แค่อยากมาเรียบเรียงจะได้ใจเย็นลงค่ะ เผื่อใครอาจจะเคยเป็นเหมือนกัน
[เตือนล่วงหน้า มีการกล่าวถึงโรคซึมเศร้าและอาการแพนิค]
เกริ่นก่อนว่าก่อนหน้านี้ เราเป็นนศ.ป.โท ช่วงทำวิจัยเราเจอรุ่นพี่ที่เราไม่โอเคด้วยมากๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะอาจารย์ให้เค้าเป็นคนดูแลเรา เค้าเป็นคนคาดคั้นคำตอบมากๆ ห้ามพูดว่าไม่รู้ ตั้งคำถามกับการกระทำทุกอิริยาบถ พอถามก็โดนด่า ไม่ถามก็โดนด่า เป็นประเภทคนอื่นผิดหมดแต่ฉันไม่ผิด
กลายเป็นว่าผ่านไปสักพัก ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาคุยกับเราแล้วถามคำถามพื้นๆ แค่ว่าทำอะไรอยู่ วันนี้ทำอะไรมั่ง เราแพนิคพูดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนจะอาเจียนเลยค่ะ ยังดีที่มีรุ่นพี่คนอื่นสังเกตเห็นแล้วเข้ามาคุยกับเราว่าไม่เป็นไรนะ เรามาเรียนไม่ได้มาเป็นที่ระบายอารมณ์ให้ใคร เราเลยพออยู่ต่อได้แล้วไปหาหมอจิตเวช อาการดีขึ้นตามลำดับ ตอนนี้จบมาได้อย่างสวยงามและกำลังหางานทำค่ะ
ทีนี้เพื่อสุขภาพจิตของตัวเอง เราก็ตัดสินใจมั่นเหมาะแล้วว่าจะไม่ทำต่อที่เดิมกับที่เราทำวิจัยเลยออกมาสมัครงานข้างนอก พอดีมีที่หนึ่งเรียกเราไปสัมภาษณ์ (เจ้าหน้าที่ HR น่ารักมากค่ะ อธิบายดีมาก) เป็นงานที่ต้องใช้วุฒิป.โท เป็นงานวิทย์เหมือนที่เราจบมาแต่อาจจะไม่ได้ตรงกับหัวข้อที่เราเชี่ยวชาญเสียทีเดียว เราก็แบบโอเคๆ ลองไปสัมภาษณ์ดูเผื่อฟลุคได้ขึ้นมา
เราหาข้อมูลบริษัทไปคร่าวๆ และดูว่าเค้าทำอะไรบ้างมีอะไรยังไงแต่ไม่ได้ลงลึกมาก เราไปดูออฟฟิศเค้าล่วงหน้าเพื่อจะได้กะเวลาเดินทางถูกและจะได้มีไอเดียคร่าวๆ ว่าหน้าตาบริษัทเป็นยังไง พอถึงวันสัมภาษณ์เราไปถึงก่อนชั่วโมงนึงแต่เค้าบอกเข้าไปนั่งรอได้ เราเลยเข้าไป มีคนมารอต่อคิวเราหนึ่งคนแต่เราไม่ได้คุยด้วย เห็นเค้าดูเครียดๆ เลยไม่กล้าทัก 5555
ทีนี้การสัมภาษณ์เป็นแบบผสมค่ะ คือมีเจ้าหน้าที่ในห้องประชุม 1 ท่านและผ่านทางซูมอีก 2-3 ท่าน ตอนรอคนเข้าห้องประชุมเราก็นั่งเสิร์ชชื่อแล้วรู้ว่าเป็นคุณหมอที่ทำงานที่นี่แหละ โอเคไม่น่าจะอะไรมาก เค้านั่งอ่านใบสมัครเราอยู่ในห้องแล้วชวนคุยนู่นนี่นั่น ถามว่าทำไมไม่เรียนต่อล่ะ ได้ภาษาที่สามด้วยไม่หางานทางนี้ต่อเหรอ บลาๆ
พอเริ่มสัมภาษณ์จริงๆ นี่แหละค่ะ อาการทางจิตที่เราคิดว่าหายแล้วนี่พรึบกลับมาทันทีเลย
