ตอนนี้เราเครียดมาก ไม่รู้จะหาทางออกไหนเลยค่ะ ยอมรับว่าอ่อนแอและจิตตกกับเรื่องที่ผ่านมามากค่ะ

ตอนนี้เราเครียดมาก เรื่องของเรามันอาจจะยาวมาก แต่เราต้องเกริ่นความเป็นมาก่อนค่ะ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีที่แล้วค่ะ
ถ้าใครอ่านไม่ไหวก็เลื่อนผ่านนะคะ อย่ามาบอกว่าเขียนอะไรอย่างกับพล็อตละคร ยาวไป อ่านแล้วปวดหัว ตาลาย เลื่อนผ่านค่ะ
ได้โปรดอย่าได้ทำร้ายจิตใจกันเลยค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดค่ะ และไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองด้วยค่ะ
เราเรียนจบแค่ ปวส.ก็ได้งานทำเลย พอทำงานสักพักเราเลยไปเรียนต่อปริญญาตรีเรียนแบบอ่านหนังสือเองแล้วไปสอบ บางที่ก็เรียนช่วงหลังเลิกงาน
พอจะลงทะเบียนก็ต้องมีเหตุให้ต้องตัดสินใจว่าจะลงเรียนหรือว่าเอาไปช่วยครอบครัวก่อนทุกครั้ง เราเลือกเอาเงินไปช่วยครอบครัวแล้วไปดร็อป ดร็อปไปดร็อปมาค่าดร็อปแพงกว่าค่าลงทะเบียน แล้วเราก็ไปลงเรียนมา 3 ที่ แล้วก็เรียนได้แค่ครึ่งทาง จะมีปัญหาครอบครัวมาให้ช่วยตลอด
จนเรารู้ว่าเราไม่เหมาะ ที่จะเรียนนาน ๆ กว่าจะจบ ถ้าอยากเรียนอะไรก็ไปลงเรียนวิชาสั้น ๆ ที่ทำงานหาเงินได้เลยค่ะ
เราเรียนเยอะมาก อะไรที่คิดว่าเรียนจบแล้วหาเงินได้ เราเรียนหมดค่ะ หลักสูตรระยะสั้น 1-3 วัน หรือ 3-6 เดือน เน้นสอบเข้าแล้วเรียนฟรีค่ะ
>>>
พอทำงานประมาณ 10 กว่าปี เราก็ได้ปรับตำแหน่งเรื่อย ๆ จากเงินเดือนเริ่ม 6500 จนได้ 35000 โบนัสปีละ 2 แสน แต่ปัญหามันเริ่มขึ้นจากที่เราทำงานแล้วต้องอนุมัติงบฉบับนึงก็ 2 แสนจนถึง 2 ล้าน ตรวจสอบการทุจริต จนเราไปเจอเพื่อน ผจก.ทุจริต แล้ววันนั้น ผจก.ไม่อยู่ แล้วบอกให้เรารอไปก่อน เรากลัวว่าจะกลายเป็นรู้เห็นไปด้วย เพราะว่าเพื่อนคนนี้ก็เป็นเพื่อนเราด้วย เราเลยแจ้งทาง กจก.ไป เพราะยอดเงินค่อนข้างเยอะ เรากลัวติดร่างแหไปด้วย ว่าปกปิด แต่เรากลับโดน ผจก.และเพื่อนในแผนก บอกว่าเราทำงานจ้องจับผิดคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เราทำตามหน้าที่ คนนี้โกงเงินบริษัทไปจริง ๆ แต่มีคนด่าแต่เรา แล้วสงสารคนที่โกง
