ผมขออนุญาตเล่าเรื่องของผมนะครับ อาจจะยาวไปหน่อยแต่ผมเครียดมากอย่างน้อยผมขอระบายในนี้หน่อยนะครับ
สมัยก่อน พ่อผมเสียตอนที่แม่แท้ๆท้องผมอยู่ประมาณ 7 เดือน (แม่ผมมีลูกสาวอีกคนนึงซึ่งเป็นพี่สาวของผม) พอแม่คลอดผมแล้วแม่ก็ได้จ้างคนคนนึงให้เลี้ยงผมเพราะว่าต้องทำงานไม่มีเวลาเลี้ยง โดยให้เงินเดือนเดือนละ 7000 บาท ซึ่งแม่เลี้ยงก็ยอมรับและเลี้ยงผมมาตลอด 16 ปี งานอดิเรกของแม่เลี้ยงคือการเลี้ยงแมว สมัยนั้นแม่เลี้ยงผมเลี้ยงแมวประมาณ 50-60 ตัว เลี้ยงในบ้านพักราชการเพราะแม่เลี้ยงคนนี้ทำงานเป็นลูกจ้างประจำในราชการที่นึงครับ ซึ่งแม่เลี้ยงของผมมักจะทะเลาะกับเพื่อนบ้านเรื่องแมวตลอดในทุกๆวัน เพราะแมวที่เขาเลี้ยงชอบไปขี้ไปฉี่บ้านคนอื่นจนเดือดร้อน เขาบอกเพื่อนบ้านว่าจะเช็ดเก็บทำความสะอาดให้ แต่ถึงจะทำแบบนี้ไปเขาก็ยังทะเลาะกับเพื่อนบ้านอยู่ทุกวัน
แม่เลี้ยงผมมีหลานชาย 1 คน ระหว่างที่เลี้ยงผมอยู่ หลานคนนี้ก็จะคอยมาโกหกแม่แท้ๆของผมเรื่องต่างๆนาๆเพื่อที่จะเอาเงินจากแม่แท้ๆผมเพิ่มอีก (เช่นโกหกว่าผมป่วยและขอตังเพิ่ม 3000 บาท เพื่อพาไปรักษา) ซึ่งแม่แท้ๆผมก็หลงเชื่อและให้มาตลอด รวมๆแล้วหมดไปหลายแสนบาท แล้วหลานคนนี้เป็นพวกขี้เหล้าและชอบเล่นการพนัน เงินที่ได้มาก็เอาไปเล่นการพนันและดินเหล้าจนหมด
จุดเริ่มต้นความเครียดของผมก็คือ หลานคนนี้ชอบกู้นอกระบบมากินเหล้าและเล่นพนัน แม่เลี้ยงผมทะเลาะกับหลานตัวเองบ่อยมากแต่สุดท้ายแม่เลี้ยงก็ช่วยจ่ายหนี้สินให้หลานของเขา โดยเจียดเอาเงินที่ต้องเลี้ยงผมมาช่วย (เรื่องนี้ผมพึ่งมารู้ทีหลังตอนโตแล้ว) และช่วงนั้นแม่เลี้ยงก็ได้อ้างกับแม่แท้ๆว่าผมกินเยอะ กินหมดวันละเป็นร้อยๆ จึงขอเงินเพิ่มอีก ซึ่งแม่แท้ๆผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร แกก็ให้เพิ่มตามที่แม่เลี้ยงผมต้องการ แต่สุดท้ายก็ไม่พอ เพราะทุกครั้งที่แม่เลี้ยงผมใช้หนี้ให้หมดหลานเขาก็ไปกู้นอกระบบมาเพิ่มเยอะขึ้นอีกเพราะเครดิตแม่เลี้ยงดี สุดท้ายกู้ไปประมาณ 3แสนกว่าบาท แม่เลี้ยงหมดปัญญาช่วยก็ได้แต่กู้สหกรณ์ของราชการมาจ่ายดอกให้หลานจนแทบหมดตัว
เมื่อผมอายุ 16 ก็ได้ย้ายมาอยู่กับแม่แท้ๆและพี่สาวเพราะแม่แท้ๆผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจากการทำงานหนักและปัญหาชีวิตหลายอย่าง และหูของแม่ก็ได้ยินน้อยลงจนถึงขั้นเกือบหูหนวก ทำให้พี่สาวต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงแม่และผมแทนในช่วงนั้น ระหว่างนั้นแม่เลี้ยงก็คอยติดต่อมาเรื่อยๆถามสารทุกข์สุขดิบ (ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเงิน)
