สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาแชร์เหตุผลที่เราสละสิทธิ์เข้ารับบรรจุข้าราชการครูของเราค่ะ
และเราขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้แชร์คลิปการสละสิทธิ์เข้ารับราชการครูด้วยนะค่ะ
คลิกเข้าไปชมตรงนี้ค่ะ แต่หากใครรักการอ่านมากกว่าการดูคลิป ตามมาเลยค่ะ
เราขออนุญาตออกตัวก่อนสิ่งอื่นใดนะค่ะ ว่านี่คือการตัดสินใจ และเหตุผลส่วนตัวของเราเท่านั้นนะค่ะ
มาเริ่มกันเลยค่ะ
ใครเคยต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ใหญ่มากๆในช่วงวัย 20 ต้นๆไหมคะ และการตัดสินใจนั้นอาจจะทำร้ายจิตใจคนในครอบครัวระดับหนึงด้วย
ถ้าจะได้ตอบคำถามข้างต้นนี้นะค่ะ เราตอบได้ว่า เราเป็นหนึ่งคนค่ะ ที่ตัดสินใจอะไรที่ใหญ่มากๆอย่างหนึงในชีวิต ตอนช่วงประมาณ 20 ต้นๆของเรา
นั้นคือ เราสละสิทธิ์การเข้ารับราชการครูค่ะ
เราไม่รู้ว่าหลายๆคนที่เดินออกจากงานครูคิดเหมือนเราไหมนะค่ะ เราคิดว่าตอนนั้นเราอยู่ในช่วงชีวิตที่แบบว่า Just say yes, I will figure it out later มากๆ คือตัดสินใจแบบไม่ค่อยจะมีความกลัว
สำหรับเรานะค่ะการสละสิทธิ์ราชการ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยค่ะ เราต้องยอมรับเลยค่ะว่าหลังจากที่เราตัดสินใจนั้น เราก็กลัวว่าเราตัดสินใจผิด เพราะมันคือ ถ้าตัดสินใจผิด ชีวิตเปลี่ยน แต่เราก้ต้อง move on กับการตัดสินใจของเรา และยอมรับผลที่จะตามมาของการตัดสินใจ
เพื่อนเราหลายๆคนมองเราว่ามันเป็นการตัดสินใจที่งี่เง้ามาก เพราะเราเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึงที่ถูกสอนมาตลอดว่าการรับราชการคืออาชีพที่จะดูแลครอบครัวได้ เพราะสวัสดิการต่างๆ ที่สำคัญคืออาชีพราชการคือ 1 ในอาชีพที่หลายๆคนไฝ่ฝัน ตั้งหน้าตั้วตาอ่านหนังสือสอบกัน เป็นอาชีพที่มีหน้ามีตา ครอบครัวเราเสียใจค่ะ แต่โชคดีที่ครอบครัวเคารพการตัดสินใจของเรา อะไรทำให้เราสละสิทธิ์ เราจะเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ
เรารู้ได้ไงว่ารับราชการมันไม่ใช่เรา
เราให้เวลาตัวเองทำงานในโรงเรียนก่อนสอบเข้าบรรจุร่วมๆ 2 ปีค่ะ ระหว่างนั้นเราก็เตรียมสอบไปด้วย และนี่คือเหตุผลที่เราไปต่อไม่ได้ค่ะ
เราจบคณะศึกษาสาสตร์เอกภาษาอังกฤษมาค่ะ และเรามี passoin มากๆกับการที่เราอยากจะสอนนักเรียนของเราให้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษให้ได้ เพราะเราเชื่อเป้าหมายของการเรียนภาษาคือการสื่อสาร โดยเฉพาะนักเรียนต้องสามารถสนทนาเอาตัวรอดได้ แต่ทุกคนรู้ไหมคะ เราทำไม่ได้ เราไม่สามารถพัฒนานักเรียนของเราให้ได้ตามที่เราคาดหวัง เราให้เด็กตกเยอะมาก จนเราเองถูกผู้ใหญ่ตำหนิ และถูกมองว่าเราหรือเปล่าที่สอนไม่ได้ เราเลยพิจารณาตัวเองว่าจริงๆเราเหมาะกับอาชีพนี้จริงๆหรือเปล่า