ตอนหลังเริ่มมีสงครามประสาทเกิดขึ้น ลูกน้องเริ่มอยากเลื่อยขาเก้าอี้ เพราะเขาเรียนสูงกว่าเรา แต่เราเป็นคนที่ช่วยเขาตอนที่ประเมินไม่ผ่าน เรารับรองว่าเราจะดูแลน้องให้เอง จนประเมินผ่านได้เป็นพนักงาน น้องไปเล่าให้คนอื่นฟัง แต่เราไม่รู้ไปเล่าว่าอะไร เพราะทุกครั้งที่เราเดินมานั่งทำงานที่แผนก หรือเดินหายไป ทุกคนจะจับกลุ่มนินทาเราทันที เราจะได้ยินตลอด บางคนก็พูดขึ้นว่า งานไม่ได้เยอะแยะ แต่จ้องจับผิดคนอื่น คืองานถนัด วันนี้จะเจอคนทุจริตได้กี่คน
เรารักษาผลประโยชน์บริษัท แต่ทำไมเราเหมือนคนผิดซะเอง พอประชุมก็โดนถามในสิ่งที่ไม่ใช่งานตัวเอง หรือบางครั้งก็มาถามลองภูมิเพื่อหักหน้าในที่ประชุม ผจก.ก็ไม่ช่วย เพราะไม่พอใจเราที่ทำให้เพื่อนเขาโดนไล่ออก
จนเราตัดสินใจยื่นใบลาออก เพราะเรากดดันมาก งานเราก็เยอะอยู่แล้ว ต้องดูแลสินค้าในเครือ อนุมัติงบโปรโมชั่น อ่านหนังสืออนุมัติวันนึงก็เป็น 100 ฉบับ ระหว่างอ่านเราก็ต้องดูงบประมาณของแต่ละภาคว่าพอไหม แล้วต้องคิดสูตร excel ในหัวว่าใช้สูตรไหน แล้วถ้าอนุมัติแล้ว มันทำได้จริง
เราชอบทำงานที่เราทำอยู่นะคะ เราชอบคำนวณ ชอบผูกสูตร พอได้ผลลัพธ์แล้วเรารู้สึกชนะ รู้สึกสนุกดี
แต่มาปวดหัวกับสงครามประสาทที่มีตลอดเวลาค่ะ รอบแรก กจก.ให้กลับไปคิดก่อนไม่อนุมัติ ทำให้สงครามประสาทในแผนกหนักขึ้น บอกว่าเราเป็นแค่ระดับไหน ทำไม กจก.ต้องรั้งไว้ คนอื่นระดับสูงกว่านี้ไม่เห็นเคยจะรั้งเลย
เราทำงานหนักจนเราป่วย มีวันนึงเราหอบงานไปทำที่บ้าน ที่จริง กจก.ก็เคยบอกว่าทำไม่ทันก็ไม่ต้องเอาไปทำที่บ้าน แต่เราคิดว่าคนอื่นรองานเราอยู่ เราก็เลยแอบเอาไปทำ เราทำงานอยู่ตอนตี 2 เลือดกำเดาออก เราวูบ สามีเห็นเลยบอกลาออกเหอะ ร่างกายไม่ไหวแล้ว ป่วยบ่อย แล้วยังเป็นหนักขนาดนี้อีก
จนเราตัดสินใจยื่นอีกรอบ กจก.ว่าถ้าคิดดีแล้ว ก็อนุมัติให้ลาออก
พอเราลาออกเราก็เทรด forex ตอนนั้นได้กำไรเยอะมากค่ะ ได้วันละหมื่น
แต่แม่เราก็ชอบโทรบ่นว่าเราไม่ออกไปทำงานทำการ เราอายุ 36 แต่งงานอยู่กับสามีมา 14 ปีแล้วนะคะ แต่ว่าแม่ก็ยังมาบ่นเหมือนเราเป็นเด็กอยู่ตลอดค่ะ บอกเวลามีเพื่อนบ้านถามว่าลาออกแล้วไปทำงานอะไร ก็ตอบเขาไม่ได้ค่ะ บ้านเรากับบ้านแม่ไม่ได้อยู่ใกล้กันนะคะ ห่างกันมากค่ะ
เราเลยรำคาญ ก็เลยไปเซ้งร้านเปิดร้านขายนมปั่นกับขนม เอาเงินที่เทรดได้ไปเซ้งแล้วเปิดร้านค่ะ พอเปิดร้านก็ไม่มีเวลาเทรดก็ปิดพอร์ตไปค่ะ
ร้านอยู่ได้เรื่อย ๆ ไม่หวือหวา แต่ก็ยังไปไหว แต่พอเราทำได้สัก 6 เดือนเราเริ่มป่วยหนักด้วยโรคประหลาดอีกค่ะ ต้องนอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่นบ่าย 2 ค่ะ เปิดร้านได้ไม่กี่ ชม. คิดว่าไม่ไหวแล้ว กลับมาเทรดหุ้นเหมือนเดิมดีกว่า