พอผมอายุ 18 ตอนนี้เป็นช่วงที่ครอบครัวแย่มาก พี่สาวทำงานหนักและเรียนมหาลัยไปด้วยจนอารมณ์แปรปรวนกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน แม่แท้ๆของผมก็เป็นโรคประสาทและได้รับการตรวจว่าเป็นคนพิการทางหู ซึ่งแม่แท้ๆผมมักจะโดนพี่สาวดุด่าตลอดเพราะพูดหลายรอบแล้วเขาไม่ได้ยิน จนลามมาด่าผมด้วยเพราะผมไม่ได้ช่วยหาเงินเลย ซึ่งผมก็เข้าใจได้ทำให้ผมตัดสินใจไม่เรียนต่อและไปหางานทำแทน ตอนนั้นผมได้งานทำที่โรงงานเซรามิก เงินเดือน 9000 บาท ทุกช่วงที่เงินเดือนออกผมจะให้พี่สาว 7000 เพื่อเอาไปจ่ายค่าเช่าบ้าน น้ำ ไฟ และค่ากินทั้งเขาและแม่ ส่วนอีก 2000 ผมได้เอาให้แม่เลี้ยง เพราะเขาติดต่อผมทุกวันและเล่าชีวิตของเขาตอนนี้โดยสรุปคร่าวๆว่า หลานติดคุกเพราะเหตุลักขโมย เจ้าหนี้นอกระบบคอยทวงเงินที่หลานยืมไปจนเครียดหนัก ผมเลยต้องแบ่งเงินให้เขาใช้เพราะสงสาร เพราะในช่วงที่เขาเลี้ยงผม เขาก็เลี้ยงผมมาดี สอนอะไรดีๆให้หลายอย่าง สอนให้อยู่ในธรรมมะ ธรรมโม รู้จักเผื่อแผ่และเมตตาคนอื่น พอผมทำมาได้ครึ่งปีพี่สาวผมก็ได้เปลี่ยนไปหนักมาก เขาสอบติดราชการและกู้เงินมาใช้เที่ยวต่างประเทศกับแฟน กินหรู อยู่แพง ผมกับแม่พยายามห้ามเขาแต่ก็โดนด่ากลับมาด้วยสารพัดคำด่า ผมโกรธเขามากเพราะเงินหลายแสนบาทที่เขากู้มาถูกใช้ไปกับของอะไรแบบนี้ทั้งๆที่สภาพครอบครัวตอนนี้ยังแย่และยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หลังจากนั้นผมก็โดนพี่สาวด่าทุกวันจนทนไม่ไหว ผมเลยปรึกษากับแม่เลี้ยงและแม่เลี้ยงก็ให้ผมไปอยู่ด้วย ผมเลยมาบอกกับแม่แท้ๆว่าจะขอไปอยู่กับแม่เลี้ยงสักพักนึง แม่ผมก็ให้ไป แต่เขาต้องอยู่ที่นี่กับพี่สาวเพราะใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลของพี่สาวที่เป็นราชการอยู่
ตอนนแรกผมนึกว่าย้ายมาอยู่แล้วอะไรจะดีขึ้น แต่ผมคิดผิด ทุกเดือนผมต้องจ่ายค่าน้ำ ไฟ ให้ทั้งแม่เลี้ยง และแม่แท้ๆ ซึ่งเหตุผลที่ผมต้องให้แม่แท้ๆด้วยก็เพราะพี่สาวไม่มีตังเหลืออีกแล้ว หมดไปกับค่าเที่ยวและของหรูจนหมด แถมแฟนของเขาก็แย่พอๆกันเพราะครอบครัวติดการพนันจนหมดตัว ทำให้ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่บาทเดียว
พอผมอายุ 21 ก็ต้องไปเป็นทหาร 2 ปี เพราะจับโดนใบแดง (ผมเรียน รด.มา1 ปีและออกกลางคันเพราะไม่มีตังและปัญหาครอบครัวในตอนนั้น ซึ่งปัญหาหลักคือเรื่องเงิน) เงินเดือนทหารที่ผมได้คือ 5000 ต่อเดือน เพราะหักค่าโน่น นี่ นั่น และหักเป็นเงินเก็บที่เขาจะให้เงินก้อนตอนปลดทหาร ทุกๆเดือนผมจะให้พี่สาว 3000 และ แม่เลี้ยง 1000-2000 มาตลอด ที่ผมให้แบบนี้ได้เพราะช่วงที่เป็นทหารมีข้าวกิน 3 มื้อและหักจากเงินเดือนไปแล้ว ผมไม่ได้ซื้ออะไรสุรุ่ยสุร่าย และนายสิบและจ่าหลายคนก็ใจดีเลี้ยงขนมและน้ำผมอยู่บ่อยๆ และก็มีเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตผมอีกครั้ง เมื่อมีการฝึกยิงปืน ผมขอที่อุดหูจากจ่าที่คุมแต่ตอนนั้นไม่มีใครใช้ที่อุดหูเลยแม้แต่คนเดียวผมเลยตัดสินใจไม่ใส่ หลังจากยิงปืนเสร็จหูผมวิ้งอยู่ตลอดเวลา พอผ่านไป 3 วัน ข้างในหูผมก็มีเสียงคล้ายจิ้งหรีดร้องดังอยู่ตลอดเวลา ยิ่งช่วงที่อยู่ในที่เงียบๆเสียงก็ยิ่งดังจนผมแทบจะร้องไห้ ผมขอให้จ่าพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าผมเป็น "ประสาทหูเสื่อม" ให้ทำใจและใช้ชีวิตไปกับมัน ผมช็อคมากจนวันนั้นไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรเลย ทุกครั้งที่มีประชุมหรืออะไรให้เข้าร่วมผมจะเข้าใจเนื้อหาแค่ 30% เพราะทุกครั้งที่ฟังผมจะต้องเพ่งสมาธิมากกว่าคนทั่วไปเพราะเสียงในหูมันดังรบกวนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพ่งก็ยิ่งใช้พลังงานเยอะ ผมเพ่งสมาธิได้ประมาณ 10 นาทีสมองผมก็เบลอไปหมด สมองเบลอจนการคิด วิเคราะห์อะไรหลายอย่างช้าไปหมด และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมคิดอยากที่จะหายไปจากโลกนี้จนถึงตอนนี้