เราแนะนำตัวผ่านไปได้แบบไม่มีปัญหามาก เจ้าหน้าที่ในห้องประชุมมีแอบใบ้ช่วยเราด้วยนิดนึงว่าต้องพูดอะไรเสริม แต่คนที่ถามคำถามส่วนมากจะเป็นคุณหมอที่เรามองไม่เห็นหน้าที่เค้าเข้าผ่านทางซูม เค้าถามคำถามทางเทคนิคมากๆ เกี่ยวกับงาน ซึ่งเรารู้ว่าเค้ากำลังทดสอบว่าเราอ่านเรื่องที่ทำงานมาดีแค่ไหน เหมาะกับตำแหน่งไหม มีสถานการณ์จำลองมาให้ด้วย ซึ่งประเด็นคือเราตอบไม่ได้ค่ะ สมองโล่งพูดอะไรไม่ออกไปเลย เค้าถามเจาะลึกจริงๆ แล้วย้ำหลายรอบว่ารู้ใช่ไหมว่าเราสมัครตำแหน่งอะไร ที่นี่ทำอะไร ได้เตรียมตัวมาบ้างไหม ไม่ได้อ่านมาเลยเหรอ โทนเสียงที่เค้าใช้เหมือนกับรุ่นพี่เราตอนเรียน ซึ่งมันไปทริกเกอร์อาการแพนิคเราเข้าพอดีจนเราตอบเค้าไม่ได้ กลายเป็นไร้สาระไม่ตรงคำถามไปเลยค่ะ ลืมว่าพูดอะไรไปบ้าง ลืมว่าเค้าถามอะไร บางทีหยุดพูดไปกลางประโยคก็มี เรารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่แต่หาทางจบประเด็นไม่ได้ สุดท้ายก็เลยเงียบกริบไปเลย ดูสีหน้าคนในห้องประชุมก็รู้ว่าเค้าไม่โอเคกับเรามากๆ แต่ต้องอยู่ให้ครบครึ่งชั่วโมงตามเวลาที่นัด
เราอยากวิ่งออกจากห้องมากๆ อยากร้องไห้ด้วย แต่ร่างกายไม่ยอมขยับเลย ทุกคำถามเหมือนโจมตีเราไปหมด แค่เค้าเอาเรื่องทั่วไปที่เราเขียนในใบสมัครมาถาม เรายังรู้สึกเหมือนเค้าเอาสิ่งที่เป็นตัวตนของเราขึ้นมาโจมตีเราในการสัมภาษณ์เลยทั้งที่รู้ว่าเค้าไม่ได้คิดอย่างนั้น
ในที่สุดเค้าก็หมดหวังกับเราแล้วปล่อยออกมาก่อนเวลาค่ะ ก้าวแรกออกจากห้องประชุมเราก็ขอโทษที่ทำเค้าเสียเวลา เค้าก็ดูโอเคให้กำลังใจบอกว่ามันก็แบบนี้แหละ เรารู้ว่าไม่ได้แน่ๆ โล่งใจด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าถ้าเราทริกเกอร์แบบนี้แสดงว่าเราทำงานที่นี่ไม่ไหวแน่ แต่มันยังรู้สึกเฟลอยู่ดี
วันนั้นเราทำตัวร่าเริงเกินเหตุแล้วดูมือถือ/เล่นเกมตลอดเวลาจะได้ไม่ไปนึกถึง แต่พอตอนใกล้นอน เหมือนอะไรที่เรากดมันไว้ทั้งวันมันระเบิดออกมาจนเราร้องไห้ไม่หยุด (น้องหมาที่เลี้ยงพยายามปลอบหนักมาก เลียน้ำตา คาบของเล่นมาให้ แต่ทำเราร้องไห้หนักกว่าเดิม โธ่) ตื่นมาปวดหัวตาบวม คิดอย่างเดียวว่าถ้าเราต้องสัมภาษณ์งานที่อื่น เราจะไม่เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอวะ แบบนี้จะไปได้งานได้ไง
เราอยากรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเลยไปค้นดู ปรากฏว่ามันเป็นผลกระทบจากบาดแผลจิตใจประเภทหนึ่งค่ะ fight/flight/freeze ถ้าเขียนอธิบายจะยาว ลองเสิร์ชดูได้ค่ะ 5555+ เราเป็นคนเรียนรู้เร็ว หมายถึงสิ่งที่ประสบมาจะแปรสภาพเป็นความทรงจำระยะยาวและเป็นองค์ความรู้/แนวคิดในสมองได้เร็ว คนประเภทนี้เป็นโรคซึมเศร้าและมีแผลใจได้ง่ายมากเพราะถ้าเกิดเหตุการณ์แย่ๆ แค่ครั้งสองครั้ง สมองจะ"เรียนรู้อย่างรวดเร็ว"และจำไม่ลืมจนกลายเป็นแผลใจได้ง่ายๆ เลย กรณีเราคือเราเรียนรู้ไปแล้วว่าสัมภาษณ์งาน = อันตรายต่อสภาพจิต = ต้องหาทางปกป้องตัวเอง = อย่าไปสัมภาษณ์
ทำให้เราเครียด ไม่รู้จะสู้หรือจะหนีดี...แล้วจะไปยกเลิกแนวคิดนี้ยังไง เราก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
รู้ว่าการหางาน/สัมภาษณ์มันยาก เราไม่ได้มีปัญหาอยู่คนเดียว แต่การคิดว่า "คนอื่นก็เป็นกันหมด" มันคือการเมินเฉยสิ่งที่เรากำลังรู้สึกเหมือนตอนเราเล่นเกมให้ลืมแล้วมันมาระเบิดเอาทีหลังนั่นแหละ เราเลยหาวิธีทำอะไรสักอย่างให้มันดีขึ้น เลยมาพิมพ์เล่าค่ะ หวังว่าพอเรียบเรียงออกมาแล้วจะทำให้มันดีขึ้น แล้วมันก็พอจะดีขึ้นจริงๆ
เราอาจจะไม่ได้เข้ามาดูคอมเมนต์ในเร็ววันนี้เพราะสภาพจิตใจยังไม่โอเค แต่ขอบคุณล่วงหน้าที่เข้ามานะคะ
ปล. กระทู้นี้ไม่ได้ต้องการพาดพิงใคร หากคนในเรื่องมาอ่านก็อย่าคิดอะไรเลยค่ะ
เล่าประสบการณ์ไปสัมภาษณ์งานแล้วกลับบ้านมาร้องไห้ทั้งคืน
[เตือนล่วงหน้า มีการกล่าวถึงโรคซึมเศร้าและอาการแพนิค]
เกริ่นก่อนว่าก่อนหน้านี้ เราเป็นนศ.ป.โท ช่วงทำวิจัยเราเจอรุ่นพี่ที่เราไม่โอเคด้วยมากๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะอาจารย์ให้เค้าเป็นคนดูแลเรา เค้าเป็นคนคาดคั้นคำตอบมากๆ ห้ามพูดว่าไม่รู้ ตั้งคำถามกับการกระทำทุกอิริยาบถ พอถามก็โดนด่า ไม่ถามก็โดนด่า เป็นประเภทคนอื่นผิดหมดแต่ฉันไม่ผิด
กลายเป็นว่าผ่านไปสักพัก ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาคุยกับเราแล้วถามคำถามพื้นๆ แค่ว่าทำอะไรอยู่ วันนี้ทำอะไรมั่ง เราแพนิคพูดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนจะอาเจียนเลยค่ะ ยังดีที่มีรุ่นพี่คนอื่นสังเกตเห็นแล้วเข้ามาคุยกับเราว่าไม่เป็นไรนะ เรามาเรียนไม่ได้มาเป็นที่ระบายอารมณ์ให้ใคร เราเลยพออยู่ต่อได้แล้วไปหาหมอจิตเวช อาการดีขึ้นตามลำดับ ตอนนี้จบมาได้อย่างสวยงามและกำลังหางานทำค่ะ