ถ้าพูดตรงๆ คือเงินเดือนน้อยค่ะ ตอนที่เราเข้าสอนโรงเรียนใหม่ๆ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เราจะได้รับเงินเดือน 1,5000 บาท หลังจากหักประกันสังคม จ่ายค่าบ้านเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าเดินทางไปกลับจากจังหวัดที่เราทำงาน เพื่อกลับไปหาครอบครัวที่บ้านอีกจังหวัด เราก็ไม่เหลือเก็บแล้วค่ะ ถ้าเราจะหางานเสิรมก็ยากมากๆเพราะเราเลิกจาก รร ก็ค่ำแล้ว กลับถึงบ้านก็หมดพลังแล้วค่ะ ไหนจะต้องทำงานอื่นๆที่ได้รับมอบหมายจากโรงเรียนนอกเหนือจากการสอนอีก เราไม่มีพลังจริงๆค่ะกับการทำงานเสิรม ถ้าเราขอได้ เราอยากให้รัฐบาลเห็นความสำคัญครูมากกว่านี่เรื่องเงินเดือน เพราะครูแต่ละคนทำงานหนักมากๆ มากๆจริงๆ บางทีเราเห็นเพื่อนครูที่มีลูกแทบจะไม่ได้มีเวลากับลูกตัวเองเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ ครูควรได้รับค่าตอบแทนที่เป็นกำลังใจมากกว่านี้ (นี่ความคิดส่วนตัวเรานะค่ะ) เพราะมันคือกำลังใจของการทำงานหนัก
ข้อนี้สำคัญสุดๆ สำคัญกว่าสองข้อแรกมากๆค่ะ เรารวมถึงครูท่านอื่นๆต้องทำงานอื่นเยอะมาก เยอะกว่างานสอน เราต้องช่วยงานสหกรณ์โรงเรียน พัสดุก็ต้องช่วย เข้าเวรห้องพยาบาล บางทีเข้าเวรห้องสมุดแทนคนอื่น เข้าเวรที่โรงเรียนตอน รร ปิดเทอม (อันนี้เราไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมครูต้องทำ ทำไม รร ไม่มีระบบ รปพ แทน) ต้องพยายามกวดขันนักเรียนที่มีความสามารถให้เข้าแข่งทักษะทางวิชาการที่กดดันคือเราต้องทำให้นักเรียนชนะการแข่งขัน ผู้ใหญ่จะได้ชอบเรา ถ้าเราทำไม่ได้เราอาจจะไม่ได้เป็นคนโปรดของผู้ใหญ่ และชีวิตการทำงานก็จะยากขึ้น เราไม่เข้าใจอีกค่ะว่าทำไมต้องมีการจัดการแข่งขันทางวิชาการ ในเมื่อเด็กเรียนอย่างเดียวก็เครียดอยู่แล้ว ที่สำคัญ...เราไม่มีเวลาให้นักเรียนที่เขาอ่อนทักษะเลย เราไม่มีเวลาให้กับนักเรียนที่เขาต้องการเรามากที่สุด นักเรียนที่เขาต้องการเรามากที่สุดคือนักเรียนที่เขาอ่อนไม่ว่าจะทักษะทางวิชาการ หรือทักษะทางสังคมของเขา เรามองว่านักเรียนกลุ่มนี้ต่างหากที่เราต้องคอยกวดขัน ช่วยเหลือเขา เราควรมีสิทธิ์ที่ตะกระตุ้นให้เขาทีความสามารถเทียบเท่ากับเพื่อนคนอื่นในห้อง แต่เราไม่มีเวลาพอ เหมือนเราเห็นแก่ตัวมากๆเลยค่ะ เพราะเราต้องคอยเอาตัวรอดเช่นกัน ต้องทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบและพอใจ ทำเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ทำเพื่อนักเรียนของเราจริงๆ เหมือนเราถูกบีบถูกสั่งอยู่ตลอด เครียด anxious โดยเฉพาะตอนที่ต้องเตรียมประเมินโรงเรียน เอกสารกองเป็นภูเขา ความมากของเรื่องเอกสารไม่ต้องพุดถึงเลยค่ะ เราไม่เข้าใจว่าทำไมความสำคัญมันไม่ใช่นักเรียน หัวใจสำคัญของการเป็นครูของเราคือการพัฒนานักเรียนเพื่อให้เขามีความสามารถ มีความมั่นใจในสิ่งที่เขาถนัด แต่ทั้งหมดที่เราทำตลอด 2 ปีเราไม่รู้ว่าเราทำเพื่อใครกันแน่ หรือเราแค่เห็นแก่ตัว และลืมคิดถึงนักเรียนของเราไป บางทีเรามองว่าเราแค่ทำไปเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับ รร มันไม่ใช่เพื่อเด็กเลย …….