พอผมปลดประจำการแล้วพี่สาวก็แนะนำงานให้ผมทำ โดยให้ทำกับคนรู้จักของเขา ซึ่งงานก็คือ แอดมินงานก่อสร้าง คอยทำเอกสารและรายงานให้กับหัวหน้า เงินเดือน 9000 เต็มๆไม่หัก มีที่พักคนงานให้อยู่ฟรีและข้าวฟรี แลกกับการแทบไม่มีวันหยุด (หยุดวันอาทิตย์ แต่แทบไม่ได้หยุดเพราะมีอะไรให้ทำตลอดทั้งวัน) ซึ่งตลอดเวลาที่ผมทำงานผมต้องให้พี่สาวเดือนละ 5000 และแม่เลี้ยง 2000-3000 เพราะเขารู้ว่ากินฟรีอยู่ฟรี ส่วนนี้ผมต้องโทษตัวเองด้วยเพราะใจอ่อนที่ให้ไป เพราะพวกเขาชอบเล่าชีวิตแย่ๆให้ฟังตลอด บอกว่าถ้าผมไม่ให้พวกเขาตายแน่ๆ ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องให้ไปจนตัวเองเครียดสะสม
หลังจากทำงานมา 1 ปี ผมก็ขอลาออกเพราะว่าทนแรงกดดันไม่ไหว เพราะที่ทำงานผมมีแต่คนเก่งๆระดับด็อกเตอร์หลายคน ผมที่จบแค่ ม.6 และยังมีปัญหาการได้ยินอีก ผมโดนหัวหน้าและพี่ๆหลายคนว่าทำไมเรียนรู้ช้า และชอบทำหน้ามึนๆตอนเข้าฟังประชุม ผมได้บอกไปตามตรงแต่พวกเขาไม่เชื่อ คิดว่าผมหาข้ออ้าง ผมโทรปรึกษากับพี่สาวและโดนด่ากลับมาว่า "อุตส่าห์หางานดีๆให้ทำแต่ทำไม่ได้ งั้นก็กลับไปทำงานโรงงานกระจอกๆไปตลอดชีวิตเถอะ"
ตอนคุยกับพี่สาวเขาว่าด้วยคำที่รุนแรงกว่านี้ ผมที่ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ร้องไห้ในใจ ผมไม่ได้โกรธพี่สาว แต่ผมโกรธตัวเองที่ทำไมทำไม่ได้ทั้งที่ผมพยายามทุกอย่างแล้วแต่มันได้แค่นี้จริงๆ ผมเลยปรึกษากับแม่เลี้ยง เขาก็ให้กลับมาอยู่กับเขา ผมเลยตัดสินใจลาออกแล้วไปอยู่กับแม่เลี้ยง
ในช่วงที่ผมอยู่กับแม่เลี้ยง ผมใช้เงินเก็บที่เก็บมาช่วยจ่ายค่าน้ำ ไฟ และค่ากินให้แม่เลี้ยง และหางานทำไปด้วย ผมหางานทำยากมาก เพราะวุฒิที่จบแค่ ม.6 และประสบการณ์ด้านอื่นๆนอกจากงานเอกสารนั้นไม่มีเลย และแถวบ้านผมมักมีแต่งานสายช่าง ร้านอาหาร และเซเว่น ซึ่งร้านอาหารและเซเว่นผมเคยทำแล้ว แต่ทำได้แค่เดือนเดียวผมก็ขอลาออก เพราะปัญหาเรื่องหูที่หลายครั้งผมฟังลูกค้าผิดจนมีปัญหา
และในที่สุดผมก็ได้งานใหม่ ตอนนั้นมีงานราชการที่แม่เลี้ยงของผมทำงานอยู่ต้องการคนทำงานเอกสารเพราะคนเก่าลาออก แม่เลี้ยงผมเลยฝากผมไปทำงานด้วย เงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 7500-8000 หยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งวันหยุดเหล่านี้จะไม่ได้เงินเหมือนกับคนที่เป็นราชการหรือพนักงานราชการ ตำแหน่งของผมคือ "ลูกจ้างชั่วคราว" ที่จะได้เงินแค่ตอนมาทำงานเท่านั้น ผมทำงานอยู่ประมาณ 3 เดือนในที่สุดสิ่งที่ผมเคยคิดไว้ก็เกิดขึ้น แม่เลี้ยงของผมขอเงินเพิ่มเพราะไม่มีตังจ่ายค่าอาหารแมว ซึ่งปัจจุบันเหลือแมวอยู่ประมาณ 20-30 ตัว ผมยังต้องช่วยเขาใช้หนี้นอกระบบที่แม่เลี้ยงยืมไว้รวมแล้วเดือนนึงผมต้องให้เงินแม่เลี้ยงผม 5000 กว่าบาท และให้แม่แท้ๆผม 1000-2000 เพื่อให้แม่แท้ๆผมเอาไปจ่ายค่ากินและค่าบ้าน น้ำ ไฟ ในบ้านนั้น ผมกังวลจนนอนแทบไม่หลับเพราะเงินไม่เคยเหลือเก็บเลยแถมไม่พอใช้อีกต่างหาก
