ปริญญา เลคเชอร์ จริยธรรมตุลาการศาลรธน. อคติพูดส่อเสียดจำเลย พร้อมชี้ช่องยื่นเอาผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4749133
ปริญญา เลคเชอร์ จริยธรรมตุลาการศาลรธน. รับในฐานะอาจารย์สอนกม. ไม่สบายใจ พูดส่อเสียดจำเลย พร้อมชี้ช่องเอาผิด
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 นาย
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีที่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพูดติดตลก ระหว่างการสัมมนาทางวิชาการถึงคดียุบพรรคก้าวไกล ตอนหนึ่งว่า พรรคประชาชนต้องขอบคุณตนเองที่ยุบพรรค ทำให้ได้เงินบริจาคถึง 20 ล้าน โดยระบุว่า
#มาตรฐานจริยธรรม ที่ศาลรัฐธรรมนูญท่านใช้ในการตัดสินให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งนั้น คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบว่า มาจากศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระกำหนดร่วมกัน เพื่อให้เป็น # มาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ #ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ
โดยชื่อเต็มๆ คือ มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่ง ในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561
ที่มีการนำมาใช้กับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รวมถึง ส.ส. และ ส.ว.ด้วย เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 วรรคสอง และข้อ 3 วรรคสองของมาตรฐานจริยธรรมฉบับนี้กำหนดไว้เช่นนั้น แต่ที่จริงแล้วทั้งชื่อและเจตนารมณ์ต้องการให้ใช้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระเป็นหลักครับ
ซึ่งผมเปิดดูแล้ว มี 2 ข้อที่ผมเห็นว่า สำคัญที่สุดในการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ คือ ข้อ 13 และข้อ 23 ดังนี้ครับ
ข้อ 13 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม เป็นอิสระ เป็นกลาง และปราศจากอคติ… โดยคํานึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมแห่งสถานภาพ
ข้อ 23 ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความเต็มใจ ให้บริการด้วยความรวดเร็ว เสมอภาค ถูกต้อง โปร่งใส ปราศจากอคติ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ผมได้เห็นข่าวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง พูดให้ความเห็นเรื่องพรรคที่ท่านยุบไป ในฐานะอาจารย์สอนกฎหมายผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ เพราะไม่เคยได้ยินว่า มีตุลาการหรือผู้พิพากษาท่านใด ตัดสินลงโทษจำเลยไปแล้วมาพูดถึงจำเลยในแบบที่อาจจะเข้าข่ายเป็นการส่อเสียดอย่างนี้มาก่อน และที่สำคัญไม่ทราบว่าเป็นไปตามมาตรฐานจริยธรรมข้อ 13 และ 23 ในเรื่อง ปราศจากอคติ คำนึงสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน และอาจจะรวมถึงเรื่อง เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่ผมยกมาหรือไม่ครับ
ด้วยความเคารพ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องกล่าวถึง เพราะดังที่กล่าวไปในตอนต้น มาตรฐานจริยธรรมนี้กำหนดมาให้เป็นมาตรฐานจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นหลัก ศาลรัฐธรรมนูญจึงพึงต้องยึดถือปฏิบัติด้วยครับ
ทั้งนี้ มีผู้สอบถามมาหลายท่านทั้งที่เป็นสื่อและไม่ใช่สื่อว่า #รัฐธรรมนูญกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ #ถูกร้องเรียนเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ผมจึงขอสรุปประเด็นเรื่องนี้ ซึ่งเป็น #ข้อกฎหมาย ให้หายสงสัย ดังนี้ครับ
