"ฮวาลดิเมียร์" วาฬสายลับรัสเซีย กลับดาววาฬเบลูกาแล้ว พบซากของมันลอยกลางทะเลตอนใต้ของนอร์เวย์

เบลูกาสีขาว "ฮวาลดิเมียร์" หรือที่รู้จักกันในนาม "วาฬสายลับรัสเซีย" กลับดาววาฬแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซากของมันถูกพบโดยชาวประมง 2 พ่อลูกลอยกลางทะเลตอนใต้ของนอร์เวย์ ขณะที่นักชีววิทยาทางทะเลกำลังพยายามไขคำตอบการตายของสายลับใต้น้ำตัวนี้

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานการตายของ "ฮวาลดิเมียร์ (Hvaldimir)" ที่ลอยอยู่ในน้ำนอกเมืองริซาวิกา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนอร์เวย์ โดย 2 พ่อลูกที่กำลังตกปลาอยู่ เมื่อวันเสาร์ที่ 31 ส.ค.2567 ที่ผ่านมา และได้นำซากไปยังท่าเรือที่ใกล้ที่สุดเพื่อตรวจสอบ

องค์กร มารีน ไมน์ด (Marine Mind) ได้โพสต์ลงอินสตาแกรม @marinemind_org เปิดเผยว่า "ฮวาลดิมีร์" วาฬเบลูกาชื่อดัง ที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นสายลับของกองทัพเรือรัสเซีย พบซากของมันลอยอยู่ในทะเล โดยพ่อลูกคู่หนึ่งขณะที่พวกเขากำลังตกปลา

องค์กร มารีน ไมน์ด ระบุว่า “ฮวาลดิมีร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่วาฬเบลูกาเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณของความหวัง สัญลักษณ์ของความผูกพัน และการตระหนักให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ”

ด้าน เซบาสเตียน สแตรนด์ นักชีววิทยาทางทะเล กล่าวว่า “เรื่องนี้มันเลวร้ายอย่างที่สุด” และ “เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ฮวาลดิมีร์ ยังดูแข็งแรงดี ดังนั้น พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เขาระบุเพิ่มว่า ร่างกายของฮวาลดิมีร์ไม่ได้มีร่องรอยการบาดเจ็บใด ๆ และสาเหตุของการเสียชีวิตของฮวาลดิมีร์ ยังไม่แน่ชัด

โลกได้รู้จักกับ ฮวาลดิมีร์ ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2562 ใกล้กับเกาะอินโกยา บริเวณทางตอนเหนือของนอร์เวย์ ประมาณ 300 กิโลเมตร จากอาณาเขตทะเลของรัสเซีย โดยวาฬตัวนี้สวมสายรัดและสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นขาตั้งสำหรับกล้องขนาดเล็ก และหัวเข็มขัดที่มีคำว่า "Equipment St. Petersburg" ติดอยู่

เนื่องจาก ฮวาลดิมีร์ สนใจมนุษย์มาก และตอบโต้กับภาษามือ ทำให้หน่วยข่าวกรองของนอร์เวย์คาดการณ์ว่า ฮวาลดิมีร์จะต้องถูกกักขังที่รัสเซีย และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย ก่อนที่จะข้ามเข้ามาที่น่านน้ำของนอร์เวย์

อย่างไรก็ดี รัฐบาลรัสเซียไม่เคยออกมาพูดในเรื่องนี้

ทั้งนี้ ชื่อ ฮวาลดิมีร์ เป็นการเล่นคำโดยรวมคำว่า วาฬ ภาษานอร์เวย์ (Hval) กับ 2 พยางค์หลังของชื่อ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย มารวมเข้าด้วยกัน

แแหล่งที่มา 
https://www.sanook.com/news/9536054/

https://www.thaipbs.or.th/news/content/343766