่เราอยู่ไกลจากตัวเมืองมากมั้ยคะ”
“ประมาณร้อยกว่ากิโล” นัยนาวางมีดทำครัว เอื้อมหยิบหม้อใบเล็กมาวางบนเตา เปิดแก๊สติดพรึ่บ
“โห..ไกลจัง แล้วเราอยู่ห่างจากตลาดมเท่าไหร่คะ”
“เกือบยี่สิบกิโล” รินกะทิสีขาวข้นลงในหม้อ ใช้ทัพพีคนๆ สักพักก็ตักน้ำพริกแกงเผ็ดลงไปผัด กลิ่นหอมเครื่องเทศลอยตลบอบอวลทั่วห้องครัว
“ไกลๆ ทั้งนั้นเลย ว่าแต่ น้านางมีหน้าที่ทำกับข้าวให้ทุกคนกินเหรอคะ” ขวัญชีวีเปิดตู้เย็นหยิบกล่องนมมาใช้หลอดเจาะดูด
“เปล่าหรอกจ้ะ น้าไม่ถนัดเรื่องเข้าครัวหรอก คิดล่วงหน้าไม่ออกว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรด้วยซ้ำ ก็เลยซื้อมาแค่วันต่อวัน ต้องเดินวนดูในตลาดหลายรอบ ถึงจะรู้ว่าวันนี้จะทำอะไรกิน” พูดพลางหัวเราะแล้วตักเนื้อหมูลงไปคลุกเคล้าในหม้อแกง
“แล้วยังงี้ ก็ต้องไปซื้อทุกเช้าเลยซิคะ”
“ใช่ บางทีก็อยากจะซื้อทีละเยอะๆ มาเก็บในตู้เย็นนะ จะได้ไม่ต้องออกไปทุกวัน แต่ก็อย่างว่าแหละ ตลาดชนบทหัวเมือง หาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารยาก”
“นั่นสินะคะ ต้องไปทุกวัน เหนื่อยแย่เลย”
“ตามปกติ ใครอยากกินอะไรก็ซื้อของที่ตัวเองชอบเข้ามาแชร์กันกิน แต่ช่วงนี้มันไม่ปกติ” เติมกะทิจากกล่องลงพอท่วมเนื้อหมู
“ไม่ปกติยังไงคะ”
“เอ้า..ก็มีแขกสาวสวยมาพักอยู่ด้วยไง ต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษ เดี๋ยวโดนพี่ขวัญบ่น” พูดพลางหัวเราะร่วน
“อ้าว..” ขวัญชีวีก็พลอยเผลอหัวเราะตาม “แขกตรงไหนเนี่ย สวยตรงไหน ตัวดำปี๊ดปี๋แบบนี้ แขกต้องตัวขาวๆ ถึงจะถูก”
“สูงยาว หน้าเรียว ตาคม ผมหยิกฟูสวยออกอย่างนี้ ใครมองว่าไม่สวย คนนั้นตาไม่ถึง”
“แหม..น้านางก็ชมเกินไป”
“โอ้ย..พี่ขวัญน่ะ เค้าชื่นชมลูกสาวให้ฟังทุกวันแหละ” นัยนาหยิบมะเขือเปราะผ่าซีกใส่ลงในหม้อ
“เหรอคะ คิดถึงแม่จัง ไม่รู้จะเป็นไงบ้างตอนนี้”
“คนนั้น เค้าเก่งถึงเก่งมาก ไม่ต้องห่วงเค้าหรอก”
“เก่งยังไงก็ห่วงค่ะ แม่ขวัญเป็นแม่หนู”
“น้าเข้าใจ แต่น้องชีวีก็ต้องอยู่ที่นี่กับน้า พี่ขวัญถึงจะอุ่นใจ”
“หนูจะได้คุยกับแม่มั้ยคะ” ขวัญชีวีถามขณะนัยนาเติมกะทิส่วนที่เหลือลงไปจนท่วมมะเขือ พอเดือด ใส่ผงปรุงรส น้ำตาลและน้ำปลา แล้วชิม
“ได้คุยสิ เสร็จงานแล้วก็จะได้เจอกัน”
ขวัญชีวีพยักหน้า “ค่ะ..แม่เป็นคนน่าสงสาร”
“ไม่หรอก พี่ขวัญแกร่งกว่าที่น้องชีวีคิดเยอะ ออกจะโหดๆ ด้วยซ้ำ ถ้าจำเป็น ”
“โห..ถึงกับต้องโหดเลยเหรอคะ”
“ก็คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก น้าอาจพูดเกินจริงไปบ้าง” หยิบใบมะกรูดมาหั่นฝอย