เราเลยประกาศให้เซ้งร้านในราคา 150000 โดยให้มัดจำ 50000 แล้วผ่อนเดือนละ 10000 ระหว่างผ่อนเข้ามาดำเนินกิจการได้เลยค่ะ ในสัญญาระบุว่าให้เซ้งในตัวร้าน พร้อมทั้งของในร้าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ วัตถุดิบที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมสูตรค่ะ แต่ไม่รวมหน้าร้าน ต้องจ่ายค่าเช่าเองค่ะ จะเช่าหรือไม่เช่าก็ได้ แต่ว่าตอนเราโพสต์ ตอนนั้นเราเช่าหน้าร้านด้วยค่ะ แต่ไม่มีสัญญา เราแจ้งคนเซ้งตามรายละเอียดตามนี้ครบถ้วนตามสัญญาค่ะ
มีคนที่ 1 มาขอเซ้ง แต่เขามัดจำมา 2000 บอกถ้ามีเงินสิ้นเดือนจะมาเซ้งค่ะ
แล้วจู่ ๆ ก็มีอีกคนมาเซ้ง เป็นคนที่ 2 มาขอจะจ่ายมัดจำเราเลย เราเลยแจ้งคนแรกว่ามีคนมาเซ้ง เขาจะมาเซ้งสิ้นเดือนแน่ใช่ไหม จะได้ปฏิเสธคนที่ 2 ไป คนที่ 1 บอกไม่มั่นใจ ให้คนที่ 2 ก็ได้ ถ้าเขาพร้อม เราเลยโอนเงินมัดจำคืนคนที่ 1 ไปค่ะ
พอคนที่ 2 ทำสัญญาอะไรเรียบร้อย มัดจำเรียบร้อย เราก็เริ่มสอนสูตร พิมพ์สูตรในร้านให้เขา สอนไปประมาณ 1 สัปดาห์ จนเขาสามารถเปิดร้านเองได้ เราพาไปทำป้าย พาไปซื้อของวัตถุดิบ คือสอนจนหมดเปลือกเลยค่ะ
หลังจากนั้น เขาไม่เคยเข้าร้าน ไม่เคยเปิดร้านเลยค่ะ จนผ่านไป 1 เดือน เราเลยทวงถามค่าผ่อนร้าน เขาบอกจะขอยกเลิกค่ะ ไม่ต้องการเปิดร้านแล้วค่ะ
เราเลยบอกงั้นขอไม่คืนค่ามัดจำค่ะ เพราะว่าคุณผิดสัญญา
ทางเขาไม่ยอม จะขอเงินมัดจำคืน แล้วก็หลอกให้เรามาที่ร้าน บอกว่าช่วยพาไปซื้อของหน่อย เราเลยมาคนเดียว เพราะสามีทำงานอยู่ค่ะ
พอไปถึงที่ร้านเราก็ตใจ เพราะมากันหลายคน เอารถจอดปิดหน้าร้านด้วย มีแม่ที่เป็นครูใกล้เกษียณ ป้า น้องสาวที่เป็นเภสัช คนเซ้งที่เป็นนางพยาบาล พี่ชายที่ทำงานเทศบาล แล้วก็นิติมาร่วมวงด้วย
มาประจานเราหน้าหอ บอกว่าเราหลอกให้เซ็นต์สัญญา ทั้ง ๆ ที่เซ้งไม่ได้ เราบอกจะเซ้งไม่ได้ได้อย่างไง เราก็เซ้งมา นิติก็รู้เรื่อง
แต่นิติกลับบอกว่าไม่รับรู้ เซ้งกันเอง จะมาบอกนิติรู้เรื่องได้อย่างไง
เรามารู้ทีหลังว่านิติเป็นเพื่อนบ้านของคนเซ้งค่ะ แล้วนิติต้องการห้องที่เราตกแต่งแล้วไปให้เพื่อนที่เปิดร้านเสริมสวยเช่าค่ะ