ที่ทำงานผมจะมีเจ้าหน้าที่ขายสินเชื่อเข้ามาหาลูกค้าบ่อยๆ ผมไม่สนใจเลยจนกระทั่งแม่เลี้ยงผมรู้เข้าว่ามีสินเชื่อมา เขาขอร้องให้ผมกู้ให้เขาและเขาจะให้ดอกเบี้ยที่ผมต้องจ่ายให้สินเชื่อทุกเดือนแทน ผมบอกเขาว่าเงินเดือนผมน้อยยังไงก็สมัครไม่ผ่าน แต่เขาขอร้องผมให้ลองทำดูและพูดถึงเรื่องเก่าๆต่างๆ จนผมใจอ่อนอีกแล้ว ผมตัดสินใจทำบัตรสินเชื่อแบบไม่คาดหวัง แต่ผมก็ตกใจเพราะไม่กี่วันทางสินเชื่อให้ผ่าน ผมไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ถอนเงินให้แม่เลี้ยงเอาไปใช้หนี้ทั้งหมด (สุดท้ายเขาก็ไม่มีให้ผม ผมก็ต้องเป็นคนจ่ายดอกเบี้ยเองทั้งหมด)
1 ปีหลังจากนั้นผมก็ได้ทะเลาะกับแม่เลี้ยงครั้งใหญ่ สาเหตุคือผมไม่มีเงินให้แม่เลี้ยงไปซื้ออาหารแมวและปลาทู ซึ่งแมวบ้านแม่เลี้ยงถ้ากินไม่อิ่มจะร้องเสียงดังมาก กลางคืนจะกัดกันและวิ่งไปรบกวนบ้านคนอื่นจนผมและเพื่อนบ้านนอนไม่หลับ ผมคุยกับแม่เรื่องนี้จริงจังว่าให้แม่เลิกเลี้ยงแมวหรือไม่ก็ให้เลี้ยงเท่าที่เลี้ยงไหว ซึ่งผมจะช่วยหาเจ้าของใหม่ให้เอง แต่แม่เลี้ยงผมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เขาบอกว่าอย่าคุยกับเขาเรื่องแมวอีก ผมเลยบอกเขาว่าผมขอไปเช่าบ้านอยู่ที่อื่นเพราะว่าผมเสียสุขภาพมานานจากการนอนไม่พอและความเครียด เขาก็บอกให้ไปได้ตามใจผมเลย เขาอยู่คนเดียวได้ปกติก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ผมเลยตัดสินใจเช่าบ้านข้างนอกอยู่และพยายามจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป แต่นี่คือสิ่งที่แย่ที่สุด สุดท้ายพอผมออกมาเช่าบ้านอยู่แม่เลี้ยงก็โทรมาเล่าเรื่องเก่าๆเพิ่มเติมคือบอกว่าจะฆ่าตัวตายและคอยขอเงินผมทีละเล็กละน้อยเหมือน และผมยังต้องจ่ายค่าน้ำ ไฟ ทั้งของแม่เลี้ยง แม่แท้ๆ และตัวเองอีก
ทุกวันนี้ผมทอดไข่และหุงข้าว ทำกับข้าวเองตลอด พยายามประหยัดทุกทาง แต่ก็ไม่ไหว ค่าใช้จ่ายที่ต้องให้คนอื่นก็มีแต่เยอะขึ้นเรื่อยๆ
จนปัจจุบันตอนนี้ ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆครับ ผมพยายามหางานทำเพิ่มช่วงวันหยุดแต่ก็หาที่ผมพอทำได้ไม่ได้เลย เพราะการได้ยินและวุฒิของผมมันแย่มากๆ ผมพยายามจะหนีออกมาคนเดียวแต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะแม่เลี้ยงตอนนี้ชอบพูดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอยู่ตลอด หลานของเขาก็ติดคุกญาติพี่น้องก็ไม่มี
แม่แท้ๆของผมก็ทำงานไม่ไหวแล้วเพราะอายุเยอะและยังพิการทางหู ส่วนพี่สาวผมก็หนี้สินเยอะ ใกล้เข้าสู่ลูปเหมือนกับแม่เลี้ยงผมไปทุกวัน
ผมควรตัดสินใจยังไงดีครับ ผมคิดไม่ออกเลย ถ้าเพื่อนๆเป็นแบบผมจะตัดสินใจทำยังไงหรอครับ🥺