ทีนี้เพื่อสุขภาพจิตของตัวเอง เราก็ตัดสินใจมั่นเหมาะแล้วว่าจะไม่ทำต่อที่เดิมกับที่เราทำวิจัยเลยออกมาสมัครงานข้างนอก พอดีมีที่หนึ่งเรียกเราไปสัมภาษณ์ (เจ้าหน้าที่ HR น่ารักมากค่ะ อธิบายดีมาก) เป็นงานที่ต้องใช้วุฒิป.โท เป็นงานวิทย์เหมือนที่เราจบมาแต่อาจจะไม่ได้ตรงกับหัวข้อที่เราเชี่ยวชาญเสียทีเดียว เราก็แบบโอเคๆ ลองไปสัมภาษณ์ดูเผื่อฟลุคได้ขึ้นมา
เราหาข้อมูลบริษัทไปคร่าวๆ และดูว่าเค้าทำอะไรบ้างมีอะไรยังไงแต่ไม่ได้ลงลึกมาก เราไปดูออฟฟิศเค้าล่วงหน้าเพื่อจะได้กะเวลาเดินทางถูกและจะได้มีไอเดียคร่าวๆ ว่าหน้าตาบริษัทเป็นยังไง พอถึงวันสัมภาษณ์เราไปถึงก่อนชั่วโมงนึงแต่เค้าบอกเข้าไปนั่งรอได้ เราเลยเข้าไป มีคนมารอต่อคิวเราหนึ่งคนแต่เราไม่ได้คุยด้วย เห็นเค้าดูเครียดๆ เลยไม่กล้าทัก 5555
ทีนี้การสัมภาษณ์เป็นแบบผสมค่ะ คือมีเจ้าหน้าที่ในห้องประชุม 1 ท่านและผ่านทางซูมอีก 2-3 ท่าน ตอนรอคนเข้าห้องประชุมเราก็นั่งเสิร์ชชื่อแล้วรู้ว่าเป็นคุณหมอที่ทำงานที่นี่แหละ โอเคไม่น่าจะอะไรมาก เค้านั่งอ่านใบสมัครเราอยู่ในห้องแล้วชวนคุยนู่นนี่นั่น ถามว่าทำไมไม่เรียนต่อล่ะ ได้ภาษาที่สามด้วยไม่หางานทางนี้ต่อเหรอ บลาๆ
พอเริ่มสัมภาษณ์จริงๆ นี่แหละค่ะ อาการทางจิตที่เราคิดว่าหายแล้วนี่พรึบกลับมาทันทีเลย
เราแนะนำตัวผ่านไปได้แบบไม่มีปัญหามาก เจ้าหน้าที่ในห้องประชุมมีแอบใบ้ช่วยเราด้วยนิดนึงว่าต้องพูดอะไรเสริม แต่คนที่ถามคำถามส่วนมากจะเป็นคุณหมอที่เรามองไม่เห็นหน้าที่เค้าเข้าผ่านทางซูม เค้าถามคำถามทางเทคนิคมากๆ เกี่ยวกับงาน ซึ่งเรารู้ว่าเค้ากำลังทดสอบว่าเราอ่านเรื่องที่ทำงานมาดีแค่ไหน เหมาะกับตำแหน่งไหม มีสถานการณ์จำลองมาให้ด้วย ซึ่งประเด็นคือเราตอบไม่ได้ค่ะ สมองโล่งพูดอะไรไม่ออกไปเลย เค้าถามเจาะลึกจริงๆ แล้วย้ำหลายรอบว่ารู้ใช่ไหมว่าเราสมัครตำแหน่งอะไร ที่นี่ทำอะไร ได้เตรียมตัวมาบ้างไหม ไม่ได้อ่านมาเลยเหรอ โทนเสียงที่เค้าใช้เหมือนกับรุ่นพี่เราตอนเรียน ซึ่งมันไปทริกเกอร์อาการแพนิคเราเข้าพอดีจนเราตอบเค้าไม่ได้ กลายเป็นไร้สาระไม่ตรงคำถามไปเลยค่ะ ลืมว่าพูดอะไรไปบ้าง ลืมว่าเค้าถามอะไร บางทีหยุดพูดไปกลางประโยคก็มี เรารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่แต่หาทางจบประเด็นไม่ได้ สุดท้ายก็เลยเงียบกริบไปเลย ดูสีหน้าคนในห้องประชุมก็รู้ว่าเค้าไม่โอเคกับเรามากๆ แต่ต้องอยู่ให้ครบครึ่งชั่วโมงตามเวลาที่นัด
เราอยากวิ่งออกจากห้องมากๆ อยากร้องไห้ด้วย แต่ร่างกายไม่ยอมขยับเลย ทุกคำถามเหมือนโจมตีเราไปหมด แค่เค้าเอาเรื่องทั่วไปที่เราเขียนในใบสมัครมาถาม เรายังรู้สึกเหมือนเค้าเอาสิ่งที่เป็นตัวตนของเราขึ้นมาโจมตีเราในการสัมภาษณ์เลยทั้งที่รู้ว่าเค้าไม่ได้คิดอย่างนั้น