1. รัฐธรรมนูญมาตรา 234(1) กำหนดให้เป็นอำนาจของ #คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ในการไต่สวนและมีความเห็น “กรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ … ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” คือต้องไปร้องที่ ปปช. ครับ
2. รัฐธรรมนูญมาตราถัดมาคือ มาตรา 235 กำหนดว่า ”ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีการกล่าวหาว่า … ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ …ผู้ใดมีพฤติการณ์ตามมาตรา 234(1)“ ก็ให้ ปปช. ไต่สวนข้อเท็จจริง และลงมติ โดย ”หากมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เห็นว่าผู้นั้น มีพฤติการณ์หรือกระทําความผิดตามที่ไต่สวน“ ก็ให้ดําเนินการต่อไป คือจะมีการดำเนินการต่อผู้ถูกร้องหรือไม่อยู่ที่การลงมติของ ปปช. ครับ
3. หากเสียงข้างมากเห็นว่าผู้ถูกร้องมีพฤติการณ์ “ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” มาตรา 235 (1) กำหนดว่า “ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย” ดังนั้น ศาลที่จะตัดสินก็คือ #ศาลฎีกา ครับ
4. พฤติการณ์ที่จะไปถึงศาลฎีกาและเป็นความผิดได้ จะต้องเป็น การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม “อย่างร้ายแรง” ถ้าไม่ถึงขนาด “อย่างร้ายแรง” ก็ไปที่ ปปช. และไปถึงศาลฎีกาไม่ได้
ทั้งนี้ #มาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ข้อ 27 กำหนดว่า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 1 “ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง” (ภาพที่สาม) ซึ่ง “เป็นกลาง ปราศจากอคติ” และ “โดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน” (ข้อ 13) และ “ปราศจากอคติ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” (ข้อ 23) อยู่ในหมวด 2 และหมวด 3 ซึ่งมิได้ถือว่า “มีลักษณะร้ายแรง” และเท่ากับไม่ใช่การฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
5. อย่างไรก็ตาม มาตรฐานจริยธรรมฯ ข้อ 27 วรรคสอง กำหนดว่า “การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 2 และหมวด 3 จะถือว่า มีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติ นั้น”
หมายความว่า แม้จะเป็นพฤติการณ์ที่ไม่อยู่ในหมวด 1 ที่ถือว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง แต่ก็ต้องดูเจตนาและความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย หากถึงขั้นร้ายแรง ก็จะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ปปช. และศาลฎีกาจะเป็นผู้วินิจฉัยครับ
#สรุป คือ เป็นอำนาจของ ปปช. หาก ปปช. ไต่สวนและลงมติว่าเป็นการฝ่าฝืนว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เรื่องก็จะไปที่ศาลฎีกาซึ่งจะเป็นผู้ตัดสิน
จึงเรียนมาเพื่อตอบข้อสงสัยท่านที่ถามมาครับ
https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/pfbid023WszJ4uvnmNzfxgEEBHfcGv9MNoGUhy34Ly9MZiR5ZYzz4NYfczmFk92udAtSteKl
“ธงทอง” ติงแรง! ผู้พิพากษา-ตุลาการ ไม่ทำงานด้วยอคติ!
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/230991
ดรามาร้อน ตุลาการศาล รธน.เหน็บยุบพรรคก้าวไกล “ธงทอง” โพสต์ติง ผู้พิพากษา-ตุลาการ ไม่ทำงานด้วยอคติ!
จากกรณีเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ นาย
อุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังพูดในพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างความรู้สู่ประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งมีการพูดถึงการยุบพรรคก้าวไกล ในลักษณะที่ว่า ต้องขอบคุณที่ยุบพรรค เพราะตั้งพรรคใหม่ได้ และได้เงิน 20-30 ล้านบาท ภายใน 2 วันนั้น
ล่าสุด นาย
ธงทอง จันทรางศุ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
แต่โบราณมาท่านเตือนไว้นักหนาว่า นักกฎหมายต้องระมัดระวัง ไม่ทำงานด้วยอคติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นผู้พิพากษาตุลาการ เมื่อตัดสินคดีความอย่างไรไปแล้ว ก็ต้องวางใจเป็นอุเบกขา เพื่อเป็นเครื่องยืนยันบอกกับตัวเองได้ว่า ได้ตัดสินคดีแล้วโดยปราศจากความลำเอียง หากไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ทำตรงกันข้าม ก็ชวนให้คนสงสัยว่า การพิพากษาอรรถคดีที่ผ่านมาได้กระทำโดยปราศจากอคติจริงหรือ
https://www.facebook.com/nha.chandransu/posts/pfbid02VDpGuev33wqAagB76qwiBYsgDnUE9gJSXmQUrzNhM9WMT8Lv63t4iBnVCydpGF58l
กมธ.ทหาร ให้อสส.ชี้ขาด คดีพลทหารถูกซ้อมเสียชีวิต เป็นคดีพิเศษ ยันชั้นสัญญาบัตรต้องร่วมรับผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4749547
“กมธ.ทหาร” จ่อ ส่งหนังสือด่วนถาม อสส. ปม คดีพลทหารถูกซ้อมจนเสียชีวิต ต้องเป็นคดีพิเศษหรือไม่ พร้อมให้ ผบ.ทบ. คุ้มครองพยานในค่ายทหาร ชี้ นายทหารชั้นสัญญาบัตรต้องร่วมรับผิด
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ. แถลงผลการประชุมกรรมาธิการ เพื่อพิจารณากรณี นาย
วรปรัชญ์ ทหารเกณฑ์ ที่ถูกลงโทษทางวินัยจนเสียชีวิต
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า จากเอกสารคำขอฝากขังที่ทำโดยพนักงานสอบสวน ระบุว่า พลทหาร
วรปรัชญ์ ถูกทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรม อย่างต่อเนื่องหลายครั้ง จนรอยช้ำปรากฏนอกร่มผ้า ถึงขั้นให้เพื่อนพลทหารดูแลอาบน้ำให้ และแบกมารับประทานอาหาร ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจะอ้างว่า ไม่รู้ไม่ได้
ทั้งนี้ จากการชันสูตร พบว่าถูกกระทำทารุณกรรมอย่างรุนแรง ปอดฉีกขาด สมองบวม กระดูกสันหลังร้าวกระดูกซี่โครงหัก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่า สภาพบาดเจ็บรุนแรงอย่างนี้ มาจากการธำรงวินัยตามระเบียบของกระทรวงกลาโหม แต่เป็นการถูกทารุณกรรม และเป็นการถูกรุมทำร้าย รุมซ้อมทรมานมากกว่าหนึ่งครั้ง
และเป็นไปไม่ได้ที่ ผบ.ค่าย หรือผู้บังคับบัญชาจะไม่รับทราบ และประชาชนก็รู้ดีถึงโครงการพลทหารปลอดภัย ที่กรรมาธิการการทหารได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการและมีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้บังคับบัญชาจะไม่ล่วงรู้และไม่ตระหนัก
ดังนั้น ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ. อุ้มหาย มาตรา 42 จึงมีเหตุให้ต้องสงสัยได้ว่าผู้บังคับบัญชา ระดับผู้หมวด ผู้กอง ผบ.ค่าย และ ผบ.กรม ย่อมต้องมีส่วนรับผิดด้วยหรือไม่
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า กรรมาธิการมีมติใน 2 แนวทาง คือ กรรมาธิการจะทำหนังสือด่วน ถึงอัยการสูงสุด ให้เข้ามาชี้ขาด และกำกับดูแลการดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ว่าควรให้หน่วยงานใดเป็นผู้ดำเนินคดีนี้ เพราะว่า จากการรายงานทราบว่าพนักงานสอบสวน ที่มียศร้อยตำรวจเอก มีความกังวล และขาดความชำนาญ ขาดประสบการณ์ ในการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย และมีความกังวลที่จะดำเนินคดีกับนายทหารสัญญาบัตรระดับยศนายพันขึ้นไปด้วย ดังนั้น ต้องทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด ให้ช่วยพิจารณาว่า จะให้ทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษ หรือจะให้อัยการฝ่ายสำนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการ อีกทั้ง จะให้อัยการสูงสุดให้ดำเนินการคุ้มครองพยานด้วย เนื่องจากมีผู้ต้องหาบางรายได้รับการประกันตัวออกมาจากศาลทหารแล้ว และมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายไปข่มขู่พยานที่อยู่ในค่ายอีกด้วย