เลี้ยงครอบครัวตัวเองและแม่เลี้ยงไม่ไหวควรทำยังไงดีครับ
สมัยก่อน พ่อผมเสียตอนที่แม่แท้ๆท้องผมอยู่ประมาณ 7 เดือน (แม่ผมมีลูกสาวอีกคนนึงซึ่งเป็นพี่สาวของผม) พอแม่คลอดผมแล้วแม่ก็ได้จ้างคนคนนึงให้เลี้ยงผมเพราะว่าต้องทำงานไม่มีเวลาเลี้ยง โดยให้เงินเดือนเดือนละ 7000 บาท ซึ่งแม่เลี้ยงก็ยอมรับและเลี้ยงผมมาตลอด 16 ปี งานอดิเรกของแม่เลี้ยงคือการเลี้ยงแมว สมัยนั้นแม่เลี้ยงผมเลี้ยงแมวประมาณ 50-60 ตัว เลี้ยงในบ้านพักราชการเพราะแม่เลี้ยงคนนี้ทำงานเป็นลูกจ้างประจำในราชการที่นึงครับ ซึ่งแม่เลี้ยงของผมมักจะทะเลาะกับเพื่อนบ้านเรื่องแมวตลอดในทุกๆวัน เพราะแมวที่เขาเลี้ยงชอบไปขี้ไปฉี่บ้านคนอื่นจนเดือดร้อน เขาบอกเพื่อนบ้านว่าจะเช็ดเก็บทำความสะอาดให้ แต่ถึงจะทำแบบนี้ไปเขาก็ยังทะเลาะกับเพื่อนบ้านอยู่ทุกวัน
แม่เลี้ยงผมมีหลานชาย 1 คน ระหว่างที่เลี้ยงผมอยู่ หลานคนนี้ก็จะคอยมาโกหกแม่แท้ๆของผมเรื่องต่างๆนาๆเพื่อที่จะเอาเงินจากแม่แท้ๆผมเพิ่มอีก (เช่นโกหกว่าผมป่วยและขอตังเพิ่ม 3000 บาท เพื่อพาไปรักษา) ซึ่งแม่แท้ๆผมก็หลงเชื่อและให้มาตลอด รวมๆแล้วหมดไปหลายแสนบาท แล้วหลานคนนี้เป็นพวกขี้เหล้าและชอบเล่นการพนัน เงินที่ได้มาก็เอาไปเล่นการพนันและดินเหล้าจนหมด
จุดเริ่มต้นความเครียดของผมก็คือ หลานคนนี้ชอบกู้นอกระบบมากินเหล้าและเล่นพนัน แม่เลี้ยงผมทะเลาะกับหลานตัวเองบ่อยมากแต่สุดท้ายแม่เลี้ยงก็ช่วยจ่ายหนี้สินให้หลานของเขา โดยเจียดเอาเงินที่ต้องเลี้ยงผมมาช่วย (เรื่องนี้ผมพึ่งมารู้ทีหลังตอนโตแล้ว) และช่วงนั้นแม่เลี้ยงก็ได้อ้างกับแม่แท้ๆว่าผมกินเยอะ กินหมดวันละเป็นร้อยๆ จึงขอเงินเพิ่มอีก ซึ่งแม่แท้ๆผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร แกก็ให้เพิ่มตามที่แม่เลี้ยงผมต้องการ แต่สุดท้ายก็ไม่พอ เพราะทุกครั้งที่แม่เลี้ยงผมใช้หนี้ให้หมดหลานเขาก็ไปกู้นอกระบบมาเพิ่มเยอะขึ้นอีกเพราะเครดิตแม่เลี้ยงดี สุดท้ายกู้ไปประมาณ 3แสนกว่าบาท แม่เลี้ยงหมดปัญญาช่วยก็ได้แต่กู้สหกรณ์ของราชการมาจ่ายดอกให้หลานจนแทบหมดตัว
เมื่อผมอายุ 16 ก็ได้ย้ายมาอยู่กับแม่แท้ๆและพี่สาวเพราะแม่แท้ๆผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจากการทำงานหนักและปัญหาชีวิตหลายอย่าง และหูของแม่ก็ได้ยินน้อยลงจนถึงขั้นเกือบหูหนวก ทำให้พี่สาวต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงแม่และผมแทนในช่วงนั้น ระหว่างนั้นแม่เลี้ยงก็คอยติดต่อมาเรื่อยๆถามสารทุกข์สุขดิบ (ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเงิน)
พอผมอายุ 18 ตอนนี้เป็นช่วงที่ครอบครัวแย่มาก พี่สาวทำงานหนักและเรียนมหาลัยไปด้วยจนอารมณ์แปรปรวนกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน แม่แท้ๆของผมก็เป็นโรคประสาทและได้รับการตรวจว่าเป็นคนพิการทางหู ซึ่งแม่แท้ๆผมมักจะโดนพี่สาวดุด่าตลอดเพราะพูดหลายรอบแล้วเขาไม่ได้ยิน จนลามมาด่าผมด้วยเพราะผมไม่ได้ช่วยหาเงินเลย ซึ่งผมก็เข้าใจได้ทำให้ผมตัดสินใจไม่เรียนต่อและไปหางานทำแทน