ในที่สุดเค้าก็หมดหวังกับเราแล้วปล่อยออกมาก่อนเวลาค่ะ ก้าวแรกออกจากห้องประชุมเราก็ขอโทษที่ทำเค้าเสียเวลา เค้าก็ดูโอเคให้กำลังใจบอกว่ามันก็แบบนี้แหละ เรารู้ว่าไม่ได้แน่ๆ โล่งใจด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าถ้าเราทริกเกอร์แบบนี้แสดงว่าเราทำงานที่นี่ไม่ไหวแน่ แต่มันยังรู้สึกเฟลอยู่ดี
วันนั้นเราทำตัวร่าเริงเกินเหตุแล้วดูมือถือ/เล่นเกมตลอดเวลาจะได้ไม่ไปนึกถึง แต่พอตอนใกล้นอน เหมือนอะไรที่เรากดมันไว้ทั้งวันมันระเบิดออกมาจนเราร้องไห้ไม่หยุด (น้องหมาที่เลี้ยงพยายามปลอบหนักมาก เลียน้ำตา คาบของเล่นมาให้ แต่ทำเราร้องไห้หนักกว่าเดิม โธ่) ตื่นมาปวดหัวตาบวม คิดอย่างเดียวว่าถ้าเราต้องสัมภาษณ์งานที่อื่น เราจะไม่เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอวะ แบบนี้จะไปได้งานได้ไง
เราอยากรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเลยไปค้นดู ปรากฏว่ามันเป็นผลกระทบจากบาดแผลจิตใจประเภทหนึ่งค่ะ fight/flight/freeze ถ้าเขียนอธิบายจะยาว ลองเสิร์ชดูได้ค่ะ 5555+ เราเป็นคนเรียนรู้เร็ว หมายถึงสิ่งที่ประสบมาจะแปรสภาพเป็นความทรงจำระยะยาวและเป็นองค์ความรู้/แนวคิดในสมองได้เร็ว คนประเภทนี้เป็นโรคซึมเศร้าและมีแผลใจได้ง่ายมากเพราะถ้าเกิดเหตุการณ์แย่ๆ แค่ครั้งสองครั้ง สมองจะ"เรียนรู้อย่างรวดเร็ว"และจำไม่ลืมจนกลายเป็นแผลใจได้ง่ายๆ เลย กรณีเราคือเราเรียนรู้ไปแล้วว่าสัมภาษณ์งาน = อันตรายต่อสภาพจิต = ต้องหาทางปกป้องตัวเอง = อย่าไปสัมภาษณ์
ทำให้เราเครียด ไม่รู้จะสู้หรือจะหนีดี...แล้วจะไปยกเลิกแนวคิดนี้ยังไง เราก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
รู้ว่าการหางาน/สัมภาษณ์มันยาก เราไม่ได้มีปัญหาอยู่คนเดียว แต่การคิดว่า "คนอื่นก็เป็นกันหมด" มันคือการเมินเฉยสิ่งที่เรากำลังรู้สึกเหมือนตอนเราเล่นเกมให้ลืมแล้วมันมาระเบิดเอาทีหลังนั่นแหละ เราเลยหาวิธีทำอะไรสักอย่างให้มันดีขึ้น เลยมาพิมพ์เล่าค่ะ หวังว่าพอเรียบเรียงออกมาแล้วจะทำให้มันดีขึ้น แล้วมันก็พอจะดีขึ้นจริงๆ
เราอาจจะไม่ได้เข้ามาดูคอมเมนต์ในเร็ววันนี้เพราะสภาพจิตใจยังไม่โอเค แต่ขอบคุณล่วงหน้าที่เข้ามานะคะ
ปล. กระทู้นี้ไม่ได้ต้องการพาดพิงใคร หากคนในเรื่องมาอ่านก็อย่าคิดอะไรเลยค่ะ