ตอนนั้นเขายกพวกมาประจานเราหน้าหอ ส่วนเราเห็นกล้องวงจรปิดอยู่ตรงนั้น เราก็เลยนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก มีคนถ่ายคลิป มายืนดูตอนที่เราโดนด่าเป็นร้อย แต่ไม่มีใครช่วยเราสักคน แล้วคนเซ้งก็พูดว่าไม่มีอะไรที่เขาอยากได้ แล้วจะไม่ได้ ทำวิธีไหนก็ต้องได้ พ่อฉันใหญ่ ตอนนั้นเราก็งง ๆ ค่ะ
มี 2 ทางเลือก คือ ให้เราคืนมัดจำ 50000 บาทแล้วจะคืนสูตรให้ เรารู้มาว่าเขาเอาสูตรให้น้องที่เปิดร้านบางแสนไปทำแล้ว
อีกทางเลือกนึงคือ ยกร้านให้เขาในราคา 50000 บาทที่มัดจำไป แค่แอร์กับเฟอร์นิเจอร์ แล้วก็สูตรก็เกินราคานี้แล้วค่ะ
ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออก บอกขอคิดดูก่อน แต่ก็ไปไม่ได้ โดนดักหน้าดักหลัง รถก็ปิดทางเข้าออกอีก เลยต้องจำยอม เลือกที่จะเซ็นต์เอกสารจะจ่ายมัดจำคืน ตอนนั้นเรากลัวโดนทำร้ายค่ะ เราก็เลยต้องยอมเซ็นต์ให้ไป
>>>
วันต่อมาเราโดนหมายเรียกค่ะ ข้อหาฉ้อโกง เรางงมาก เราไปโกงเขาตรงไหน สัญญาก็ถูกต้อง
ช่วงนั้นพ่อเราเพิ่งป่วยตรวจพบว่าเป็นมะเร็งค่ะ พอเขารู้เรื่องก็เครียดไปอีก เรารู้สึกผิดมากค่ะ ที่ทำให้พ่อเราอาการหนัก
เราไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้ สัญญาก็ถูกต้อง เราไม่ผิด ก็เลยไม่ได้มีทนายไปด้วย ซึ่งเราคิดผิดมากค่ะ
พอเราไปสถานีตำรวจ เราก็ให้ปากคำตามความเป็นจริง แต่ระว่างนั้นตำรวจจะแสดงอาการไม่พอใจตลอดเวลาค่ะ พอเราอ่านแล้วไม่ตรงกับที่เราให้ปากคำไป เราก็บอกช่วยแก้ให้ด้วย ก็ยิ่งทำให้ไม่พอใจหนักเข้าไปอีก หาว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง ก็เขาพิมพ์ผิด พิมพ์อย่างไงให้เราเป็นคนผิดทุกเรื่อง
แล้วก็พยายามให้เรายอมรับสารภาพให้ได้ แต่เราไม่ยอม เราเลยบอกตำรวจว่าไปดูกล้องวงจรปิดที่หอพักค่ะ มีคลิปหลักฐานว่าทำไมเราถึงต้องยอมเซ็นต์เอกสาร แล้วเราโดนประจานต่อหน้าคนเป็นร้อย ในเรื่องที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด
ตำรวจยังไม่ทันจะไปเลยค่ะ รีบพูดเลยว่าไม่มีกล้องวงจรปิดอะไรทั้งนั้น ถ้ามีคลิปก็เสีย
เราก็เริ่มแปลกใจ จะไม่มีได้อย่างไง วันนั้นเรายังเห็นว่ากล้องมันบันทึกอยู่ มันอยู่ตรงทางเข้าหอตรงที่เรายืนอยู่ด้วยซ้ำ แล้วรู้ได้อย่างไงว่าคลิปเสีย
มารู้ทีหลังว่า คนเซ้งเป็นลูกของผู้กำกับ สน.ท้องที่นี้ อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ค่ะ
(เรื่องยังไม่จบ เดี๋ยวมาต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่