ตอนนั้นผมได้งานทำที่โรงงานเซรามิก เงินเดือน 9000 บาท ทุกช่วงที่เงินเดือนออกผมจะให้พี่สาว 7000 เพื่อเอาไปจ่ายค่าเช่าบ้าน น้ำ ไฟ และค่ากินทั้งเขาและแม่ ส่วนอีก 2000 ผมได้เอาให้แม่เลี้ยง เพราะเขาติดต่อผมทุกวันและเล่าชีวิตของเขาตอนนี้โดยสรุปคร่าวๆว่า หลานติดคุกเพราะเหตุลักขโมย เจ้าหนี้นอกระบบคอยทวงเงินที่หลานยืมไปจนเครียดหนัก ผมเลยต้องแบ่งเงินให้เขาใช้เพราะสงสาร เพราะในช่วงที่เขาเลี้ยงผม เขาก็เลี้ยงผมมาดี สอนอะไรดีๆให้หลายอย่าง สอนให้อยู่ในธรรมมะ ธรรมโม รู้จักเผื่อแผ่และเมตตาคนอื่น พอผมทำมาได้ครึ่งปีพี่สาวผมก็ได้เปลี่ยนไปหนักมาก เขาสอบติดราชการและกู้เงินมาใช้เที่ยวต่างประเทศกับแฟน กินหรู อยู่แพง ผมกับแม่พยายามห้ามเขาแต่ก็โดนด่ากลับมาด้วยสารพัดคำด่า ผมโกรธเขามากเพราะเงินหลายแสนบาทที่เขากู้มาถูกใช้ไปกับของอะไรแบบนี้ทั้งๆที่สภาพครอบครัวตอนนี้ยังแย่และยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หลังจากนั้นผมก็โดนพี่สาวด่าทุกวันจนทนไม่ไหว ผมเลยปรึกษากับแม่เลี้ยงและแม่เลี้ยงก็ให้ผมไปอยู่ด้วย ผมเลยมาบอกกับแม่แท้ๆว่าจะขอไปอยู่กับแม่เลี้ยงสักพักนึง แม่ผมก็ให้ไป แต่เขาต้องอยู่ที่นี่กับพี่สาวเพราะใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลของพี่สาวที่เป็นราชการอยู่
ตอนนแรกผมนึกว่าย้ายมาอยู่แล้วอะไรจะดีขึ้น แต่ผมคิดผิด ทุกเดือนผมต้องจ่ายค่าน้ำ ไฟ ให้ทั้งแม่เลี้ยง และแม่แท้ๆ ซึ่งเหตุผลที่ผมต้องให้แม่แท้ๆด้วยก็เพราะพี่สาวไม่มีตังเหลืออีกแล้ว หมดไปกับค่าเที่ยวและของหรูจนหมด แถมแฟนของเขาก็แย่พอๆกันเพราะครอบครัวติดการพนันจนหมดตัว ทำให้ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่บาทเดียว
พอผมอายุ 21 ก็ต้องไปเป็นทหาร 2 ปี เพราะจับโดนใบแดง (ผมเรียน รด.มา1 ปีและออกกลางคันเพราะไม่มีตังและปัญหาครอบครัวในตอนนั้น ซึ่งปัญหาหลักคือเรื่องเงิน) เงินเดือนทหารที่ผมได้คือ 5000 ต่อเดือน เพราะหักค่าโน่น นี่ นั่น และหักเป็นเงินเก็บที่เขาจะให้เงินก้อนตอนปลดทหาร ทุกๆเดือนผมจะให้พี่สาว 3000 และ แม่เลี้ยง 1000-2000 มาตลอด ที่ผมให้แบบนี้ได้เพราะช่วงที่เป็นทหารมีข้าวกิน 3 มื้อและหักจากเงินเดือนไปแล้ว ผมไม่ได้ซื้ออะไรสุรุ่ยสุร่าย และนายสิบและจ่าหลายคนก็ใจดีเลี้ยงขนมและน้ำผมอยู่บ่อยๆ และก็มีเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตผมอีกครั้ง เมื่อมีการฝึกยิงปืน ผมขอที่อุดหูจากจ่าที่คุมแต่ตอนนั้นไม่มีใครใช้ที่อุดหูเลยแม้แต่คนเดียวผมเลยตัดสินใจไม่ใส่ หลังจากยิงปืนเสร็จหูผมวิ้งอยู่ตลอดเวลา พอผ่านไป 3 วัน ข้างในหูผมก็มีเสียงคล้ายจิ้งหรีดร้องดังอยู่ตลอดเวลา ยิ่งช่วงที่อยู่ในที่เงียบๆเสียงก็ยิ่งดังจนผมแทบจะร้องไห้ ผมขอให้จ่าพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าผมเป็น "ประสาทหูเสื่อม" ให้ทำใจและใช้ชีวิตไปกับมัน ผมช็อคมากจนวันนั้นไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรเลย ทุกครั้งที่มีประชุมหรืออะไรให้เข้าร่วมผมจะเข้าใจเนื้อหาแค่ 30% เพราะทุกครั้งที่ฟังผมจะต้องเพ่งสมาธิมากกว่าคนทั่วไปเพราะเสียงในหูมันดังรบกวนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพ่งก็ยิ่งใช้พลังงานเยอะ ผมเพ่งสมาธิได้ประมาณ 10 นาทีสมองผมก็เบลอไปหมด สมองเบลอจนการคิด วิเคราะห์อะไรหลายอย่างช้าไปหมด และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมคิดอยากที่จะหายไปจากโลกนี้จนถึงตอนนี้