อีกทั้งจะทำหนังสือด่วนถึงผู้บัญชาการทหารบก ให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อคุ้มครองพยานที่อยู่ในค่ายนวมินทราชินี จ. ชลบุรี และดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ให้นายทหารเข้าไปยุ่งเหยิงในคดี รวมถึงเข้าไปมีพฤติกรรมข่มขู่สร้าง ความรำคาญใจแก่พยานหรือผู้เสียหาย
นาย
วิโรจน์ หวังว่า อยากให้กรณีนี้เป็นกรณีสุดท้าย และผู้ที่ได้ต้องรับผิด ต้องไม่ใช่แค่นายสิบและพลทหาร แต่ต้องมีนายทหารชั้นสัญญาบัตร โดยเฉพาะนายทหารในระดับบังคับบัญชาระดับสูงร่วมรับผิดด้วย
“กัณวีร์” ย้ำนายกฯรมว.ต่างประเทศสำคัญหน้าตาของชาติ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_764552/
“กัณวีร์” ฝากนายกฯอีกรอบ กต.สำคัญหน้าตาของประเทศ ชี้ต้องมีความรอบรู้มีความสามารถ สนใจความเปลี่ยนแปลงผันผวนอย่างรวดเร็วในเวทีระหว่างประเทศ
นาย
กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หลังฝากการบ้านไปถึงนายกรัฐมนตรี น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร แล้ว นาย
กัณวีร์ เห็นว่าตำแหน่งสำคัญที่ต้องจับตา คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นาย
กัณวีร์ กล่าวว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้คงถูกจับตามองกันอย่างมากระหว่างช่วงฝุ่นตลบ แบ่งขั้วในพรรค ไปครึ่งพรรค ไปค่อนพรรค ไปทั้งพรรค หรือไปแบบไม่สนใจพรรค
JJNY : 5in1 ปริญญา เลคเชอร์│“ธงทอง”ติงแรง!│กมธ.ทหารให้อสส.ชี้ขาด│“กัณวีร์”ย้ำฯหน้าตาของชาติ│อั้นไม่อยู่!ไข่เป็ดขึ้นราคา
https://www.matichon.co.th/politics/news_4749133
ปริญญา เลคเชอร์ จริยธรรมตุลาการศาลรธน. รับในฐานะอาจารย์สอนกม. ไม่สบายใจ พูดส่อเสียดจำเลย พร้อมชี้ช่องเอาผิด
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีที่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพูดติดตลก ระหว่างการสัมมนาทางวิชาการถึงคดียุบพรรคก้าวไกล ตอนหนึ่งว่า พรรคประชาชนต้องขอบคุณตนเองที่ยุบพรรค ทำให้ได้เงินบริจาคถึง 20 ล้าน โดยระบุว่า
#มาตรฐานจริยธรรม ที่ศาลรัฐธรรมนูญท่านใช้ในการตัดสินให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งนั้น คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบว่า มาจากศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระกำหนดร่วมกัน เพื่อให้เป็น # มาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ #ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ
โดยชื่อเต็มๆ คือ มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่ง ในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561
ที่มีการนำมาใช้กับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รวมถึง ส.ส. และ ส.ว.ด้วย เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 วรรคสอง และข้อ 3 วรรคสองของมาตรฐานจริยธรรมฉบับนี้กำหนดไว้เช่นนั้น แต่ที่จริงแล้วทั้งชื่อและเจตนารมณ์ต้องการให้ใช้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระเป็นหลักครับ
ซึ่งผมเปิดดูแล้ว มี 2 ข้อที่ผมเห็นว่า สำคัญที่สุดในการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ คือ ข้อ 13 และข้อ 23 ดังนี้ครับ
ข้อ 13 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม เป็นอิสระ เป็นกลาง และปราศจากอคติ… โดยคํานึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมแห่งสถานภาพ
ข้อ 23 ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความเต็มใจ ให้บริการด้วยความรวดเร็ว เสมอภาค ถูกต้อง โปร่งใส ปราศจากอคติ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ผมได้เห็นข่าวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง พูดให้ความเห็นเรื่องพรรคที่ท่านยุบไป ในฐานะอาจารย์สอนกฎหมายผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ เพราะไม่เคยได้ยินว่า มีตุลาการหรือผู้พิพากษาท่านใด ตัดสินลงโทษจำเลยไปแล้วมาพูดถึงจำเลยในแบบที่อาจจะเข้าข่ายเป็นการส่อเสียดอย่างนี้มาก่อน และที่สำคัญไม่ทราบว่าเป็นไปตามมาตรฐานจริยธรรมข้อ 13 และ 23 ในเรื่อง ปราศจากอคติ คำนึงสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน และอาจจะรวมถึงเรื่อง เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่ผมยกมาหรือไม่ครับ