เรารู้สึกแย่ แย่มากๆค่ะ และรู้สึกผิดมากตรง เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอาชีพนี้คืออาชีพครูแบบที่เราต้องการไหม ข้อนี้เป็นข้อที่ทำร้ายจิตใจเรามาตลอด มันทำให้เราไม่อยากไป รร ไม่อยากสอน ไม่อยากเจอใครใน รร เราไม่มีพลัง เสียใจ ถึงกับเคยร้องไห้ เพราะเราไม่คิดว่าเส้นทางอาชีพครูของเราจะเป็นแบบนี้ แรงบันดาลใจเราหาย เราอยากทำให้เด็กที่เขาไม่ถูกเลือกไปแข่งขันทางวิชาการได้เห็นว่าตัวเขาไม่ได้ถูกมองข้าม เราอยากมีเวลาพอเพื่อที่จะทำให้เราเห็นว่าเขาก็มีศักยภาพอะไรบางอย่างที่เขาจะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่มีความสามารถทางวิชาการก็ตาม แต่...เรากลับไม่มีเวลาพอสำหรับเด็กลุ่มนี้
หลังจากที่เราให้เวลาตัวเองในการสอนที่โรงเรียนเพื่อพิสูจน์ว่านี่คืองานที่จริงๆแล้วเราต้องการหรือเปล่า เราถามตัวเองว่าถ้าทำต่ออีกแค่ 5 ปี ไม่ต้องรอถึงขั้น retire หรอก เราคิดว่าเราไหวไหม เราจะมีความสุขไหม
คำตอบของเราชัดเจนมากเลยค่ะ เราไปต่อไม่ไหว
จุดประสงค์หลัก หรือความต้องการในชีวิตการทำงานสอนของเราคืออยากสอนหนังสือ อยากอยู่กับนักเรียนของเรา อยากสร้างแรงบรรดาลใจให้นักเรียนของเรา อยากเห็นนักเรียนของเราโตมาเป็นคนดี อยากเห็นเด็กที่เรียนอ่อนมีความมั่นใจในตัวเอง และมองเห็นความสามารถที่เขามี เราอยากมีเวลาให้กับนักเรียนของเรา ถ้าเราทำงานนี้ไปอีก 5 ปี เรารู้เลยค่ะว่าสภาพจิตใจเราไปไม่ไหวแน่ๆ ที่สำคัญคือมันจะทำให้สภาพร่างกายของเราถอยลงด้วย ในที่สุดเรามองว่าเราเองที่ไม่เหมาะกับงานนี้ เพราะเราทำมันได้ไม่ดีพอตามที่เราคาดหวังไว้
จากเหตุผล 3 อย่าง เราเดินออกจากงานสอนในโรงเรียน เพราะเราเห็นแล้วค่ะว่า เราไม่สามารถที่จะเป็นเรือลำนั้นที่สามารถพานักเรียนของเราไปทุกคนไปถึงฝั่งได้สำเร็จ และเราไม่มีความภูมิใจในตัวเอง
เราใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ 5 ปี เรายังมีความรักในการเป็นครูของตัวเองถึงแม้เราไม่ได้เป็นครูแล้วก็ตาม เราแอบมองว่าระบบของครูที่อังกฤษเขาแอบกดดันครูแบบหนักมากๆเช่นกันค่ะ แต่ครูไม่ต้องวุ่นวายเรื่องผลงาน หรือการแข่งขัยทางวิชาการของเด็กๆ ในทางกลับกันครูที่นี่ต้องดูแลรายละเอียดนักเรียนเป็นรายบุคคล ครูกดดันตรงที่จะต้องหาวิธิพัฒนานักเรียนแต่ละคนยังไงให้เขาเท่าทันเพื่อนๆในชั้น ครูต้องหาวิธิว่าจะทำยังไงให้นักเรียนมีความสุขที่จะมาโรงเรียน ครูที่นี่มีเวลาเต็มที่กับนักเรียนมากๆและแต่ละห้องเรียนก็จะมี Teaching Assistant อย่างน้อย 1 คน เพื่อจะช่วยเหลือครู ครูไม่ต้องทำผลงานอะไรเลยค่ะ เราแอบคิดว่าเด็กที่นี่โชคดีที่ระบบ รร เขา จดจ่ออยู่กับนักเรียนมากกว่าสิ่งอื่นใด