พอผมปลดประจำการแล้วพี่สาวก็แนะนำงานให้ผมทำ โดยให้ทำกับคนรู้จักของเขา ซึ่งงานก็คือ แอดมินงานก่อสร้าง คอยทำเอกสารและรายงานให้กับหัวหน้า เงินเดือน 9000 เต็มๆไม่หัก มีที่พักคนงานให้อยู่ฟรีและข้าวฟรี แลกกับการแทบไม่มีวันหยุด (หยุดวันอาทิตย์ แต่แทบไม่ได้หยุดเพราะมีอะไรให้ทำตลอดทั้งวัน) ซึ่งตลอดเวลาที่ผมทำงานผมต้องให้พี่สาวเดือนละ 5000 และแม่เลี้ยง 2000-3000 เพราะเขารู้ว่ากินฟรีอยู่ฟรี ส่วนนี้ผมต้องโทษตัวเองด้วยเพราะใจอ่อนที่ให้ไป เพราะพวกเขาชอบเล่าชีวิตแย่ๆให้ฟังตลอด บอกว่าถ้าผมไม่ให้พวกเขาตายแน่ๆ ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องให้ไปจนตัวเองเครียดสะสม
หลังจากทำงานมา 1 ปี ผมก็ขอลาออกเพราะว่าทนแรงกดดันไม่ไหว เพราะที่ทำงานผมมีแต่คนเก่งๆระดับด็อกเตอร์หลายคน ผมที่จบแค่ ม.6 และยังมีปัญหาการได้ยินอีก ผมโดนหัวหน้าและพี่ๆหลายคนว่าทำไมเรียนรู้ช้า และชอบทำหน้ามึนๆตอนเข้าฟังประชุม ผมได้บอกไปตามตรงแต่พวกเขาไม่เชื่อ คิดว่าผมหาข้ออ้าง ผมโทรปรึกษากับพี่สาวและโดนด่ากลับมาว่า "อุตส่าห์หางานดีๆให้ทำแต่ทำไม่ได้ งั้นก็กลับไปทำงานโรงงานกระจอกๆไปตลอดชีวิตเถอะ"
ตอนคุยกับพี่สาวเขาว่าด้วยคำที่รุนแรงกว่านี้ ผมที่ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ร้องไห้ในใจ ผมไม่ได้โกรธพี่สาว แต่ผมโกรธตัวเองที่ทำไมทำไม่ได้ทั้งที่ผมพยายามทุกอย่างแล้วแต่มันได้แค่นี้จริงๆ ผมเลยปรึกษากับแม่เลี้ยง เขาก็ให้กลับมาอยู่กับเขา ผมเลยตัดสินใจลาออกแล้วไปอยู่กับแม่เลี้ยง
ในช่วงที่ผมอยู่กับแม่เลี้ยง ผมใช้เงินเก็บที่เก็บมาช่วยจ่ายค่าน้ำ ไฟ และค่ากินให้แม่เลี้ยง และหางานทำไปด้วย ผมหางานทำยากมาก เพราะวุฒิที่จบแค่ ม.6 และประสบการณ์ด้านอื่นๆนอกจากงานเอกสารนั้นไม่มีเลย และแถวบ้านผมมักมีแต่งานสายช่าง ร้านอาหาร และเซเว่น ซึ่งร้านอาหารและเซเว่นผมเคยทำแล้ว แต่ทำได้แค่เดือนเดียวผมก็ขอลาออก เพราะปัญหาเรื่องหูที่หลายครั้งผมฟังลูกค้าผิดจนมีปัญหา
และในที่สุดผมก็ได้งานใหม่ ตอนนั้นมีงานราชการที่แม่เลี้ยงของผมทำงานอยู่ต้องการคนทำงานเอกสารเพราะคนเก่าลาออก แม่เลี้ยงผมเลยฝากผมไปทำงานด้วย เงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 7500-8000 หยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งวันหยุดเหล่านี้จะไม่ได้เงินเหมือนกับคนที่เป็นราชการหรือพนักงานราชการ ตำแหน่งของผมคือ "ลูกจ้างชั่วคราว" ที่จะได้เงินแค่ตอนมาทำงานเท่านั้น ผมทำงานอยู่ประมาณ 3 เดือนในที่สุดสิ่งที่ผมเคยคิดไว้ก็เกิดขึ้น แม่เลี้ยงของผมขอเงินเพิ่มเพราะไม่มีตังจ่ายค่าอาหารแมว ซึ่งปัจจุบันเหลือแมวอยู่ประมาณ 20-30 ตัว ผมยังต้องช่วยเขาใช้หนี้นอกระบบที่แม่เลี้ยงยืมไว้รวมแล้วเดือนนึงผมต้องให้เงินแม่เลี้ยงผม 5000 กว่าบาท และให้แม่แท้ๆผม 1000-2000 เพื่อให้แม่แท้ๆผมเอาไปจ่ายค่ากินและค่าบ้าน น้ำ ไฟ ในบ้านนั้น ผมกังวลจนนอนแทบไม่หลับเพราะเงินไม่เคยเหลือเก็บเลยแถมไม่พอใช้อีกต่างหาก
