พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑
ธรรมสังคณีปกรณ์
อารมณ์ ๔
[๑๖๗] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
มีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๖๘] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
มีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๖๙] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
มีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๗๐] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
มีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๗๑] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
มีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ
มีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ
มีกำลังมากมีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ
มีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
อารมณ์ ๔ จบ
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=34&A=1450
อธิบายอารมณ์ของฌาน ๔
บัดนี้ ชื่อว่า ฌานนี้มี ๔ อย่าง แม้โดยประเภทอารมณ์ เหมือนประเภทปฏิปทา เพราะฉะนั้น เพื่อทรงแสดงประเภทอารมณ์นั้นแห่งฌานนั้น จึงเริ่มคำเป็นต้นว่า กตเม ธมฺมา กุสลา ดังนี้อีก.
พึงทราบวินิจฉัยในรูปาวจรกุศลฌานนั้นมีคำเป็นต้นว่า ปริตฺตํ ปริตฺตารมฺมณํ (ฌานมีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย) ต่อไป
ฌานใดไม่คล่องแคล่ว (มีคุณน้อย) ไม่สามารถเป็นปัจจัยแก่ฌานในเบื้องบน ฌานนี้ชื่อว่าปริตตะ.
ส่วนฌานใด เป็นไปในอารมณ์มีนิมิตเท่ากระด้ง หรือเท่าขันน้ำ ซึ่งขยายขึ้นไม่ได้ ฌานนี้ชื่อว่าปริตตะ อารมณ์เป็นปริตตะของฌานนี้มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ฌานนั้นจึงชื่อว่าปริตตารมณ์ (มีอารมณ์เล็กน้อย).
ฌานใดคล่องแคล่ว อบรมดีแล้ว สามารถเป็นปัจจัยแก่ฌานเบื้องบน ฌานนี้ชื่อว่าอัปปมาณ.
ฌานใดเป็นไปในอารมณ์อันกว้างขวาง ฌานนั้นก็ ชื่อว่า อัปปมาณ เพราะกำหนดนิมิตที่เจริญได้.
อารมณ์เป็นอัปปมาณ มีอยู่แก่ฌานนั้น เพราะเหตุนั้น ฌานนั้นจึงชื่อว่า อัปปมาณารมณ์ (อารมณ์ไม่มีประมาณ).
อนึ่ง พึงทราบนัยที่เจือกันเพราะความที่ลักษณะตามที่กล่าวแล้วเจือกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมหมวด ๙ ไว้ ๔ หมวด
แม้ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ ดังพรรณนามาฉะนี้.
อนึ่ง การนับจิตในประเภทแห่งอารมณ์นี้ เหมือนกับประเภทแห่งปฏิปทานั่นแล.
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=167
พระสูตรนี้หมายถึงเรื่องพวกนี้หรือ...?
ความคล่องในฌาน...? วสี ๕...?
การขยายหรือกำหนดนิมิต...?
ฌาน ๔ อย่าง โดยอารมณ์
ธรรมสังคณีปกรณ์
อารมณ์ ๔
[๑๖๗] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ มีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๖๘] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ มีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๖๙] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ มีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๗๐] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ มีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
[๑๗๑] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคล เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
มีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ
มีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ
มีกำลังมากมีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ
มีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
อารมณ์ ๔ จบ
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=34&A=1450
อธิบายอารมณ์ของฌาน ๔
บัดนี้ ชื่อว่า ฌานนี้มี ๔ อย่าง แม้โดยประเภทอารมณ์ เหมือนประเภทปฏิปทา เพราะฉะนั้น เพื่อทรงแสดงประเภทอารมณ์นั้นแห่งฌานนั้น จึงเริ่มคำเป็นต้นว่า กตเม ธมฺมา กุสลา ดังนี้อีก.
พึงทราบวินิจฉัยในรูปาวจรกุศลฌานนั้นมีคำเป็นต้นว่า ปริตฺตํ ปริตฺตารมฺมณํ (ฌานมีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย) ต่อไป
ฌานใดไม่คล่องแคล่ว (มีคุณน้อย) ไม่สามารถเป็นปัจจัยแก่ฌานในเบื้องบน ฌานนี้ชื่อว่าปริตตะ.
ส่วนฌานใด เป็นไปในอารมณ์มีนิมิตเท่ากระด้ง หรือเท่าขันน้ำ ซึ่งขยายขึ้นไม่ได้ ฌานนี้ชื่อว่าปริตตะ อารมณ์เป็นปริตตะของฌานนี้มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ฌานนั้นจึงชื่อว่าปริตตารมณ์ (มีอารมณ์เล็กน้อย).
ฌานใดคล่องแคล่ว อบรมดีแล้ว สามารถเป็นปัจจัยแก่ฌานเบื้องบน ฌานนี้ชื่อว่าอัปปมาณ.
ฌานใดเป็นไปในอารมณ์อันกว้างขวาง ฌานนั้นก็ ชื่อว่า อัปปมาณ เพราะกำหนดนิมิตที่เจริญได้.
อารมณ์เป็นอัปปมาณ มีอยู่แก่ฌานนั้น เพราะเหตุนั้น ฌานนั้นจึงชื่อว่า อัปปมาณารมณ์ (อารมณ์ไม่มีประมาณ).
อนึ่ง พึงทราบนัยที่เจือกันเพราะความที่ลักษณะตามที่กล่าวแล้วเจือกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมหมวด ๙ ไว้ ๔ หมวด
แม้ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ ดังพรรณนามาฉะนี้.
อนึ่ง การนับจิตในประเภทแห่งอารมณ์นี้ เหมือนกับประเภทแห่งปฏิปทานั่นแล.
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=167
พระสูตรนี้หมายถึงเรื่องพวกนี้หรือ...?
ความคล่องในฌาน...? วสี ๕...?
การขยายหรือกำหนดนิมิต...?