ด้วยความเคารพ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องกล่าวถึง เพราะดังที่กล่าวไปในตอนต้น มาตรฐานจริยธรรมนี้กำหนดมาให้เป็นมาตรฐานจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นหลัก ศาลรัฐธรรมนูญจึงพึงต้องยึดถือปฏิบัติด้วยครับ
ทั้งนี้ มีผู้สอบถามมาหลายท่านทั้งที่เป็นสื่อและไม่ใช่สื่อว่า #รัฐธรรมนูญกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ #ถูกร้องเรียนเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม ผมจึงขอสรุปประเด็นเรื่องนี้ ซึ่งเป็น #ข้อกฎหมาย ให้หายสงสัย ดังนี้ครับ
1. รัฐธรรมนูญมาตรา 234(1) กำหนดให้เป็นอำนาจของ #คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ในการไต่สวนและมีความเห็น “กรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ … ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” คือต้องไปร้องที่ ปปช. ครับ
2. รัฐธรรมนูญมาตราถัดมาคือ มาตรา 235 กำหนดว่า ”ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีการกล่าวหาว่า … ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ …ผู้ใดมีพฤติการณ์ตามมาตรา 234(1)“ ก็ให้ ปปช. ไต่สวนข้อเท็จจริง และลงมติ โดย ”หากมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เห็นว่าผู้นั้น มีพฤติการณ์หรือกระทําความผิดตามที่ไต่สวน“ ก็ให้ดําเนินการต่อไป คือจะมีการดำเนินการต่อผู้ถูกร้องหรือไม่อยู่ที่การลงมติของ ปปช. ครับ
3. หากเสียงข้างมากเห็นว่าผู้ถูกร้องมีพฤติการณ์ “ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” มาตรา 235 (1) กำหนดว่า “ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย” ดังนั้น ศาลที่จะตัดสินก็คือ #ศาลฎีกา ครับ
4. พฤติการณ์ที่จะไปถึงศาลฎีกาและเป็นความผิดได้ จะต้องเป็น การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม “อย่างร้ายแรง” ถ้าไม่ถึงขนาด “อย่างร้ายแรง” ก็ไปที่ ปปช. และไปถึงศาลฎีกาไม่ได้
ทั้งนี้ #มาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ข้อ 27 กำหนดว่า การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 1 “ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง” (ภาพที่สาม) ซึ่ง “เป็นกลาง ปราศจากอคติ” และ “โดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน” (ข้อ 13) และ “ปราศจากอคติ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” (ข้อ 23) อยู่ในหมวด 2 และหมวด 3 ซึ่งมิได้ถือว่า “มีลักษณะร้ายแรง” และเท่ากับไม่ใช่การฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
5. อย่างไรก็ตาม มาตรฐานจริยธรรมฯ ข้อ 27 วรรคสอง กำหนดว่า “การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 2 และหมวด 3 จะถือว่า มีลักษณะร้ายแรงหรือไม่ ให้พิจารณาถึงพฤติกรรมของการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ เจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติ นั้น”
หมายความว่า แม้จะเป็นพฤติการณ์ที่ไม่อยู่ในหมวด 1 ที่ถือว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง แต่ก็ต้องดูเจตนาและความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย หากถึงขั้นร้ายแรง ก็จะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ปปช. และศาลฎีกาจะเป็นผู้วินิจฉัยครับ
#สรุป คือ เป็นอำนาจของ ปปช. หาก ปปช. ไต่สวนและลงมติว่าเป็นการฝ่าฝืนว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เรื่องก็จะไปที่ศาลฎีกาซึ่งจะเป็นผู้ตัดสิน
จึงเรียนมาเพื่อตอบข้อสงสัยท่านที่ถามมาครับ
https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/pfbid023WszJ4uvnmNzfxgEEBHfcGv9MNoGUhy34Ly9MZiR5ZYzz4NYfczmFk92udAtSteKl
“ธงทอง” ติงแรง! ผู้พิพากษา-ตุลาการ ไม่ทำงานด้วยอคติ!