“แล้วนี่ น้าศินกับน้ากริช ไปไหนเหรอคะ หนูไม่เห็นเลย” ขวัญชีวีเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยอีกครั้ง
“ออกไปสักสองชั่วโมงแล้ว”
“อ้าว..ไปไหนกันเหรอคะ”
“ไปทำงาน” นัยนาหั่นพริกชี้ฟ้าแดงตามยาว เอาไส้ข้างในออก
“ต้องไปนานมั้ยคะ”
“จนกว่างานจะเสร็จนั่นแหละ” โรยใบมะกรูดลงในแกงแล้วตามด้วยพริกชี้ฟ้าแดง
“น้านางต้องไปทำงานมั้ยคะ”
“ไปจ้ะ แต่ตอนนี้งานคือต้อนรับแขกให้สมเกียรติ” นัยนาพูดแล้วชี้นิ้วบอกหญิงสาว “น้าลืม ช่วยน้าเด็ดใบโหระพาในถาดใบนั้นหน่อย ล้างสะอาดแล้ว”
“ได้ค่ะ” ขวัญชีวีขยับมายืนหน้าเคาน์เตอร์ วางกล่องนมลงแล้วหยิบก้านโหระพามาเด็ดใบ
“แกงแบบบ้านๆ นะ เครื่องเคียงอาจไม่ครบ ตลาดชนบท หาวัตถุดิบได้เท่าที่มี” นัยนาหันมายิ้มกว้าง
“รสชาติอร่อยก็พอแล้วค่ะ” ยื่นถาดใบโหระพาให้นัยนา
“ต่อไปก็ทำกะหล่ำทอดน้ำปลา แล้วก็ไข่เจียว”
“จะกินหมดมั้ยคะเนี่ย อยู่แค่สองคน”
“ทำอย่างละนิดละหน่อย ไม่อยากให้เหลือเก็บค้างคืน แต่น้ากินเยอะนะ หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้วเนี่ย รับรองไม่เหลือ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปตลาดแต่เช้า” หัวเราะแล้วโรยใบโหระพาลงในหม้อและยกลงจากเตาแก๊ส
ขวัญชีวีนิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ขณะที่นัยนาหันไปฉีกก้านใบกะหล่ำปลีวางบนถาดอีกใบ ใจของขวัญชีวีเต้นแรง ก่อนพูดออกมา “น้านางคะ คือ..หนู”
“อะไรจ๊ะ พูดกับน้าตรงๆ ได้เลย”
“คือ..หนูต้องเรียนหนังสือ ต้องใช้โทรศัพท์เรียนออนไลน์ และติดต่อกับอาจารย์ประจำวิชา และฝากเพื่อนที่คณะส่งการบ้านมาให้ทำทางอีเมล์..คือ..”
“น้องชีวีอยากได้โทรศัพท์คืนใช่มั้ย” นัยนาตัดบทสั้นๆ
“ค่ะๆ ใช่ค่ะ”
“เสาร์อาทิตย์แบบนี้มีเรียนด้วยเหรอ”
“อ้อ..หนูหมายถึงตอนเรียนวันจันทร์น่ะค่ะ” โชคดีที่เธอคิดออกทันเวลา
“น้าเข้าใจ แต่เอาไว้พรุ่งนี้น้าขอโทร.ขออนุญาตจากน้าศินก่อนนะ” นัยนาหันมามองตาอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“ค่ะ หนูรอได้ หนูขอโทษที่ทำให้น้านางลำบากใจนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ คืนนี้ก็นอนดูทีวีไปก่อน ง่วงเมื่อไหร่ค่อยขึ้นไปนอน” นัยนาว่า “ตีไข่สองฟอง น้าจะให้น้องชีวีเจียวเอง เห็นพี่ขวัญชมว่าทำไข่เจียวอร่อยที่สุดในสามโลก เย็นนี้น้าขอลองชิมฝีมือเชฟชีวีสักมื้อ”
“ได้เลยค่ะ สบายมาก” เด็กสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย
(จบบทที่ 6)