เราไม่รู้ว่าเราจะพัฒนาการสอนของเรายังไงถ้าเรายังอยู่ในโรงเรียน เรามองว่าครูไทยมีความสามารถเยอะมากๆเลยค่ะ แต่ครูไทยกลับไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองมากกว่า เรายังมีเพื่อนครูที่ทำงานหนักมากๆตอนนี้ เราเห็นเพื่อนๆทำงานจนเรารู้สึกว่าทุกคนเป็นคนที่ทุ่มเทมากๆ และอดทนมากๆ เราว่าที่เขาพูดว่า ครูคือเรือจ้าง นี่คือจริงมากๆ นอกจากจะต้องมีความอดทนกับงานที่เยอะมากๆแล้ว ครูจะต้องมีความเข้มแข็งมากๆด้วยที่จะผ่านร้อนผ่านหนาวจากงานอื่นๆที่รุมล้อม
ถึงตอนนี้ถ้าให้เรามองความสำเร็จในชีวิตการทำงานของเรา เรามองว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นข้าราชการ เราก็ประสบความสำเร็จในแบบของเราได้เช่นกัน มันอยู่ที่ความพอใจ และมุมมอง ถึงแม้งานที่เราทำจะไม่มีสวัสดิการของรัฐ แต่เราก็สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้ และได้ทำงานที่เรารู้สึกว่าเราภูมิใจในตัวเองมาก
สำหรับคนที่กำลังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเดินต่อสายงานราชการดีไหม เราคิดว่าควรจะให้เวลาตัวเองก่อนนะค่ะ เพราะเราจะได้รู้ว่าจริงๆเราใช่กับงานไหม บางทีทำไปแล้วอาจจะชอบก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่ใช่เราค่อยถอยก็ได้ค่ะ ต้องลองก่อน
สละสิทธิ์เข้ารับข้าราชการครู
และเราขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้แชร์คลิปการสละสิทธิ์เข้ารับราชการครูด้วยนะค่ะ คลิกเข้าไปชมตรงนี้ค่ะ แต่หากใครรักการอ่านมากกว่าการดูคลิป ตามมาเลยค่ะ
เราขออนุญาตออกตัวก่อนสิ่งอื่นใดนะค่ะ ว่านี่คือการตัดสินใจ และเหตุผลส่วนตัวของเราเท่านั้นนะค่ะ
มาเริ่มกันเลยค่ะ
ใครเคยต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ใหญ่มากๆในช่วงวัย 20 ต้นๆไหมคะ และการตัดสินใจนั้นอาจจะทำร้ายจิตใจคนในครอบครัวระดับหนึงด้วย
ถ้าจะได้ตอบคำถามข้างต้นนี้นะค่ะ เราตอบได้ว่า เราเป็นหนึ่งคนค่ะ ที่ตัดสินใจอะไรที่ใหญ่มากๆอย่างหนึงในชีวิต ตอนช่วงประมาณ 20 ต้นๆของเรา
นั้นคือ เราสละสิทธิ์การเข้ารับราชการครูค่ะ
เราไม่รู้ว่าหลายๆคนที่เดินออกจากงานครูคิดเหมือนเราไหมนะค่ะ เราคิดว่าตอนนั้นเราอยู่ในช่วงชีวิตที่แบบว่า Just say yes, I will figure it out later มากๆ คือตัดสินใจแบบไม่ค่อยจะมีความกลัว
สำหรับเรานะค่ะการสละสิทธิ์ราชการ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยค่ะ เราต้องยอมรับเลยค่ะว่าหลังจากที่เราตัดสินใจนั้น เราก็กลัวว่าเราตัดสินใจผิด เพราะมันคือ ถ้าตัดสินใจผิด ชีวิตเปลี่ยน แต่เราก้ต้อง move on กับการตัดสินใจของเรา และยอมรับผลที่จะตามมาของการตัดสินใจ