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/230991
ดรามาร้อน ตุลาการศาล รธน.เหน็บยุบพรรคก้าวไกล “ธงทอง” โพสต์ติง ผู้พิพากษา-ตุลาการ ไม่ทำงานด้วยอคติ!
จากกรณีเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังพูดในพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างความรู้สู่ประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งมีการพูดถึงการยุบพรรคก้าวไกล ในลักษณะที่ว่า ต้องขอบคุณที่ยุบพรรค เพราะตั้งพรรคใหม่ได้ และได้เงิน 20-30 ล้านบาท ภายใน 2 วันนั้น
ล่าสุด นายธงทอง จันทรางศุ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
แต่โบราณมาท่านเตือนไว้นักหนาว่า นักกฎหมายต้องระมัดระวัง ไม่ทำงานด้วยอคติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นผู้พิพากษาตุลาการ เมื่อตัดสินคดีความอย่างไรไปแล้ว ก็ต้องวางใจเป็นอุเบกขา เพื่อเป็นเครื่องยืนยันบอกกับตัวเองได้ว่า ได้ตัดสินคดีแล้วโดยปราศจากความลำเอียง หากไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ทำตรงกันข้าม ก็ชวนให้คนสงสัยว่า การพิพากษาอรรถคดีที่ผ่านมาได้กระทำโดยปราศจากอคติจริงหรือ
https://www.facebook.com/nha.chandransu/posts/pfbid02VDpGuev33wqAagB76qwiBYsgDnUE9gJSXmQUrzNhM9WMT8Lv63t4iBnVCydpGF58l
กมธ.ทหาร ให้อสส.ชี้ขาด คดีพลทหารถูกซ้อมเสียชีวิต เป็นคดีพิเศษ ยันชั้นสัญญาบัตรต้องร่วมรับผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4749547
“กมธ.ทหาร” จ่อ ส่งหนังสือด่วนถาม อสส. ปม คดีพลทหารถูกซ้อมจนเสียชีวิต ต้องเป็นคดีพิเศษหรือไม่ พร้อมให้ ผบ.ทบ. คุ้มครองพยานในค่ายทหาร ชี้ นายทหารชั้นสัญญาบัตรต้องร่วมรับผิด
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ. แถลงผลการประชุมกรรมาธิการ เพื่อพิจารณากรณี นายวรปรัชญ์ ทหารเกณฑ์ ที่ถูกลงโทษทางวินัยจนเสียชีวิต
นายวิโรจน์กล่าวว่า จากเอกสารคำขอฝากขังที่ทำโดยพนักงานสอบสวน ระบุว่า พลทหารวรปรัชญ์ ถูกทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรม อย่างต่อเนื่องหลายครั้ง จนรอยช้ำปรากฏนอกร่มผ้า ถึงขั้นให้เพื่อนพลทหารดูแลอาบน้ำให้ และแบกมารับประทานอาหาร ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจะอ้างว่า ไม่รู้ไม่ได้
ทั้งนี้ จากการชันสูตร พบว่าถูกกระทำทารุณกรรมอย่างรุนแรง ปอดฉีกขาด สมองบวม กระดูกสันหลังร้าวกระดูกซี่โครงหัก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่า สภาพบาดเจ็บรุนแรงอย่างนี้ มาจากการธำรงวินัยตามระเบียบของกระทรวงกลาโหม แต่เป็นการถูกทารุณกรรม และเป็นการถูกรุมทำร้าย รุมซ้อมทรมานมากกว่าหนึ่งครั้ง
และเป็นไปไม่ได้ที่ ผบ.ค่าย หรือผู้บังคับบัญชาจะไม่รับทราบ และประชาชนก็รู้ดีถึงโครงการพลทหารปลอดภัย ที่กรรมาธิการการทหารได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการและมีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้บังคับบัญชาจะไม่ล่วงรู้และไม่ตระหนัก