ที่ทำงานผมจะมีเจ้าหน้าที่ขายสินเชื่อเข้ามาหาลูกค้าบ่อยๆ ผมไม่สนใจเลยจนกระทั่งแม่เลี้ยงผมรู้เข้าว่ามีสินเชื่อมา เขาขอร้องให้ผมกู้ให้เขาและเขาจะให้ดอกเบี้ยที่ผมต้องจ่ายให้สินเชื่อทุกเดือนแทน ผมบอกเขาว่าเงินเดือนผมน้อยยังไงก็สมัครไม่ผ่าน แต่เขาขอร้องผมให้ลองทำดูและพูดถึงเรื่องเก่าๆต่างๆ จนผมใจอ่อนอีกแล้ว ผมตัดสินใจทำบัตรสินเชื่อแบบไม่คาดหวัง แต่ผมก็ตกใจเพราะไม่กี่วันทางสินเชื่อให้ผ่าน ผมไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ถอนเงินให้แม่เลี้ยงเอาไปใช้หนี้ทั้งหมด (สุดท้ายเขาก็ไม่มีให้ผม ผมก็ต้องเป็นคนจ่ายดอกเบี้ยเองทั้งหมด)
1 ปีหลังจากนั้นผมก็ได้ทะเลาะกับแม่เลี้ยงครั้งใหญ่ สาเหตุคือผมไม่มีเงินให้แม่เลี้ยงไปซื้ออาหารแมวและปลาทู ซึ่งแมวบ้านแม่เลี้ยงถ้ากินไม่อิ่มจะร้องเสียงดังมาก กลางคืนจะกัดกันและวิ่งไปรบกวนบ้านคนอื่นจนผมและเพื่อนบ้านนอนไม่หลับ ผมคุยกับแม่เรื่องนี้จริงจังว่าให้แม่เลิกเลี้ยงแมวหรือไม่ก็ให้เลี้ยงเท่าที่เลี้ยงไหว ซึ่งผมจะช่วยหาเจ้าของใหม่ให้เอง แต่แม่เลี้ยงผมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เขาบอกว่าอย่าคุยกับเขาเรื่องแมวอีก ผมเลยบอกเขาว่าผมขอไปเช่าบ้านอยู่ที่อื่นเพราะว่าผมเสียสุขภาพมานานจากการนอนไม่พอและความเครียด เขาก็บอกให้ไปได้ตามใจผมเลย เขาอยู่คนเดียวได้ปกติก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ผมเลยตัดสินใจเช่าบ้านข้างนอกอยู่และพยายามจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป แต่นี่คือสิ่งที่แย่ที่สุด สุดท้ายพอผมออกมาเช่าบ้านอยู่แม่เลี้ยงก็โทรมาเล่าเรื่องเก่าๆเพิ่มเติมคือบอกว่าจะฆ่าตัวตายและคอยขอเงินผมทีละเล็กละน้อยเหมือน และผมยังต้องจ่ายค่าน้ำ ไฟ ทั้งของแม่เลี้ยง แม่แท้ๆ และตัวเองอีก
ทุกวันนี้ผมทอดไข่และหุงข้าว ทำกับข้าวเองตลอด พยายามประหยัดทุกทาง แต่ก็ไม่ไหว ค่าใช้จ่ายที่ต้องให้คนอื่นก็มีแต่เยอะขึ้นเรื่อยๆ
จนปัจจุบันตอนนี้ ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆครับ ผมพยายามหางานทำเพิ่มช่วงวันหยุดแต่ก็หาที่ผมพอทำได้ไม่ได้เลย เพราะการได้ยินและวุฒิของผมมันแย่มากๆ ผมพยายามจะหนีออกมาคนเดียวแต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะแม่เลี้ยงตอนนี้ชอบพูดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอยู่ตลอด หลานของเขาก็ติดคุกญาติพี่น้องก็ไม่มี
แม่แท้ๆของผมก็ทำงานไม่ไหวแล้วเพราะอายุเยอะและยังพิการทางหู ส่วนพี่สาวผมก็หนี้สินเยอะ ใกล้เข้าสู่ลูปเหมือนกับแม่เลี้ยงผมไปทุกวัน
ผมควรตัดสินใจยังไงดีครับ ผมคิดไม่ออกเลย ถ้าเพื่อนๆเป็นแบบผมจะตัดสินใจทำยังไงหรอครับ🥺