เพื่อนเราหลายๆคนมองเราว่ามันเป็นการตัดสินใจที่งี่เง้ามาก เพราะเราเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึงที่ถูกสอนมาตลอดว่าการรับราชการคืออาชีพที่จะดูแลครอบครัวได้ เพราะสวัสดิการต่างๆ ที่สำคัญคืออาชีพราชการคือ 1 ในอาชีพที่หลายๆคนไฝ่ฝัน ตั้งหน้าตั้วตาอ่านหนังสือสอบกัน เป็นอาชีพที่มีหน้ามีตา ครอบครัวเราเสียใจค่ะ แต่โชคดีที่ครอบครัวเคารพการตัดสินใจของเรา อะไรทำให้เราสละสิทธิ์ เราจะเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ
เรารู้ได้ไงว่ารับราชการมันไม่ใช่เรา
เราให้เวลาตัวเองทำงานในโรงเรียนก่อนสอบเข้าบรรจุร่วมๆ 2 ปีค่ะ ระหว่างนั้นเราก็เตรียมสอบไปด้วย และนี่คือเหตุผลที่เราไปต่อไม่ได้ค่ะ
เราจบคณะศึกษาสาสตร์เอกภาษาอังกฤษมาค่ะ และเรามี passoin มากๆกับการที่เราอยากจะสอนนักเรียนของเราให้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษให้ได้ เพราะเราเชื่อเป้าหมายของการเรียนภาษาคือการสื่อสาร โดยเฉพาะนักเรียนต้องสามารถสนทนาเอาตัวรอดได้ แต่ทุกคนรู้ไหมคะ เราทำไม่ได้ เราไม่สามารถพัฒนานักเรียนของเราให้ได้ตามที่เราคาดหวัง เราให้เด็กตกเยอะมาก จนเราเองถูกผู้ใหญ่ตำหนิ และถูกมองว่าเราหรือเปล่าที่สอนไม่ได้ เราเลยพิจารณาตัวเองว่าจริงๆเราเหมาะกับอาชีพนี้จริงๆหรือเปล่า
ถ้าพูดตรงๆ คือเงินเดือนน้อยค่ะ ตอนที่เราเข้าสอนโรงเรียนใหม่ๆ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เราจะได้รับเงินเดือน 1,5000 บาท หลังจากหักประกันสังคม จ่ายค่าบ้านเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าเดินทางไปกลับจากจังหวัดที่เราทำงาน เพื่อกลับไปหาครอบครัวที่บ้านอีกจังหวัด เราก็ไม่เหลือเก็บแล้วค่ะ ถ้าเราจะหางานเสิรมก็ยากมากๆเพราะเราเลิกจาก รร ก็ค่ำแล้ว กลับถึงบ้านก็หมดพลังแล้วค่ะ ไหนจะต้องทำงานอื่นๆที่ได้รับมอบหมายจากโรงเรียนนอกเหนือจากการสอนอีก เราไม่มีพลังจริงๆค่ะกับการทำงานเสิรม ถ้าเราขอได้ เราอยากให้รัฐบาลเห็นความสำคัญครูมากกว่านี่เรื่องเงินเดือน เพราะครูแต่ละคนทำงานหนักมากๆ มากๆจริงๆ บางทีเราเห็นเพื่อนครูที่มีลูกแทบจะไม่ได้มีเวลากับลูกตัวเองเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ ครูควรได้รับค่าตอบแทนที่เป็นกำลังใจมากกว่านี้ (นี่ความคิดส่วนตัวเรานะค่ะ) เพราะมันคือกำลังใจของการทำงานหนัก
ข้อนี้สำคัญสุดๆ สำคัญกว่าสองข้อแรกมากๆค่ะ เรารวมถึงครูท่านอื่นๆต้องทำงานอื่นเยอะมาก เยอะกว่างานสอน เราต้องช่วยงานสหกรณ์โรงเรียน พัสดุก็ต้องช่วย เข้าเวรห้องพยาบาล บางทีเข้าเวรห้องสมุดแทนคนอื่น เข้าเวรที่โรงเรียนตอน รร ปิดเทอม (อันนี้เราไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมครูต้องทำ ทำไม รร ไม่มีระบบ รปพ แทน) ต้องพยายามกวดขันนักเรียนที่มีความสามารถให้เข้าแข่งทักษะทางวิชาการที่กดดันคือเราต้องทำให้นักเรียนชนะการแข่งขัน ผู้ใหญ่จะได้ชอบเรา ถ้าเราทำไม่ได้เราอาจจะไม่ได้เป็นคนโปรดของผู้ใหญ่ และชีวิตการทำงานก็จะยากขึ้น เราไม่เข้าใจอีกค่ะว่าทำไมต้องมีการจัดการแข่งขันทางวิชาการ ในเมื่อเด็กเรียนอย่างเดียวก็เครียดอยู่แล้ว ที่สำคัญ...