ดังนั้น ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ. อุ้มหาย มาตรา 42 จึงมีเหตุให้ต้องสงสัยได้ว่าผู้บังคับบัญชา ระดับผู้หมวด ผู้กอง ผบ.ค่าย และ ผบ.กรม ย่อมต้องมีส่วนรับผิดด้วยหรือไม่
นายวิโรจน์กล่าวว่า กรรมาธิการมีมติใน 2 แนวทาง คือ กรรมาธิการจะทำหนังสือด่วน ถึงอัยการสูงสุด ให้เข้ามาชี้ขาด และกำกับดูแลการดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ว่าควรให้หน่วยงานใดเป็นผู้ดำเนินคดีนี้ เพราะว่า จากการรายงานทราบว่าพนักงานสอบสวน ที่มียศร้อยตำรวจเอก มีความกังวล และขาดความชำนาญ ขาดประสบการณ์ ในการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย และมีความกังวลที่จะดำเนินคดีกับนายทหารสัญญาบัตรระดับยศนายพันขึ้นไปด้วย ดังนั้น ต้องทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด ให้ช่วยพิจารณาว่า จะให้ทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษ หรือจะให้อัยการฝ่ายสำนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการ อีกทั้ง จะให้อัยการสูงสุดให้ดำเนินการคุ้มครองพยานด้วย เนื่องจากมีผู้ต้องหาบางรายได้รับการประกันตัวออกมาจากศาลทหารแล้ว และมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายไปข่มขู่พยานที่อยู่ในค่ายอีกด้วย
อีกทั้งจะทำหนังสือด่วนถึงผู้บัญชาการทหารบก ให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อคุ้มครองพยานที่อยู่ในค่ายนวมินทราชินี จ. ชลบุรี และดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ให้นายทหารเข้าไปยุ่งเหยิงในคดี รวมถึงเข้าไปมีพฤติกรรมข่มขู่สร้าง ความรำคาญใจแก่พยานหรือผู้เสียหาย
นายวิโรจน์ หวังว่า อยากให้กรณีนี้เป็นกรณีสุดท้าย และผู้ที่ได้ต้องรับผิด ต้องไม่ใช่แค่นายสิบและพลทหาร แต่ต้องมีนายทหารชั้นสัญญาบัตร โดยเฉพาะนายทหารในระดับบังคับบัญชาระดับสูงร่วมรับผิดด้วย
“กัณวีร์” ย้ำนายกฯรมว.ต่างประเทศสำคัญหน้าตาของชาติ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_764552/
“กัณวีร์” ฝากนายกฯอีกรอบ กต.สำคัญหน้าตาของประเทศ ชี้ต้องมีความรอบรู้มีความสามารถ สนใจความเปลี่ยนแปลงผันผวนอย่างรวดเร็วในเวทีระหว่างประเทศ
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หลังฝากการบ้านไปถึงนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แล้ว นายกัณวีร์ เห็นว่าตำแหน่งสำคัญที่ต้องจับตา คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายกัณวีร์ กล่าวว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้คงถูกจับตามองกันอย่างมากระหว่างช่วงฝุ่นตลบ แบ่งขั้วในพรรค ไปครึ่งพรรค ไปค่อนพรรค ไปทั้งพรรค หรือไปแบบไม่สนใจพรรค