เราไม่มีเวลาให้นักเรียนที่เขาอ่อนทักษะเลย เราไม่มีเวลาให้กับนักเรียนที่เขาต้องการเรามากที่สุด นักเรียนที่เขาต้องการเรามากที่สุดคือนักเรียนที่เขาอ่อนไม่ว่าจะทักษะทางวิชาการ หรือทักษะทางสังคมของเขา เรามองว่านักเรียนกลุ่มนี้ต่างหากที่เราต้องคอยกวดขัน ช่วยเหลือเขา เราควรมีสิทธิ์ที่ตะกระตุ้นให้เขาทีความสามารถเทียบเท่ากับเพื่อนคนอื่นในห้อง แต่เราไม่มีเวลาพอ เหมือนเราเห็นแก่ตัวมากๆเลยค่ะ เพราะเราต้องคอยเอาตัวรอดเช่นกัน ต้องทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบและพอใจ ทำเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ทำเพื่อนักเรียนของเราจริงๆ เหมือนเราถูกบีบถูกสั่งอยู่ตลอด เครียด anxious โดยเฉพาะตอนที่ต้องเตรียมประเมินโรงเรียน เอกสารกองเป็นภูเขา ความมากของเรื่องเอกสารไม่ต้องพุดถึงเลยค่ะ เราไม่เข้าใจว่าทำไมความสำคัญมันไม่ใช่นักเรียน หัวใจสำคัญของการเป็นครูของเราคือการพัฒนานักเรียนเพื่อให้เขามีความสามารถ มีความมั่นใจในสิ่งที่เขาถนัด แต่ทั้งหมดที่เราทำตลอด 2 ปีเราไม่รู้ว่าเราทำเพื่อใครกันแน่ หรือเราแค่เห็นแก่ตัว และลืมคิดถึงนักเรียนของเราไป บางทีเรามองว่าเราแค่ทำไปเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับ รร มันไม่ใช่เพื่อเด็กเลย …….เรารู้สึกแย่ แย่มากๆค่ะ และรู้สึกผิดมากตรง เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอาชีพนี้คืออาชีพครูแบบที่เราต้องการไหม ข้อนี้เป็นข้อที่ทำร้ายจิตใจเรามาตลอด มันทำให้เราไม่อยากไป รร ไม่อยากสอน ไม่อยากเจอใครใน รร เราไม่มีพลัง เสียใจ ถึงกับเคยร้องไห้ เพราะเราไม่คิดว่าเส้นทางอาชีพครูของเราจะเป็นแบบนี้ แรงบันดาลใจเราหาย เราอยากทำให้เด็กที่เขาไม่ถูกเลือกไปแข่งขันทางวิชาการได้เห็นว่าตัวเขาไม่ได้ถูกมองข้าม เราอยากมีเวลาพอเพื่อที่จะทำให้เราเห็นว่าเขาก็มีศักยภาพอะไรบางอย่างที่เขาจะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่มีความสามารถทางวิชาการก็ตาม แต่...เรากลับไม่มีเวลาพอสำหรับเด็กลุ่มนี้
หลังจากที่เราให้เวลาตัวเองในการสอนที่โรงเรียนเพื่อพิสูจน์ว่านี่คืองานที่จริงๆแล้วเราต้องการหรือเปล่า เราถามตัวเองว่าถ้าทำต่ออีกแค่ 5 ปี ไม่ต้องรอถึงขั้น retire หรอก เราคิดว่าเราไหวไหม เราจะมีความสุขไหม
คำตอบของเราชัดเจนมากเลยค่ะ เราไปต่อไม่ไหว
จุดประสงค์หลัก หรือความต้องการในชีวิตการทำงานสอนของเราคืออยากสอนหนังสือ อยากอยู่กับนักเรียนของเรา อยากสร้างแรงบรรดาลใจให้นักเรียนของเรา อยากเห็นนักเรียนของเราโตมาเป็นคนดี อยากเห็นเด็กที่เรียนอ่อนมีความมั่นใจในตัวเอง และมองเห็นความสามารถที่เขามี เราอยากมีเวลาให้กับนักเรียนของเรา ถ้าเราทำงานนี้ไปอีก 5 ปี เรารู้เลยค่ะว่าสภาพจิตใจเราไปไม่ไหวแน่ๆ ที่สำคัญคือมันจะทำให้สภาพร่างกายของเราถอยลงด้วย ในที่สุดเรามองว่าเราเองที่ไม่เหมาะกับงานนี้ เพราะเราทำมันได้ไม่ดีพอตามที่เราคาดหวังไว้
จากเหตุผล 3 อย่าง เราเดินออกจากงานสอนในโรงเรียน เพราะเราเห็นแล้วค่ะว่า เราไม่สามารถที่จะเป็นเรือลำนั้นที่สามารถพานักเรียนของเราไปทุกคนไปถึงฝั่งได้สำเร็จ และเราไม่มีความภูมิใจในตัวเอง
เราใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ 5 ปี เรายังมีความรักในการเป็นครูของตัวเองถึงแม้เราไม่ได้เป็นครูแล้วก็ตาม เราแอบมองว่าระบบของครูที่อังกฤษเขาแอบกดดันครูแบบหนักมากๆเช่นกันค่ะ แต่ครูไม่ต้องวุ่นวายเรื่องผลงาน หรือการแข่งขัยทางวิชาการของเด็กๆ ในทางกลับกันครูที่นี่ต้องดูแลรายละเอียดนักเรียนเป็นรายบุคคล ครูกดดันตรงที่จะต้องหาวิธิพัฒนานักเรียนแต่ละคนยังไงให้เขาเท่าทันเพื่อนๆในชั้น ครูต้องหาวิธิว่าจะทำยังไงให้นักเรียนมีความสุขที่จะมาโรงเรียน ครูที่นี่มีเวลาเต็มที่กับนักเรียนมากๆและแต่ละห้องเรียนก็จะมี Teaching Assistant อย่างน้อย 1 คน เพื่อจะช่วยเหลือครู ครูไม่ต้องทำผลงานอะไรเลยค่ะ เราแอบคิดว่าเด็กที่นี่โชคดีที่ระบบ รร เขา จดจ่ออยู่กับนักเรียนมากกว่าสิ่งอื่นใด
เราไม่รู้ว่าเราจะพัฒนาการสอนของเรายังไงถ้าเรายังอยู่ในโรงเรียน เรามองว่าครูไทยมีความสามารถเยอะมากๆเลยค่ะ แต่ครูไทยกลับไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองมากกว่า เรายังมีเพื่อนครูที่ทำงานหนักมากๆตอนนี้ เราเห็นเพื่อนๆทำงานจนเรารู้สึกว่าทุกคนเป็นคนที่ทุ่มเทมากๆ และอดทนมากๆ เราว่าที่เขาพูดว่า ครูคือเรือจ้าง นี่คือจริงมากๆ นอกจากจะต้องมีความอดทนกับงานที่เยอะมากๆแล้ว ครูจะต้องมีความเข้มแข็งมากๆด้วยที่จะผ่านร้อนผ่านหนาวจากงานอื่นๆที่รุมล้อม
ถึงตอนนี้ถ้าให้เรามองความสำเร็จในชีวิตการทำงานของเรา เรามองว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นข้าราชการ เราก็ประสบความสำเร็จในแบบของเราได้เช่นกัน มันอยู่ที่ความพอใจ และมุมมอง ถึงแม้งานที่เราทำจะไม่มีสวัสดิการของรัฐ แต่เราก็สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้ และได้ทำงานที่เรารู้สึกว่าเราภูมิใจในตัวเองมาก
สำหรับคนที่กำลังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเดินต่อสายงานราชการดีไหม เราคิดว่าควรจะให้เวลาตัวเองก่อนนะค่ะ เพราะเราจะได้รู้ว่าจริงๆเราใช่กับงานไหม บางทีทำไปแล้วอาจจะชอบก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่ใช่เราค่อยถอยก็ได้ค่ะ ต้องลองก่อน